โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

บุปผางดงามใต้เงาจันทร์

นิยาย Dek-D

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • JustMoonlight
บุปผางดงามใต้เงาจันทร์
ฟื้นชีพคืนกลับมาในวัยเด็กอีกครั้ง ในชีวิตนี้มู่จิ่นไม่คิดจะต้องอับจนอยู่ใต้เงาจันทร์อีกแล้ว แต่เลือกที่จะอยู่กับครอบครัวที่แสนอบอุ่นคอยปกป้องพวกเขาเพื่อชดเชยความผิดในชีวิตที่ทำพลาดไปแล้วของตนเอง

ข้อมูลเบื้องต้น

บุปผางามใต้แสงจันทร์

เฝ้ารอวันเมฆาเคลื่อน

กาลเวลาผันผ่านไม่ลืมเลือน

สิ้นแสงเดือนตะวันส่องทั่วฟ้าไกล

เป็นบทกลอนคำทำนายจากใต้ซือรูปหนึ่งที่ท่านหญิงซินอี๋เคยคิดว่าช่างไม่แม่นยำแม้แต่น้อย…

ในชีวิตก่อนนางต้องต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อชัยชนะ อยู่เหนือผู้อื่นมากมาย แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่คนโหดเหี้ยมวิปลาสแบบเขาจนสิ้นชีพ ไม่รู้เป็นเพราะผลบุญหรือผลกรรมที่เคยทำมา จึงโชคดีได้ย้อนเวลากลับมาในชีวิตวัยเยาว์ของตนเองใหม่อีกครั้ง

ในชีวิตก่อนที่จบสิ้นไปแล้วนางรู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก ในชีวิตนี้จึงไม่อยากจะต้องต่อสู้กับผู้คนมากมายอีกต่อไปแล้ว ไม่สู้นางลงทุนลงแรงประจบเอาใจคนโหดเหี้ยมอย่างเขา แล้วใช้ให้เขาไปต่อสู้คว้าชัยชนะในใต้หล้ามาแทนนางไม่ง่ายกว่าหรือ…

แนะนำตัวละครในนิยายเรื่องนี้

คุณหนูสาม ลั่วมู่จิ่น เป็นดอกชบาแสนงดงามแห่งตระกูลลั่ว ฐานะที่แท้จริงคือท่านหญิงซินอี๋ ท่านหญิงที่เป็นความสุขที่แสนงดงามแห่งราชสกุลเฟิงเจวี๋ย เป็นบุตรสาวของหนิงอ๋องเฟิงเจวี๋ยวหร่านแห่งแคว้นอู่กับเย่วซินแห่งราชสกุลเย่วจากแคว้นเซิง

มู่หรงอี้เทียน องค์ชายสามแห่งราชวงค์มู่หรงเป็นพระโอรสองค์ที่สามของฮ่องเต้จงเหวินตี้ที่กำเนิดจากพระสนมลั่วเสียนเฟยจากตระกูลลั่ว เขาบุรุษที่งดงามเยือกเย็นและมีจิตใจโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง ในชีวิตเดิมของท่านหญิงซินอี๋ที่จบสิ้นไปแล้ว เป็นฝีมือของเขาที่วางยาพิษใส่นางจนทำให้นางไม่สามารถใช้ชีวิตปกติเหมือนดังสตรีคนอื่นทั่วไปได้ สุดท้ายแล้วท่านหญิงซินอี๋ยังมาจบชีวิตลงที่แท่นบันทมขององค์ชายสาม

มู่หรงอี้เฉิน เป็นดังพระจันทร์ที่สว่างไสวของท่าหญิงซินอี๋ องค์ชายรองแห่งราชสกุลมู่หรง เขาหล่อเหลากล้าหาญเก่งกาจในการต่อสู้มีกลยุทธ์ยอดเยี่ยมในการทำศึก เขามีวรยุทธสูงส่งเป็นคนที่ท่านหญิงซินอี๋มอบหัวใจและอุทิศชีวิตให้แม้ว่าตนเองจะต้องเหน็ดเหนื่อยและมีชีวิตยากลำบากมากก็ตาม พระโอรสองค์ที่สองของฮ่องเต้จงเหวินตี้แห่งแคว้นอู่ ที่ถือกำเนิดมาจากฮองเฮาเย่วซื่อแห่งราชสกุลเย่วจากแคว้นเซิง

คุณชายใหญ่ลั่วมู่หยาง บุตรชายคนโตของลั่วหย่งเซินกับเย่วเล่อแห่งราชสกุลเย่วจากแคว้นเซิง

คุณชายรองลั่วมู่หยุน บุตรชายคนรองของลั่วหย่งเซินกับเย่วเล่อ ในชีวิตก่อนของท่านหญิงซินอี๋ ชีวิตของพี่ชายรองจากตระกูลลั่วผู้นี้ช่างมีชีวิตที่แสนสั้น

คุณชายสามลั่วมู่เหยียน บุตรชายคนที่สามของลั่วหย่งเซินกับเย่วเล่อ ผู้คนทั่วไปรู้ว่าเขาคือพี่ชายฝาแฝดของลั่วมู่จิ่น เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นท่าหญิงซินอี๋เขากลายเป็นเพียงญาติผู้พี่จากตระกูลลั่วเท่านั้น

มู่หรงอี้หาน องค์ชายใหญ่แห่งตระกูลมู่หรงบุตรของพระสนมซูเฟยแห่งตระกูลหวาง

เย่วซื่ออัน ท่านหญิงใหญ่ทายาทสายตรงคนโตจากสกุลเย่วแคว้นเซิง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแห่งแคว้นอู่เสียชีวิตหลังจากการล่มสลายของจวนหนิงอ๋อง

เย่วเล่อ คุณหนูสี่ เป็นบุตรสาวคนโตจากบ้านสายรองจากสกุลเย่ว ต่อมาคือ ฮูหยินซื่อจื่อฝูกั๋วกงแคว้นอู่

เย่วซิน คุณหนูหก เป็นบุตรสาวคนรองจากบ้านสายรองจากสกุลเย่ว ต่อมาคือพระชายาเอกหนิงอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่าน [พระมารดาผู้ให้กำเนิดท่านหญิงซินอี๋]

สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ขอบคุณที่ให้การสนับสนุน JustMoonLight มาโดยตลอดนะคะ

นิยายเรื่องนี้จะอัพลงทุกวัน ให้ อ่านฟรี! หนึ่งวัน หลังจากลงไปแล้วจนกว่าจะจบเช่นเดิม

ตอนจบขออนุญาตติดเหรียญนะคะ

ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้

ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยค่ะ

*****นิยายเรื่องนี้ ใครซื้อตอนไปแล้วสบายใจได้ไม่ลบค่ะ แต่ขอร้องว่าอย่าcoppy นิยายไปเลยนะคะ*****

ย้อนมาในวัยเด็ก

ผู้แพ้เป็นกบฏ ผู้ชนะได้ปกครองใต้หล้า เมื่อแปดปีที่แล้วแคว้นอู่เกิดสงครามภายใน บรรดาท่านอ๋องทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้จนเลือดไหลอาบนองแผ่นดินของแคว้นอู่

ผู้ชนะคืออดีตฮ่องเต้จงเหวินเต๋อแห่งราชสกุลมู่หรง ผู้แพ้คือหนิงอ๋องแห่งราชสกุลเฟิงเจวี๋ยและสุดท้ายทางฝ่ายของหนิงอ๋องได้กลายเป็นกบฏ ทุกคนในจวนหนิงอ๋องถูกสังหารทิ้งด้วยโทษของการก่อกบฏสร้างความวุ่นวายให้แก่แคว้นอู่

สงครามนองเลือดครั้งนี้จวนฝูกั๋วกงขีดเส้นแบ่งไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด ท่านผู้เฒ่าฝูกั๋วกงพาฮูหยินและเหล่าทายาททั้งหลายเดินทางออกจากเมืองหลวงหลบหนีภัยสงครามไปสร้างจวนหลังใหม่อยู่ที่เมืองเจี้ยนคัง

จวนฝูกั๋วกงภายนอกปิดประตูไม่ต้อนรับแขก แต่ภายในกลับเคลื่อนไหวอย่างใจกล้า ถึงขนาดแอบลอบส่งคนไปรับพระธิดาคนเดียวของหนิงอ๋องมาเลี้ยงดูเป็นบุตรสาวคนเล็กของบ้านใหญ่ตระกูลลั่วโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้ แม้แต่คนในสกุลลั่วของจวนฝูกั๋วกวง

แปดปีต่อมาอดีตฮ่องเต้จงเหวินเต๋อป่วยเนื่องจากการกรำศึกมานาน ทายาทโดยตรงผู้สืบทอดราชบัลลังก์ก็เจ็บป่วยล้มตายไปจนเกือบหมด สุดท้ายแล้วเฉิงอ๋องพระอนุชาของอดีตฮ่องเต้จงเหวินเต๋อก็ได้เป็นผู้นั่งบนบัลลังก์มังกรพระองค์ใหม่

โดยอดีตเฉิงอ๋องใช้ชื่อในการครองแคว้นอู่ว่าฮ่องเต้จงเหวินตี้และได้แต่งตั้งอดีตพระชายาเอกของพระองค์ที่เสียชีวิตไปนานแล้วขึ้นเป็นเย่วฮองเฮาทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงกันเป็นอย่างมาก

จะไม่ให้ทุกคนประหลาดใจก็คงไม่ได้ เพราะฮองเฮาพระองค์ใหม่เย่วซื่อได้เสียชีวิตไปนานถึงแปดปีแล้ว ทิ้งไว้เพียงพระโอรสวัยสิบสองปีเหลืออยู่หนึ่งคนเท่านั้น

ดังนั้นจึงหมายความว่าในวังหลังของฮ่องเต้จงเหวินตี้ในยามนี้ยังไม่มีนายหญิงที่แท้จริง มีเพียงพระสนมลั่วเสียนเฟยจากสกุลลั่วของจวนฝูกั๋วกง พระสนมซูเฟยจากตระกูลหวาง และพระสนมลู่เจาอี๋จากตระกูลลู่เท่านั้น

เพราะเหตุนี้จวนฝูกั๋วกงที่หลบหนีจากความวุ่นวายในเมืองหลวงมานานจึงคล้ายดั่งมีแสงสีทองสาดส่องมาที่จวนของพวกเขาใหม่อีกครั้ง เพราะทุกคนต่างรู้กันดีว่าพระสนมคนอื่นๆ เป็นเพียงสตรีที่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบให้แก่พระอนุชาเพื่อช่วยสะสมอำนาจให้แก่ตระกูลมู่หรงเท่านั้น

แต่พระสนมลั่วเสียนเฟยผู้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านฝูกั๋วกง คือสตรีที่อดีตเฉิงอ๋องร้องขอแต่งงานเข้ามาเป็นพระชายารองในยามนั้นด้วยความต้องการของพระองค์เอง

ภายในวังหลวงของแคว้นอู่หลังจากที่ฮ่องเต้จงเหวินตี้นั่งครองบัลลังก์ถือว่าสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง เริ่มมีการรับพระสนมจากตระกูลที่มีอำนาจต่างๆ เพิ่มขึ้นมามากมายในวังหลัง แต่พระสนมทั้งสามคนนี้ล้วนมีพระโอรสและพระธิดาให้แก่ฮ่องเต้จงเหวินตี้ตั้งแต่ยังเป็นเพียงเฉิงอ๋องเท่านั้น จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายนัก

ณ.เมืองเจี้ยนคัง แคว้นอู่

ลั่วมู่จิ่นนอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย เพราะกำลังสับสนว่าตนเองเคยผ่านชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยมาก จนต้องล้มตัวนอนสิ้นใจตายอย่างน่าเวทนาในวัยสิบแปดปีมาแล้ว หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝันที่ยาวนานเพียงหนึ่งตื่นเท่านั้น

หลังจากที่ฟื้นคืนสติรู้สึกตัวเห็นได้ชัดว่าในยามนี้ตัวนางยังเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนเยาว์และยังอยู่ในสถานะคุณหนูสามของจวนฝูกั๋วกงลั่วมู่จิน ไม่ใช่ท่านหญิงซินอี๋แห่งราชสกุลเฟิงเจวี๋ยญาติผู้น้องที่แสนดีขององค์รัชทายาทมู่หรงอี้เฉินในปีนั้น…

“คุณหนูสามรู้สึกตัวตื่นแล้ว ข้าจะรีบไปบอกฮูหยินใหญ่เดี๋ยวนี้” เสียงของสาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบาที่ด้านนอกม่านมุ้ง

“เจ้ารีบไปเถิด อย่าได้ลืมส่งคนไปตามท่านหมอเสิ่นมาตรวจอาการของคุณหนูสามด้วย ข้าจะอยู่กับคุณหนูเอง”

“กุ้ยอิน?” มู่จิ่นส่งเสียงแหบพร่าพูดเรียกคนที่คุ้นเคยอย่างยากลำบาก

“บ่าวอยู่นี้เจ้าค่ะ คุณหนูสามอยากดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ”

กุ้ยอินส่งเสียงที่แสนไพเราะสมชื่อของนางเอ่ยขานรับ ก่อนที่ตัวคนจะเดินมาเปิดม่านมุ้งที่ครอบเตียงนอนของลั่วมู่จิ่นออก

“อื้ม…” มู่จิ่นส่งเสียงตอบในลำคอ

อีกฝ่ายก็รีบขยับตัวมายกตัวเด็กน้อยบนเตียงให้ลุกขึ้นนั่งแล้วนำชามน้ำมาจ่อปาก กุ้ยอินจัดการปรนนิบัติคุณหนูน้อยที่นอนอยู่บนเตียงอย่างคล่องแคล่ว

เสียงของคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าตรงมาที่ห้องแห่งนี้ ลั่วมู่จิ่นจิบน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ลำคอของตนเองก่อนจะเบิกตาให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะมองรอบห้องแห่งนี้ให้ชัดเจน ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลียอีกครั้ง

“จิ่นเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” เสียงของสตรีวัยกลางคนเอ่ยเสียงดังที่ข้างตัวทำให้ลั่วมู่จิ่นฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เป็นเพราะใบหน้าของสตรีผู้นี้ติดอยู่ในความทรงจำของนางมานานหลายปี เป็นความเสียใจครั้งใหญ่ที่นางไม่อาจจะแก้ไขได้ แม้จะคิดถึงคนผู้นี้มากแต่ก็ไม่อาจจะมองเห็นได้อีกแล้ว สร้างความเจ็บปวดในใจของนางอย่างล้ำลึก

แต่ในวันนี้นางกลับได้มีโอกาสมองใบหน้างดงามที่แสนอ่อนโยนของเย่วเล่อได้ใหม่อีกครั้ง

“ท่านแม่…” ลั่วมู่จิ่นเอ่ยถ้อยคำที่ตนไม่ได้พูดมานานด้วยความคิดถึงและด้วยความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในหัวใจมานานหลายปี

“จิ่นเอ๋อร์ แม่มาแล้ว” เย่วเล่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของจวนฝูกั๋วกงรีบสั่งให้สาวใช้ขยับตัวหลบทางของนาง ก่อนที่ตัวนางจะรีบนั่งลงบนเตียงนอนแล้วประคองกอดบุตรสาวคนเดียวของตนขึ้นมาแนบอกด้วยความรักใคร่และความสงสาร

“อีกประเดี๋ยวท่านหมอเสิ่นจะมาช่วยตรวจอาการป่วยของเจ้า ถึงยามนั้นเจ้าห้ามดื้อดึงและจงยินยอมกินยาแต่โดยดีรู้หรือไม่”

ลั่วมู่จิ่นหักห้ามใจตนเองไม่ให้ร้องไห้แล้วกอดรัดมารดาที่เลี้ยงดูนางมานานถึงแปดปีด้วยความรักและความคิดถึง

ความจริงแล้วฮูหยินใหญ่ตระกูลลั่ว เย่วเล่อผู้นี้คือท่านป้าแท้ๆ ของตัวนาง พระมารดาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของนางมีนามว่าเย่วซินเป็นพระชายาเอกของหนิงอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่าน เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเย่วเล่อ เป็นญาติผู้น้องของเย่วซื่อผู้ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ในยามนี้ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาเย่วของแคว้นอู่

การที่ลั่วมู่จินได้รับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของเย่วเล่ออีกครั้ง ทำให้ตัวนางเริ่มแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ฝันไป นางได้มีโอกาสย้อนเวลากลับมาในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้ว หมายความว่านางได้ฟื้นจากความตายแล้วตื่นขึ้นมาในยามที่ตนเองยังเป็นเด็กน้อยอายุแปดปีอีกครั้ง

ในชีวิตที่จบสิ้นไปแล้วนางผู้เป็นท่านหญิงซินอี๋ผู้เก่งกาจจอมวางแผน หลังจากที่ถูกผู้อื่นลอบสังหารและถูกวางยาพิษนับครั้งไม่ถ้วน แต่พระนางก็ยังรอดตายมาได้ แล้วจัดการแก้คืนเอาคืนผู้อื่นอย่างสาสมแทบจะทุกครั้ง

ทว่าสุดท้ายแล้วท่านหญิงซินอี๋ในวัยสิบแปดปีก็ต้องมาสิ้นลมหายใจบนเตียงนอนขององค์ชายสามมู่หรงอี้เทียนผู้พิการและมีสติวิปลาสจนได้…

ชีวิตในวัยเด็กของลั่วมู่จิ่น

ชางเหวินปีที่หนึ่ง

ฮ่องเต้จงเหวินตี้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระเชษฐาของพระองค์อย่างชอบธรรมโดยไร้ซึ่งสงครามภายในเมือง ทำให้แคว้นอู่เจริญรุ่งเรื่องมากขึ้นและสงบสุขเป็นอย่างมาก แคว้นอู่เป็นแคว้นที่มีพรมแดนติดกับแคว้นเซิงและแคว้นฉิน ทั้งสามแคว้นนี้พยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเป็นมิตรต่อกัน โดยใช้วิธีการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานระหว่างแคว้นทำให้ปราศจากการสู้รบระหว่างแคว้นมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว

ณ.เมืองเจี้ยนคัง แคว้นอู่

คุณหนูสามลั่วมู่จิ่นหลังจากที่ป่วยหนักเนื่องจากซุกซนวิ่งเล่นฝ่าพายุหิมะกับพี่ชายฝาแฝดของนางลั่วมู่เหยียนแล้ว เมื่อคุณหนูสามผู้ซุกซนหายป่วยพลันมีนิสัยเปลี่ยนไปเป็นเด็กเรียบร้อยจนผู้อื่นสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน จากเด็กน้อยผู้ซุกซนเอาแต่ใจตนเองเปลี่ยนเป็นเรียบร้อยเชื่อฟังและทำตัวติดกับผู้เป็นมารดาของตนไปแทบจะทุกที่

ฮูหยินใหญ่เย่วเล่อทำสีหน้าเอือมระอาผู้เป็นบุตรสาวก่อนจะพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าชอบทำตัวติดกับมู่เหยียน จะต้องร้องขอออกไปเล่นซนที่ด้านนอกจวนพร้อมกับเขาอยู่ทุกวัน จนมารดาอย่างข้าแทบจะไม่ได้พบเห็นหน้าของเจ้านานข้ามวันเลยก็มี แต่ในยามนี้ช่างดีนัก ดึกดื่นค่อนคืนแล้วแต่ตัวเจ้าก็ยังไม่ยอมกลับไปนอนที่เรือนของตนเอง”

“ท่านแม่กำลังรู้สึกรำคาญจิ่นเอ๋อร์อยู่หรือเจ้าคะ”

มู่จิ่นพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ทำให้เย่วเล่อพลันใจอ่อนแล้วรีบพูดปลอบใจบุตรสาวของตนในทันทีว่า “แม่ไม่ได้รำคาญใจ แต่ในยามนี้ดึกมากแล้วตัวเจ้าเองก็ดวงตาปรือแทบจะปิดอยู่แล้วแต่ยังดื้อดึงจะขอนั่งคัดตำราในห้องแม่ให้ได้ มีอะไรหรือเปล่า”

ลั่วมู่จิ่นแอบตำหนิร่างกายเด็กน้อยของตนเองในทันที ทั้งๆที่อยากจะอยู่กับท่านแม่ให้นานมากกว่านี้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกง่วงนอนจนแทบจะสัปหงกอยู่ได้

“อีกไม่กี่วันท่านปู่และท่านย่าจะเดินทางกลับมาที่เมืองเจี้ยนคังแล้ว ท่านย่าสั่งให้จิ่นเอ๋อร์คัดคัมภีร์บทสวดพระธรรมจำนวนสิบบท จิ่นเอ๋อร์ยังทำไม่สำเร็จเลยเจ้าค่ะ”

“เจ้าเด็กคนนี้ ปกติก็ใช้ให้พี่ชายของเจ้าช่วยคัดให้คัมภีร์บทสวดพระธรรมแทนเจ้ามาโดยตลอดแล้วเพราะเหตุใดในวันนี้จึงขยันผิดปกติเสียได้”

“ก็มิใช่ว่าเป็นเพราะบุตรสาวอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับท่านแม่ให้นานขึ้นอีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ ช่วงนี้ท่านพ่อไม่อยู่จวนเป็นเพราะต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อดำเนินการขอตำแหน่งซื่อจื่อฝูกั๋วกง จิ่นเอ๋อร์จึงได้ใช้ช่วงเวลานี้อยู่กับท่านแม่อย่างใกล้ชิดได้เจ้าค่ะ”

“เจ้าเด็กผู้นี้พูดจาแปลกประหลาดอีกแล้ว ทำอย่างกับว่าท่านพ่อของเจ้าขัดขวางไม่ให้เจ้าใกล้ชิดกับแม่เสียอย่างนั้น”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อหวงท่านแม่มากชอบยึดเวลาของท่านแม่ไปครอบครองเพียงคนเดียวเท่านั้น”

มู่จิ่นเบ้ปากแล้วแกล้งพูดถึงนายท่านใหญ่ลั่วหย่งเซินด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ทำให้เย่วเล่อยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากส่งเสียงหัวเราะ เหล่าสาวใช้ทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงคิกคักหัวเราะด้วยความขบขันเช่นกัน

ลัวมู่จิ่นอมยิ้มและมองบรรยากาศรอบกายด้วยดวงตาเป็นประกาย ในยามที่นางเป็นท่านหญิงซินอี๋อยู่ในวังหลวงที่แสนเย็นชา นางแอบคิดถึงจวนฝูกั๋วกงที่แสนอบอุ่นอยู่เป็นประจำ และแล้วนางก็มีโอกาสย้อนกลับมาอยู่ในช่วงเวลานี้อีกครั้ง

ในวัยเด็กเช่นนี้นางมัวแต่เล่นซุกซนอยู่กับพี่ชาย จวบจนฮ่องเต้จงเหวินตี้คืนฐานะเดิมให้นาง มู่จิ่นหรือท่านหญิงซินอี๋ก็ไม่เคยได้รับสัมผัสที่แสนอบอุ่นจากท่านแม่ผู้นี้อีกเลย นางมัวแต่ลุ่มหลงฐานะใหม่ที่สูงส่งเมื่อรู้ตัวอีกทีจวนฝูกั๋วกงก็ตกต่ำลงแล้ว

ในชีวิตนั้นนางเลือกใช้ชีวิตเป็นท่านหญิงซินอี๋ที่สูงศักดิ์ละทิ้งฐานะคุณหนูสามแห่วงจวนฝูกั๋วกงทิ้งไป ช่วงเวลานั้นท่านแม่เพิ่งจะสูญเสียพี่ชายรองไปแล้วยังจะต้องมาเสียบุตรสาวอย่างนางไปอีกคนจึงป่วยหนักเพราะตรอมใจ

พระสนมลั่วเสียเฟยถูกใส่ร้ายว่าพระนางวางแผนสังหารไฉ่เหริ่นผู้หนึ่งที่เพิ่งตั้งครรภ์บุตรมังกรจนเสียชีวิต หลักฐานแน่นหนายากจะปฏิเสธฮ่องเต้จงเหวินตี้เห็นแก่ความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยามาเนิ่นนานจึงไม่ได้ลดตำแหน่งของพระสนมลั่วเสียนเฟยแต่สั่งกักขังพระนางเอาไว้ในพระตำหนักฉางหนิง

จวนฝูกั๋วกงพลอยรับเคราะห์ถูกยึดตำแหน่งกั๋วกงและยึดศักดินา กลายเป็นสามัญชนที่ถูกผู้อื่นรังแกได้ง่าย ในยามนั้นแม้ว่านางจะใช้ตำแหน่งท่านหญิงซินอี๋มาช่วยเหลือแต่ก็ไม่ทันการแล้ว ท่านปู่ท่านย่ารวมถึงท่านพ่อและท่านแม่ได้เสียชีวิตลง เพราะถูกคนลอบสังหารเพื่อไม่ให้พระสนมลั่วเสียนเฟยมีคนช่วยหนุนหลังได้อีก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้มู่จิ่นพลันมือสั่นเพราะความเสียใจ

“จิ่นเอ๋อร์เจ้าไปพักผ่อนเถิด ดูสิมือสั่นจนตัวอักษรเสียหายกระดาษแผ่นนี้ใช้การไม่ได้แล้ว”

“ท่านแม่เจ้าคะ จิ่นเอ๋อร์คิดถึงพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองแล้ว ท่านแม่เขียนจดหมายขอให้ท่านพ่อพาพี่ชายทั้งสองคนกลับมาเมืองเจี้ยนคังได้ไหมเจ้าคะ”

“พี่ชายทั้งสองคนของเจ้าต้องเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ใช่ว่าอยากจะกลับบ้านมาได้ตามใจของเจ้า”

ลั่วมู่จินเม้มปากแน่นในชีวิตนี้นางจะต้องหาวิธีช่วยชีวิตของพี่ชายรองให้ได้ รวมถึงทุกคนในจวนฝูกั๋วกงแห่งนี้ด้วย

“ท่านแม่เจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราย้ายเข้าไปอยู่ในจวนฝูกั๋วกงที่เมืองหลวงดีไหมเจ้าคะ สายน้ำอยู่ไกลไม่อาจจะดับไฟใกล้ได้ทันเวลา ถ้าหากพวกเราอยู่ร่วมกันในเมืองหลวง เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะได้รอดพ้นจากเภทภัยได้เจ้าค่ะ”

“เจ้าเด็กร้ายกาจผู้นี้ เป็นตัวเจ้าเองที่อยากจะไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงใช่หรือไม่ จึงได้หาข้ออ้างมากมายถึงเพียงนี้”

“ท่านแม่…”

“เอาล่ะ คืนนี้ดึกมากแล้วเจ้ารีบกลับไปนอนที่เรือนนอนของเจ้าจะดีกว่า แม่นมเจิ้งส่งคนมาตามเจ้าสองสามรอบแล้ว”

“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นจิ่นเอ๋อร์ขอตัวลาไปนอนก่อนเจ้าค่ะ”

ลั่วมู่จิ่นเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงยอมแพ้ และได้แต่คิดแค้นใจตนเองที่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ช่างไร้กำลัง ไร้ความน่าเชื่อถือ แล้วนางจะแก้ไขเรื่องในอนาคตไม่ให้เกิดเรื่องร้ายซ้ำรอยเดิมได้อย่างไร ลั่วมู่จิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ

คนที่สมควรถูกอิจฉา

ลั่วมู่จิ่นเดินกลับเรือนโม่โฉวด้วยความคิดและจิตใจที่เลื่อนลอย ทางเดินมีคบไฟจุดส่องทางจนสว่างไสวไปตลอดทาง แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับหยุดยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้งเล็กน้อย

พระจันทร์เต็มดวงทำให้ท้องฟ้าดูสว่างไสว นับตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คราวนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นลั่วมู่จิ่นชดเชยทุกอย่างให้แก่ทุกคนในตระกูลลั่วเท่านั้น ไม่คิดจะเอื้อมมือไปใคว่คว้าคว้าพระจันทร์ที่อยู่สูงเกินเอื้อมมาครอบครองอีกต่อไปแล้ว แต่ทว่าฐานะของคุณหนูสามจวนฝูกั๋วกงย่อมจะไม่มีอำนาจมากพอในการปกป้องทุกคนได้

ในชีวิตที่แล้วท่านหญิงซินอี๋แอบรู้สึกอิจฉา เสด็จป้าของพระนางเย่อซื่อผู้เป็นฮองเฮายิ่งนัก ที่แม้ว่าจะสิ้นชีพจากไปนานแล้วแต่ยังคงครอบครองพระทัยของฮ่องเต้จงเหวินเต๋อได้ ต่อมาท่านหญิงซินอี๋จึงได้รู้ว่าความคิดเช่นนี้ของตนช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ผู้ที่คู่ควรจะได้รับความอิจฉาอิจฉามากที่สุดคือมารดาที่เลี้ยงดูนางมาอย่างฮูหยินซื่อจื่อฝูกั๋วกงเย่วเล่อต่างหาก

ลั่วหย่งเซินเมื่อแต่งเย่วเล่อเข้าจวนฝูกั๋วกงมาแล้ว เขาจัดการไล่สาวใช้ห้องข้างที่เคยปรนนิบัติเขาให้ออกจากจวนไปจนหมดทุกคน หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติและไม่เคยรับอนุเข้าเรือนมาทำให้ฮูหยินของเขาต้องทุกข์ใจอีกเลย สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว มีบุตรชายสามคนและมีบุตรสาวที่เป็นนางอีกหนึ่งคนเท่านั้น

ในขณะที่เย่วซือฮองเฮาในยามที่เป็นพระชายาเอกเฉิงอ๋อง คนที่เฉิงอ๋องรักใคร่ใส่พระทัยอย่างแท้จริงคือพระชายารองสกุลลั่ว ไม่ใช่สาวงามจากต่างแคว้นเช่นพระนาง แม้ว่าในภายหลังเฉิงอ๋องกลายเป็นฮ่องเต้จงเหวินตี้แล้วแต่งตั้งเย่วซื่อเป็นฮองเฮาก็ตาม

แต่ในพระทัยของฮ่องเต้ผู้สูงส่งยังทรงห่วงใยและคิดแต่จะปกป้องพระสนมลั่วเสียนเฟยและพระโอรสที่เกิดกับพระนางอย่างสุดกำลัง ทรงใช้องค์ชายรองที่กำเนิดจากเย่วซื่อฮองเฮาผลักดันออกมาเป็นเป้าล่อขนาดใหญ่ อีกทางก็ผลักดันองค์ชายใหญ่ให้มีความสามารถโดดเด่นขึ้นมา เพื่อไม่ให้องค์ชายสามถูกผู้อื่นเพ่งเล็งจนโดนปองร้าย

ในชีวิตนั้นของนางแม้ว่าองค์ชายสามจะพิการจนหมดสิทธ์ครองบัลลังก์เป็นแน่แท้แล้ว แต่ฮ่องเต้จงเหวินตี้ยังทรงแต่งตั้งองค์ชายสามให้เป็นชางอ๋องมอบอำนาจทางทหารให้ท่านอ๋องผู้พิการดูแลแทบทั้งหมด ดังนั้นฮองเฮาที่ตายไปแล้ว ได้ถูกดึงพระนามนำออกมาใช้เพื่อเป็นการปกป้องสตรีคนอื่นเท่านั้น เสด็จป้าของนางผู้นี้จึงถือได้ว่าเป็นสตรีที่น่าสงสารมากที่สุด

ส่วนพระมารดาผู้ให้กำเนิดท่านหญิงซินอี๋แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระชายาเอก แต่หนิงอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่านยังมีสนมและพระชายารองอีกมากมายหลายคน ความจริงแล้วท่านหญิงซินอี๋ยังมีพี่ชายต่างมารดาอีกหลายคน มีบางคนที่แอบหลบหนีไปยังแคว้นฉินได้ และก็มีหลายคนที่ต้องเสียชีวิตลงภายหลังการก่อกบฏครั้งใหญ่คราวนั้น

ดังนั้นผู้ที่ท่านหญิงควรจะแอบรู้สึกอิจฉาย่อมต้องเป็นมารดาผู้เลี้ยงดูนางมาจนเติบโตผู้นี้มากกว่า แต่ท่านหญิงซินอี๋ในยามนั้นถูกอำนาจราชศักดิ์อำพรางตาจนมืดบอด ไม่รู้และไม่เคยเข้าใจเรื่องราวต่างๆที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น กว่าจะรู้ตัวว่าตนหลงเดินผิดทางมานานก็สายเกินไปเสียแล้ว…

“คุณหนูสาม เหตุใดจึงมายืนเหม่อลอยตากน้ำค้างอยู่เช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะ พวกเจ้าก็ช่างกระไรไม่รู้จักเอ่ยห้ามคุณหนู ดูสิน้ำค้างลงแรงถึงเพียงนี้ถ้าคุณหนูป่วยหนักอีกครั้งจะทำอย่างไร”

“แม่นมเจิ้ง ท่านอย่าดุด่าพวกนางเลยเจ้าค่ะ เป็นตัวข้าเองที่เลอะเลือน แม้พวกนางจะเอ่ยเตือนแล้วใช่ว่าข้าจะเชื่อฟังและยอมทำตาม น้ำค้างเริ่มลงหนักแล้วพวกเรารีบเดินกลับเรือนโม่โฉวกันเถิด”

“คุณหนูคนดีของข้า หลายวันมานี้เห็นคุณหนูมีนิสัยเปลี่ยนไปไม่ดื้อรั้นและรู้ความมากขึ้น ตัวข้าต้องแอบไปจุดธูปจุดเทียนนั่งสวดมนต์ที่หอพระแทบจะทุกวันด้วยความขอบคุณ แต่ในวันนี้คุณหนูก็เปลี่ยนกลับมาไม่รู้ความอีกแล้ว”

ลั่วมู่จิ่นส่งเสียงหัวเราะเดินไปกอดแขนของแม่นมเจิ้งอย่างออดอ้อนแล้วพูดขึ้นว่า “แม่นมถึงขนาดต้องเดินทางไกลไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรให้ข้าไม่ดื้อรั้นไม่ซุกซนเชียวหรือ”

“ก็ใช่นะสิเจ้าคะ เพราะเอ่ยปากพูดบ่นไปคุณหนูก็ไม่ฟัง ข้าจึงต้องพูดบอกกล่าวให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับฟังข้าเท่านั้น”

ลั่วมู่จิ่นส่งเสียงหัวเราะกับเสียงบ่นของแม่นมเจิ้ง เจิ้งมามาผู้นี้ไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไป นางเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ เลี้ยงดูมู่จิ่นมาตั้งแต่เล็กจนเติบโต ในชีวิตที่แล้วเพื่อสังหารองค์ชายใหญ่ให้แก่องค์รัชทายาท ท่านหญิงซินอี๋ช่างใจดำถึงกลับส่งแม่นมของตนไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้น การลอบสังหารประสบความสำเร็จ องค์ชายใหญ่มู่หรงอี้หานสิ้นชีพแต่แม่นมเจิ้งก็กลายเป็นร่างที่ไร้ลมหายใจถูกคนแบกหามกลับคืนมาหาท่านหญิงซินอี๋เช่นกัน

คนที่รักห่วงใยนางอย่างแท้จริงและคอยดูแลปกป้องนางรอบด้านเช่นนี้ ลั่วมู่จิ่นจะไม่ยอมสูญเสียคนผู้นี้เพียงเพื่อบุรุษคนหนึ่งอีกแล้ว…

“แม่นม…ต่อไปนี้ข้าจะสวดมนต์ไหว้พระร่วมทำบุญเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”

“ไอ้หย๊า~ นี่บ่าวเช่นข้าหูฝาดเฝื่อนไปแล้วใช่หรือไม่ จึงได้ยินถ้อยคำที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของคุณหนูสามได้”

แม่นมเจิ้งทำเสียงตกใจจนเกินพอดี จึงสามารถเรียกเสียงหัวเราะสดใสของลั่วมู่จิ่นได้อีกครั้ง เด็กน้อยกอดแขนแม่นมของตนเอาไว้แน่น โดยมีสาวใช้อีกสองสามคนเดินตามพวกนางสองคนอยู่ทางด้านหลังด้วยสีหน้าอมยิ้ม…

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0