โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ภูมิคุ้มกันบกพร่องกับโควิด-19 ความเสี่ยงสูงแม้ได้รับวัคซีนครบ 4 เข็ม

The Bangkok Insight

อัพเดต 13 ก.พ. เวลา 08.59 น. • เผยแพร่ 13 ก.พ. เวลา 08.59 น. • The Bangkok Insight
ภูมิคุ้มกันบกพร่องกับโควิด-19 ความเสี่ยงสูงแม้ได้รับวัคซีนครบ 4 เข็ม

ศูนย์จีโนมฯ เผยภูมิคุ้มกันบกพร่องกับโควิด-19 ความเสี่ยงที่ยังสูงแม้ได้รับวัคซีนครบ 4 เข็ม อัตราการนอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 5 เท่า

ผลการศึกษา INFORM เกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องต่อโควิด-19 ในอังกฤษปี 2566 พบข้อมูลที่น่าสนใจ โดยผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมีสัดส่วนเพียง 4% ของประชากรที่ศึกษา แต่กลับคิดเป็น 22% ของผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากโควิด-19

โควิด-19
โควิด-19

การศึกษานี้ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างสุ่ม 12.1 ล้านคนในอังกฤษ พบว่ามีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล 11,200 ราย และเสียชีวิต 2,330 ราย ที่น่าสนใจคือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 4 เข็มในสัดส่วนที่สูงถึง 72.6% เทียบกับประชากรทั่วไปที่ 29.8%

เมื่อพิจารณากลุ่มเสี่ยง พบว่าผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกในช่วง 2 ปีก่อนติดเชื้อมีความเสี่ยงสูงที่สุด รองลงมาคือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะในช่วง 5 ปีก่อนติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย และผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด

ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า แม้จะผ่านมา 3 ปีและมีการฉีดวัคซีนในอัตราที่สูงขึ้น กลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด อย่างไม่ได้สัดส่วน สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนามาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลและป้องกันกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้โดยเฉพาะ

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและสาธารณสุขอังกฤษ เผยผลการศึกษาระยะยาวโครงการ INFORM ปี 2566 ที่วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 12.1 ล้านคน พบผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องยังเสี่ยงโควิด รุนแรง แม้ได้รับวัคซีนครบ 4 เข็ม โดยมีอัตราการนอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 5 เท่า
นิยามและกลุ่มเสี่ยง

ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องหมายถึงผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานต่ำกว่าปกติ แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. ภาวะบกพร่องแต่กำเนิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรค SCID ที่พบ 1 ใน 2,000 ของประชากร 2. ภาวะบกพร่องภายหลังจากโรคหรือการรักษา เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด

ศ.เจมส์ วิลสัน หัวหน้าทีมวิจัยอธิบายว่า ระบบภูมิคุ้มกันเปรียบเสมือนป้อมปราการที่เสียหาย ทำให้เชื้อโรคโจมตีได้ง่ายโดยเฉพาะเชื้อฉวยโอกาสอย่างเชื้อรา Pneumocystis"
ผลการศึกษาที่น่าตกใจ

ข้อมูลจาก 12.1 ล้านตัวอย่างในอังกฤษช่วง 18 เดือนแสดงให้เห็นว่า แม้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีสัดส่วนเพียง 4% ของประชากร แต่กลับคิดเป็น 21.7% ของผู้ป่วยโควิด-19 ที่นอนโรงพยาบาล และ 21.9% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป 96% ที่มีอัตรานอนโรงพยาบาล 78.3% และเสียชีวิต 78.1%

ดร.เอมิลี่ คาร์เตอร์ นักระบาดวิทยาระดับสูงชี้ว่า ความเสี่ยงนี้ยังคงสูงแม้ปรับค่าอายุและโรคประจำตัวแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มปลูกถ่ายอวัยวะที่เสี่ยงนอนโรงพยาบาลสูงสุด 13.1 เท่า

ปริศนาวัคซีน 72.6% VS 29.8%

ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องมีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด ครบ 4 เข็มสูงถึง 72.6% เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปเพียง 29.8% แต่ยังมีอัตราการติดเชื้อรุนแรงสูงกว่า ผู้เชี่ยวชาญอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดจาก การตอบสนองต่อวัคซีนที่ลดลง เนื่องจากกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันต้องอาศัยเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำงานปกติ โดยพบว่าระดับแอนติบอดีหลังฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ต่ำกว่าปกติ 3-5 เท่า

แนวทางการแก้ปัญหา

คณะวิจัยเสนอแนวทางการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการพัฒนาระบบเฝ้าระวังพิเศษ (Enhanced Surveillance System) ที่ติดตามอาการผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ร่วมกับการตรวจเลือดประเมินระดับภูมิคุ้มกันทุก 3 เดือน

ทางด้านการรักษา มีข้อเสนอให้ใช้ยาต้านไวรัสชนิดออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antivirals) ร่วมกับแอนติบอดีสังเคราะห์ (Monoclonal Antibodies) เป็นการป้องกันล่วงหน้า แทนการรักษาหลังติดเชื้อแบบเดิม ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งชาติอังกฤษกำลังทดสอบวัคซีนรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ปรับแต่งพิเศษสำหรับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทดลองทางคลินิกในปี 2567

ศ.วิลสันเน้นย้ำว่า การป้องกันที่มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และนโยบายสาธารณสุข เช่น การจัดสรรงบประมาณวิจัยเพิ่ม 25% ในปี 2568 และออกแบบโปรโตคอลการให้วัคซีนเข็มที่ 3

ผลการศึกษานี้ชี้ชัดว่าการรับมือโควิด ในยุคต่อไป ต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางสุขภาพอย่างยั่งยืน

การรับมือ COVID-19 ในยุคหลังการระบาดใหญ่ จำเป็นต้องเปลี่ยนจากแนวทาง หนึ่งขนาดเหมาะกับทั้งหมด (One-size-fits-all) มาสู่ระบบดูแลสุขภาพแบบแม่นยำ (Precision Healthcare) ที่คำนึงถึงความแตกต่างทางสรีรวิทยาของแต่ละกลุ่มประชากรอย่างแท้จริง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0