โดยรายงาน Future of Jobs Report 2025 ได้อ้างอิงข้อมูลจากนายจ้างกว่า 1,000 รายทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานกว่า 14 ล้านคนใน 22 กลุ่มอุตสาหกรรม ถ้าใครสนใจรายละเอียดเต็มๆ ก็อ่านได้จากอ้างอิงท้ายบทความครับ
ถ้าเอาแบบคร่าวๆ คือ เขาได้วิเคราะห์แนวโน้มของตลาดแรงงานในอนาคตในอีก 4-5 ปีนี้ว่า เทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในตัวพลิกเกมทางธุรกิจที่สำคัญ และเปลี่ยนโลกของการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าน่าสนใจอยู่ที่ แม้หลายองค์กรตั้งใจจะใช้ AI เดินเกมธุรกิจ แถมใจตรงกันว่า ทักษะการใช้ AI กำลังมาแรงแซงโค้งเป็นที่หนึ่ง แต่บรรดานายจ้างก็ยังคาดหวังให้พนักงาน “คิดเป็น” อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงระบบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เมื่อ Selfie ร้ายกว่าฉลาม และลุกลามสู่บริบทองค์กร โดย อนิรุทธ์ ตุลสุข
'กินดีอยู่ดี สุขภาพดี' ทำไม?เป็นมะเร็งได้
อ้าว! ไหนๆ ก็ใช้ AI ที่มีข้อมูลและคิดได้ไวกว่าเราแบบไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้ว ทำไมยังจะให้คนมา “ฝึกทักษะคิด” ให้ปวดกระโหลกอีกเล่า? ผมจึงอยากบอกกล่าวให้ฟังว่า เรื่องของเรื่อง มันเป็นอย่างนี้ครับ
อย่างแรกสุดเลย คือ ต้องเข้าใจว่า AI ในขณะนี้ โดยเฉพาะ Generative AI ยังอยู่ในช่วงพัฒนา แม้ว่าจะโชว์สเต็ปเทพ ถามได้ตอบได้ยิ่งกว่าอับดุล แต่ก็มิใช่ว่า การประมวลผลของผู้ช่วยหน้าใหม่นี้จะปราศจากความผิดพลาดเสียทีเดียว เพราะขึ้นกับว่าถูกฝึกสอนมาได้ดีแค่ไหนด้วย
ดังนั้น องค์กรจึงต้องการคนที่ คิดเชิงวิพากษ์ได้ ก็เพื่อให้ เอ๊ะ! แล้วตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ด้วย
ตัวอย่างที่เห็นชัด เช่น การตอบคำถามของ AI บางตัวที่ออกอาการหลอน (AI Hallucination) มโนคำตอบขึ้นมาเอง หรือมีอคติบางอย่างได้เช่นกัน
อย่างโปรแกรมเมอร์หลายท่านที่เคยใช้ AI ในการเขียนโปรแกรม ก็มักบอกว่า ผู้ใช้ต้องเลือก AI ให้เหมาะสมกับงาน ตรวจทานโค้ดที่เขียนออกมา และอาจต้องเรียบเรียงใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นด้วย
ประการที่สอง AI ทำงานภายใต้กรอบข้อมูลเดิมที่ฝึกมาและกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แม้ปัจจุบัน AI จะใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นแล้ว (เช่น การแต่งเพลง นิยาย สร้างภาพประกอบ หรือ สร้างสรรค์ไอเดียต่างๆ ให้เรา)
แต่เมื่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้วยเทคโนโลยี สภาพสังคม หรือ ความต้องการของคน การคิดนอกกรอบ และมองหาโอกาสใหม่ๆ ยังคงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ เช่น การพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หรือ การออกแบบกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะคนเรานั้นสามารถเชื่อมโยงกับความรู้สึก และแรงบันดาลใจระหว่างกันได้
ประการสุดท้าย มนุษย์ยังคงมีความเข้าใจในบริบท หรือ สถานการณ์จริงจากประสบการณ์ตรงที่สัมผัสมาด้วยตนเอง ผ่านหลายบทบาทที่แตกต่างกัน ทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว จึง คิดเชิงวิเคราะห์ และคิดเชิงระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อน เฉพาะตัว หรือ ปัญหาที่เกี่ยวของกับคนได้ดีกว่า เช่น การแก้ไขปัญหาที่ต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัย การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจช่วงวิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือ การเจรจาต่างๆ ในขณะที่ AI อาจให้ได้เพียงข้อแนะนำที่ดี แต่มีข้อจำกัดทางด้านมุมมองโดยรอบ
จากที่ว่ามา “คนที่คิดเก่ง” จึงเป็น “ซอสสูตรลับ” ขององค์กรในยุค AI เพราะจะนำประสบการณ์ มาคิดวิเคราะห์ สร้างทางเลือก และตัดสินใจเพิ่มเติมได้อย่างกลมกล่อม โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศน์นั้น อารมณ์ จริยธรรม หรือแม้แต่วัฒนธรรมก็ตาม
การพัฒนา “ความคิด” ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการคิดวิพากษ์ คิดวิเคราะห์ คิดเชิงระบบ หรือ การคิดสร้างสรรค์ จึงเป็นการดึงศักยภาพจากประสบการณ์ของคนทำงานสั่งสมมาให้ถึงขีดสุด เพื่อเสริมสมรรถภาพทำงานเคียงคู่กับความว่องไวของเทคโนโลยี AI และนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในการส่งมอบคุณค่าสู่ลูกค้าและสังคมในท้ายที่สุด
ดังนั้น หากองค์กรมีโปรแกรมพัฒนาทักษะการคิดในปีนี้ จงอย่ารีรอ เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่า องค์กรมองเห็นว่า ตัวคุณมีความสามารถไม่ด้อยกว่า AI เลยครับ หรือ หากยังไม่มี ตัวเราเองก็เร่งขวยขวายขัดเกลาทักษะการคิดนี้ให้เฉียบคม แล้วคุณค่าในตัวเรา จะฉายแสงออกมาเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิมครับ
อ้างอิง: รายงาน Future of Jobs Report 2025