โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

“อ.ปานเทพ” แฉ “ทนายตั้ม” งานนี้ดิ้นไม่หลุด

THE ROOM 44 CHANNEL

เผยแพร่ 19 พ.ย. 2567 เวลา 00.44 น.

“อ.ปานเทพ” แฉ “ทนายตั้ม” ยังทําไม่เนียนต้องไปฝึกใหม่ ลั่น! งานนี้ดิ้นไม่หลุด

วันที่ 18 พ.ย. 2567 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์หลังเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนในคดีเจ๊อ้อย นางสาวจตุพร อุบลเลิศ นาน 4 ชั่วโมงเต็ม

นายปานเทพ ระบุว่า ในฐานะสื่อมวลชนที่รับข้อมูลจากคนสองกลุ่ม คนกลุ่มหนึ่งก็คือผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ อีกคนกลุ่มหนึ่งก็คือพยานปากสําคัญ ที่เกี่ยวข้องกับหลายขบวนการที่เกิดขึ้นก็คือฝั่งมี่และเตอร์ ทางฝั่งผู้เสียหายก็คือพี่อ้อย วันนี้ในฐานะสื่อที่รับข้อมูลทั้งสองฝั่ง และตนเองก็เจอพี่อ้อยแล้ว 3 ครั้ง เจอมี่กับเตอร์ 1 ครั้ง แล้วก่อนหน้านี้ก็ได้ประสานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ส่วนพยานหลักฐานที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาแชตไลน์ หรือวิดีโอ ภาพถ่ายทั้งหมด คู่กรณีและพยานได้ส่งมอบให้กับตํารวจทั้งหมดแล้ว ตนอาจจะมีเก็บตกในรายละเอียดบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้ว เชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานของตำรวจสอบสวนกลางน้้น คดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววัน และจะเป็นที่ยุติอย่างชัดเจนว่าเป็นกระบวนการฉ้อโกงเป็นปกติธุระ

ทั้งนี้ในส่วนของความสําคัญของคดีนี้ จะยึดโยงมาถึง 71 ล้าน หรือ 9 ล้าน 13 ล้านนั้น นายปานเทพ ระบุว่า ตัวชี้ขาดจะเป็นคดี 39 ล้านเพราะว่าจะเห็นพฤติการณ์ทั้งหมด ที่แบ่งเป็นขบวนการที่เกิดขึ้นและทําให้เห็นว่า การที่จะเอาเงินจากพี่อ้อย มาทั้งหมด เป็นการวางแผนที่เตรียมการสู้คดีเอาไว้ด้วย ตั้งแต่แรก ตั้งแต่การร่างสัญญา การส่งไฟล์วิธีคิดในการต่อสู้คดีความวางแผนไว้ทั้งหมด ณ จนถึงวันนี้ ตนมั่นใจแล้วว่า ตํารวจมีพยานหลักฐานครบอย่างแน่นอน

ดังนั้น คดีจาก 39 ล้านจะทําให้เข้าใจ 71 ล้าน 9 ล้านในแต่ละกรณีทั้งหมดว่า มันคือการออกแบบไว้ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นเวลามีการออกแบบไว้ล่วงหน้ามันก็น่าจะเข้าข่ายการฉ้อโกง ไม่สามารถจะเรียกว่าเป็นการให้โดยเสน่หาได้ เพราะเป็นการกระทําซ้ำๆ เป็นการแบ่งงานกันทําแบ่งเป็นขบวนการ โดยเฉพาะคดี 39 ล้าน ต้องยกเครดิตให้กับตํารวจ เพราะว่าสามารถหาพยานหลักฐานจนมัดแน่นว่ามี แบ่งเงินกันยังไง แบ่งให้ใครแล้วไปที่ไหน แล้วไปใช้จ่ายอะไรบ้าง โดยถึงวันนี้ไม่ว่าเส้นเงิน และพยานหลักฐานทุกอย่างมัดแน่นครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าทนายใครก็ตามที่จะรับคดีต้องคิดหนักแม้กระทั่งทนายสายหยุด ก็ต้องคิดหนัก แต่ตนเองไม่เปิดเผยหลักฐานในคดี ส่วนตัวเชื่อว่า เข้าสู่กระบวนการฟ้องก็จะเห็นหลักฐานทั้งหมด

“ส่วนตัวมองว่าเรื่อง 39 ล้าน ชัดมาก มันทําให้ขบวนการและมีการวางแผนล่วงหน้า เป็นขั้นเป็นตอนเป็นการชี้ขาดกระบวนวิธีคิด ทำให้ไม่สามารถดิ้นไปทางให้โดยเสน่หา เช่น การแสร้งไปพูดว่าอย่าไปโอนเลยอาจจะเป็นมิจฉาชีพไปคุยกับพี่อ้อย แต่สุดท้ายคุณโทรศัพท์ในขั้นตอนการเบิกเงินหมด ยังไม่นับกระบวนการรับเงินและนับเงิน และการแบ่งเงินมันไปกันอย่างไร ถ้าตํารวจไม่มีหลักฐานเนี่ยเสร็จเหมือนกันหลงทางได้เหมือนกัน หรือมีการวางพล็อตเรื่องว่าตัวเองเดินทางไปต่างประเทศในวันถอนเงินสด โดยรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ใช้โทรศัพท์ประสาน ซึ่งปัญหาคือ แล้วเขาเกี่ยวพันอย่างไรทนายตั้มและครอบครัวเกี่ยวอย่างไร และอยู่ต่างประเทศจริงหรือไม่และอย่างไรเนี่ยผมจะทิ้งโจทย์นี้ไว้ให้ทางผู้สื่อข่าวไปสืบสวนสอบสวนต่อหาข้อเท็จจริงและทางตํารวจ เขารู้ทั้งหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นนะตนจะยังไม่เปิดในตอนนี้เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี” อ.ปานเทพกล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า “ล็อกเป้าฉ้อโกงเจ๊อ้อยจริงหรือไม่” นายปานเทพ ระบุว่า แน่นอนพี่อ้อย เป็นเป้า หลังจากเริ่มพึ่งพาคําปรึกษาจากทนายตั้ม ก็รู้แล้วว่าบุคคลรายนี้ไม่มีความรู้ และแม่นยําด้านกฎหมาย เมื่อหวังมาพึ่งพาตนเองก็ใช้โอกาสนี้ในการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อนําไปสู่การนําเงินมาเป็นส่วนตัวของตัวเอง โดยยกตัวอย่างว่าจะมีใครพิมพ์แชตไลน์เยอะๆ ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างหลักฐานให้กับตัวเองว่าไปคุยกับพี่อ้อย ทั้งๆ ที่เป็นการคุยกับเลขา ตรงนี้มันผิดวิสัยการเล่าเรื่องลักษณะแบบนี้ มันเป็นการสร้างหลักฐานประดิษฐ์ หลักฐานผลิตเอกสาร เพื่อทำให้เชื่อว่ามีการพูดคุยกับพี่อ้อยจริง ซึ่งพี่น้อยเขาเป็นเลขา เขาไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่ในร่องรอยของการพิมพ์เอกสารก็ทิ้งโจทก์เอาไว้ว่ามันไม่เนียนตรงที่ว่าไปขอให้พี่น้อยไปเจรจากับพี่อ้อย ถ้าเป็นที่ยุติแล้ว พี่น้อยไม่จําเป็นต้องเจรจาอะไรกับพี่อ้อยอีก ยังมีพิรุธอีกเยอะดังนั้น “ยังทําไม่เนียน ต้องไปฝึกใหม่”

นอกจากนี้ผู้ที่เข้าร่วมขบวนการ แต่ไม่ได้เป็นผู้ที่ไปร่วมกันฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน ก็ต้องถูกมองว่าเป็นพยานหรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าจะเป็นพยานก็ต้องให้ความร่วมมือกับทางตํารวจ แสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่เข้าร่วมขบวนการหรือปลอมแปลงเอกสาร ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ให้ตามข้อเท็จจริง ตํารวจสืบข้อเท็จจริงได้จะอยู่ในสถานภาพจํานนต่อหลักฐาน

ส่วนประเด็นเรื่องพินัยกรรม นายปานเทพ ระบุว่า ให้ไปฟังทั้งหมดที่เดียวในรายการคุณสนธิทอล์กเท่านั้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0