1.
ผมเป็นเด็กติดทะเล
ตั้งแต่จำความได้ชีวิตผมก็อยู่กับทะเลมาโดยตลอด
คุณพ่อของผมเป็นชาวประมง พ่อจะออกเรือไปกลางทะเล
ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันไกลแค่ไหน
เพราะพ่อจะหายไปทุก ๆ ครึ่งเดือน หรือเดือนนึงกว่าพ่อจะกลับ
ทุกครั้งที่ฟังข่าวว่าช่วงนี้ทะเลมีลมและคลื่นแรง ไม่ควรออกจากฝั่ง
จะเป็นประโยคที่ผมและทุกคนในบ้าน ฟังแล้วจะหันหน้ามามองกัน
แล้วเงียบ แต่ข้างในใจก็หวังว่าพ่อจะปลอดภัย และกลับมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน
หลังบ้านผมมีสวนมะลิ
เป็นของป้าบ้านข้าง ๆ ที่ปลูกเอาไว้สำหรับขายให้คนที่จะเอาไปทำพวงมาลัยขาย
ตอนเด็ก ๆ ผมเลยต้องตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะวิ่งเข้าไปในดงมะลิพร้อมกับพี่สาวและน้องสาว
เพื่อที่จะเด็ดออกมะลิ ออกมาชั่งกิโลให้ป้าข้างบ้าน ด้วยกิโลละยี่สิบบาท
ต้องรีบเด็ดก่อนที่ฟ้าจะสาง เพราะไม่งั้นดอกมะลิจะบานหมด ไม่ได้ราคา
ได้เงินมาก็เอามาซื้ออาร์ซี เป็นน้ำอัดลมสีดำรสชาติเหมือนโคล่า
ช่วงที่ผมเด็ก ๆ ยี่ห้อนี้ฮิตมาก ซึ่งตอนนี้ก็หากินน่าจะไม่ได้แล้ว
ทุกคร้ังที่พ่อกลับมา เราจะมานั่งล้อมวงกัน
เอาปลาหมึก กุ้ง ปู
พร้อมกับเปิดทีวีขาวดำ ที่ระบบเปลี่ยนช่องเป็นแบบมือหมุน
นั่งดูช่องเก้าการ์ตูน พร้อมกับฟังเรื่องที่พ่อไปออกทะเลมาอย่างสนุกสนาน
พ่อเป็นคนพูดน้อย
เวลาแกพูดที ทุกคนก็จะตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
จริง ๆ ทั้งบ้านเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด
ยิ่งเป็นเรื่องของการแสดงความรักด้วยแล้ว
ยิ่งน้อยมาก
เราไม่เคยพูดว่าคิดถึง รัก หรือการกอด การหอม
ทุกอย่างจะเคอะ ๆ เขิน ๆ เมื่อต้องแสดงออกอะไรแบบนี้ออกไป
แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่รักกัน แต่วิธีการแสดงออกของกันและกันมันไม่ใช่แบบนี้
มันจะมาในรูปแบบของการบ่น
หรือการถามแบบที่มีนัยยะว่าเป็นห่วงแอบแฝงอยู่ในนั้นซะมากกว่า
2.
ผมเป็นเด็กห้องคิง
แต่เป็นเด็กห้องคิงที่อยู่หลังห้อง
ถ้าใครเคยมีเพื่อนห้องคิงจะเข้าใจว่า
เด็กห้องนี้จะเรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฆ่าได้ แต่คะแนนน้อยกว่าไม่ได้
ทุกวันที่เลิกเรียน จะไม่มีใครวิ่งเข้าสนามฟุตบอล
ทุกคนจะวิ่งเข้าโรงเรียนกวดวิชา
อย่าพูดถึงผม นั่งสองแถวไปลงตลาด แล้วหาก๋วยเตี๋ยวอร่อย ๆ
กินกับเพื่อนที่ไม่ได้ร่วมอุดมการณ์กับชนกลุ่มนั้น
คะแนนเต็มสี่สิบ ถ้าได้สามสิบเก้าคือร้องไห้ ว่าทำไมผิด
ผมซึ่ง ได้ยี่สิบกว่า ๆ นั่งดีใจแทบตาย
เพราะผ่านมีนที่ทำให้ปลายภาคไม่ต้องพยายามมากมายเหมือนตอนตกมีน
ทั้งห้องมีห้าสิบคน 4.00 กันสามสิบคน
คนที่ได้ 3.98 3.95 จะร้องไห้ตาบวม
สวมกอดกันอย่างกับว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้าย
และความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นหมอจะดับสูญ
เพราะได้เกรดสามวิชาพละ
วิชาที่เด็กห้องคิงถนัดน้อยที่สุด
3.
ผมเริ่มจดบันทึก เขียนไดอารี่ตอนอยู่มอหก
ช่วงนั้นไปเข้าค่าย แล้วได้เจอเพื่อนคนนึงคนละโรงเรียน
แต่สนิทกันมาก
หลังจบค่าย สัญญากันกว่าจะมาเจอกันทุกวันเสาร์
แล้วระหว่างนั้นก็เขียนไดอารี่ว่าแต่ละวันเราเจออะไรกันบ้าง
แล้วพอวันเสาร์ที่มาเจอกัน ก็เอาไดอารี่มาแลกกัน
ผมตั้งใจเขียนว่าทุกวันผมเจออะไรมาบ้าง
แน่นอนว่าตอนนั้นอินเตอร์เน็ตไม่ได้แรงเท่าทุกวันนี้
การโทรคุยกันคือการต่อคิวที่ตลาด
รอคุยโทรศัพท์นาทีละบาทที่ล่ามโซ่ยาวกันเราวิ่งเอามันกลับบ้าน
ผมเขียนว่าผมคิดยังไงกับสิ่งที่ผมเจอ
แล้วรออ่านว่าเค้าได้เจออะไรมาบ้าง
แล้วคิดยังไงกับมัน
เราเขียนสลับกันแบบนี้อยู่เป็นปี
(นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมชอบจดบันทึกจนถึงทุกวันนี้)
ความสุขของการอ่านไดอารี่เขียนมือ
คือตอนที่เราลูบกระดาษสัมผัสถึงรอยขรุขระจากแรงปากกา
เรารู้สึกได้ถึงความตั้งใจของเรื่องราวที่ถูกเล่าลงมาในกระดาษแต่ละหน้า
ไม่รู้จะเรียกว่ารักแรกดีมั้ย
แต่เป็นความทรงจำนึงที่ยังเก็บไว้จนกระทั่งวันนี้
ไดอารี่เล่มนั้นยังอยู่
ยังรู้สึกดีที่ได้เปิดอ่านมันอยู่ทุกครั้ง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกลับไปเขียนหากันอีก
———————-
ทุกอย่างคือความทรงจำที่ผมมีความสุขที่สุด
มองกลับไปภาพในหัวจะเป็นสีซีเปีย เหมือนหนังสมัยก่อน
ภาพไม่ค่อยชัด แต่บางฉากก็จำแม่น
บางฉากก็คลับคล้ายคลับคา
เป็นความทรงจำตัดแต่งที่ผมเลือกจะจำมันมาแบบนี้มากกว่า
ความสุขที่เราอยากจะจำมันแบบนี้
โดยที่ความจริงท่ีเกิดขึ้น ของทุกคนที่เกิดขึ้น
มูดและโทนจะเป็นแบบนี้ไปเหมือนกันทั้งหมดรึเปล่า
ไม่มีใครรู้
ในความรู้สึกของพ่อที่ไปออกเรือ กลับบ้านมาเจอเมียและลูก
คือความสุขเหมือนกับที่เรารู้สึกรึเปล่า
ถ้าใช่ ทำไมพ่อถึงเลือกที่จะไปมีใครอีกคน
หรือจริง ๆ แล้วตอนนั้นผมขี้เกียจแล้วทำข้อสอบไม่ได้
เลยเลือกที่จะมีความสุขกับคะแนนน้อย ๆ
แล้วเอาความตั้งใจของคนอื่น ๆ มาบอกกว่ามันมากเกินไป
ทดแทนความไม่เอาไหนของตัวเองมากกว่า
ความสุขของการเขียนไดอารี่
มันคือความสุขของเราสองคนรึเปล่า
ถ้าใช่ ทำไมเค้าถึงเลือกที่จะหยุดเขียน
แล้วหายจากไปหลังจากนั้นได้หนึ่งปี
เราต่างก็มีความทรงจำที่เราอยากจำกันทั้งนั้นใช่มั้ย
แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันก็เป็นความทรงจำตัดแต่ง
ที่เราเลือกที่จะจำในสิ่งที่เราอยากจะจำมันไว้
เราพบเจอเรื่องราวมากมาย
เรื่องที่กระทบจิตใจให้ได้เก็บมันเอามาเป็นความทรงจำ
แต่เหตุการณ์เดียวกัน
คนที่อยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น เลือกที่จะเก็บอารมณ์ และความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
ความจริงคือสิ่งที่เราเชื่อ
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนั้น
ความจริงคือสิ่งที่เราเข้าใจว่ามันเป็นแบบนั้น
ไม่ใช่สิ่งที่มันเป็น
เพราะตอนนั้น อาจไม่มีใครเข้าใจในแบบที่มันแบบ
ทุกคนเข้าใจ ในแบบที่ตัวเองรู้สึกกับมัน
นั่นทำให้ผมรู้สึกว่า
ที่บางครั้งเจ็บปวดกับบางความทรงจำอยู่
เพียงเพราะเราเลือกที่จะจำในแบบที่เราเป็นผู้ถูกกระทำใช่มั้ย
เราเลือกที่จะเข้าข้างตัวเอง และมองว่ามันเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ มากกว่า
โดยที่ในมุมของใครอีกคน หรืออีกหลายๆคน
อาจไม่ใช่แบบนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไร
หรือจริง ๆ แล้วมันอาจไม่มีความจริงเลยก็ได้ในโลกใบนี้
ถ้าเป็นความทรงจำตัดแต่ง
ที่แต่งแล้วมันทำให้เรามีความสุข
ก็น่าจะเป็นความทรงจำที่ดี
แต่ถ้าเป็นความทรงจำตัดแต่ง
ที่เราแต่งมันขึ้นมาเอง โดยที่ไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่เลือกที่จะจำแบบนี้
ก็ต้องมานั่งคลี่ดูให้ดี
ว่าที่ตัดมันออก แล้วแต่งเติมบางอย่างเข้ามา
ทำให้ทุกวันที่ต้องมีอยู่ ยังเดินต่อไปได้มั้ย
ถ้ามันเดินแล้วลำบาก
ลองตัดมันใหม่
แต่งเรื่องราวดี ๆ ที่ทำให้ชีวิตไปต่อ
ไม่ได้มาบอกให้โกหกตัวเอง
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่า
ความทรงจำของใคร จริงกว่าใครกันแน่
เลือกที่จะตัดแต่งความทรงจำที่ดีที่สุด
ให้ตัวเองมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป
เรื่องราวเดียวกัน
อยู่ที่คนจะมอง คนจะจำ
จะจำแต่เรื่องที่ทำให้ตัวเองบอบช้ำก็ทำได้
เพราะสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่เรากุขึ้นมาเองด้วยกันทั้งหมด
ขึ้นอยู่ว่าสุดท้ายแล้วอยากมีความทรงจำอะไร
ส่วนตัวผมแล้ว ผมรู้ว่าความจริงคืออะไร
แต่ความทรงจำตัดแต่งของผม
คือเรื่องที่คุณได้ยินมาทั้งหมดนั่นแหละ
จำแบบนี้
ก็มีความสุข
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้ บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์