ข้อมูลเบื้องต้น
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : Guangzhou Alibaba Literature lnformation TechnologY Co., Ltd
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย : Glory Forever
ประพันธ์โดย : 安年(Ān nián) แปลและเรียบเรียงโดย : AiLì
“เจิงเอ๋อร์…เจ้าต้องใช้ความงามของเจ้าให้เป็นประโยชน์เข้าใจหรือไม่?
ครึ่งชีวิตที่เหลือของแม่คงต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
“ไม่! ข้าไม่ใช่เจิงเอ๋อร์ ข้าไม่ใช่คนจากโลกนี้”
.
ตายยังไม่ทันได้รู้ตัว…
‘กู้เจิง’ สาวจากโลกอนาคตก็ต้องมาเกิดใหม่ในร่างคุณหนูใหญ่ ‘เจิงเอ๋อร์’
ร่างเดิมที่ถูกโบยจนตาย เพราะถูกพบขณะแอบอิงแนบชิด
อยู่ในอ้อมอกของว่าที่น้องเขยของนาง!
เลือกเส้นทางผิด เหล่าบุรุษรอบตัวต่างก็ดูถูกนาง
เป็นเพราะแม่ของตัวเองแท้ๆ เลย มารดาขายส่งเอ๊ย!
ข้าแค่อยากมีชีวิตอยู่เป็นโสดอย่างเด็ดเดี่ยว
สาวยุคเก่าช่วยเข้าใจข้าหน่อยไม่ได้หรือ!?
.
.
-----------------
แนะนำช่องทางการอ่านนิยายแปลจีนสุดคุ้มกับระบบ subscribe จาก Jinovel
https://www.youtube.com/watch?v=1Z70wf-9P8A
----------------------------------
พลาดไม่ได้! อ่าน ‘ครั้นดอกฝูหรงผลิบานในต่างภพ’
และนิยายจาก Jinovel ทั้งหมด ทุกเรื่อง ทุกตอน ไม่จำกัด
เพียง 99 บาท / เดือน คลิกเลย >https://bit.ly/3JKaAFV
----------------------------------
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
จังหวะเสียง
กระดูกในร่างเหมือนกับจะแตกหักจนหมดสิ้นแล้ว ขยับแม้เพียงเล็กน้อยก็เจ็บปวดแทบขาดใจ
สติของกู้เจิงยังคงเลือนราง นางรู้สึกกระหายน้ำ และด้วยความเจ็บปวดของร่างกายทำให้นางทำได้เพียงขยับริมฝีปากเอ่ยเสียงออกมาเท่านั้น “คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” สาวน้อยผู้เกล้าผมมวยจุกสองข้างปรากฏเข้าสู่สายตาของกู้เจิง เด็กสาวมองนางอย่างตื่นเต้นพลางเช็ดน้ำตาแล้วพูดอย่างดีใจ “บ่าวจะรีบไปแจ้งแก่ซู่เหนียงเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็สาวเท้าวิ่งจากไป
ในครรลองสายตาของกู้เจิงด้านบนของเตียงไม้ปักลวดลายระกาทองกระต่ายหยกโดยใช้โครงสร้างสุนเหม่า[1] บนผ้าม่านโปร่งข้างๆ กันยังถักร้อยรูปดอกไม้ใบหญ้าทั้งสองด้าน เหมือนจริงราวกับมีชีวิต มองผ่านๆ ยังนึกว่าเป็นของจริง นางจ้องไปที่เตียงฉลุอันหรูหราด้วยสายตาว่างเปล่า จนกระทั่งเด็กสาวที่วิ่งออกไปเมื่อครู่ วิ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมตะโกนอย่างตื่นเต้น “คุณหนูใหญ่ ซู่เหนียงมาแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นปากของกู้เจิงกำลังจะขยับเด็กสาวก็รีบเอาหูเงี่ยฟังเสียงใกล้ๆ ปากนาง
“เจิงเอ๋อร์ได้สติแล้วจริงหรือ? สวรรค์คุ้มครอง หลับมาสิบวันในที่สุดก็ฟื้นเสียที” สตรีในชุดกระโปรงเรียบง่ายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา นางหน้าตาสะสวย เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ร่างกายอ่อนช้อย นุ่มนวลงดงามไร้ใดเปรียบ เพียงแต่หางคิ้วที่โก่งงอนขึ้นน้อยๆ นั้นออกจะลดทอนความงามลงไปเสียหน่อย
“ซู่เหนียง คุณหนูใหญ่หมดสติไปอีกแล้วเจ้าค่ะ” สาวน้อยนางนี้ก็คือบ่าวรับใช้ข้างกายของกู้เจิงนามว่า‘ชุนหง’ ได้ยินคุณหนูใหญ่ของนางเอ่ยได้สามคำก็ไร้ซึ่งเสียง พอมองไป คุณหนูใหญ่ก็สิ้นสติลงอีกครั้ง
หวังซู่เหนียงรีบก้าวมาดูบุตรสาว ยามเห็นใบหน้าขาวซีดของบุตรีก็น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดใจ “ไหนว่าจะฟื้นวันนี้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงหมดสติไปอีกแล้วเล่า? หมอผู้นั้นคงไม่ได้หลอกพวกเรากระมัง?”
“คุณหนูใหญ่เพิ่งทายาขี้ผึ้งไปเมื่อเช้า ท่านหมอบอกว่าตราบใดที่ไม่มีไข้ก็จะไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
หวังซู่เหนียงใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมซับหยาดน้ำตา ก่อนจะยื่นมือมามาวางทาบหน้าผากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิเป็นปกติจึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก “เมื่อครู่เจิงเอ๋อร์พูดอะไรกับเจ้า?”
“คุณหนูใหญ่พูดออกมาสามคำว่า‘มารดาขายส่ง[2] เจ้าค่ะ มันหมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะซู่เหนียง” ชุนหงฉงนอย่างหาคำตอบไม่ได้
หวังซู่เหนียงชะงักงัน “คำพูดเหลวไหลอะไรกัน นางคงถูกตีจนเลอะเลือนแล้วกระมัง?”
“ซู่เหนียง คุณหนูใหญ่ต้องเจ็บตรงที่ถูกตีแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ” ชุนหงชี้ไปที่ก้นของนายตนเอง
เมื่อนึกถึงบั้นท้ายของบุตรสาวที่ถูกโบยอย่างทารุณถึงยี่สิบไม้และยามถูกหามออกมาในสภาพเลือดเปรอะเช่นนั้น หวังซู่เหนียงก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่ฟื้นแล้วหรือ?” แม่เฒ่าผู้หนึ่งแหวกม่านเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีคนใช้ติดตามมาด้วยอีกคน บนถาดในมือที่ยกมามียาขี้ผึ้งวางอยู่ เห็นได้ชัดว่านางหมางเมินต่อหวังซู่เหนียง ถึงน้ำเสียงจะให้ความเคารพอยู่บ้าง แต่สายตากลับดูหมิ่น นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เป็นของที่นายหญิงตั้งใจนำมาจากบ้านเพื่อมอบให้คุณหนูใหญ่ใช้ทาแผลเจ้าค่ะ นายหญิงยังกล่าวอีกว่า จากนี้ให้หวังซู่เหนียงอย่าได้ส่งเสริมคุณหนูใหญ่ทำเรื่องโง่งมจนเป็นที่เล่าลือไปให้ผู้คนขบขันอีก”
หวังซู่เหนียงแอบเบะปากขณะที่แสร้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา หลังสบสายตาแหลมคมของแม่เฒ่าก็รีบยิ้มอย่างเอาอกเอาใจพลางพูดว่า “คำพูดของนายหญิง ข้าน้อยจะจดจำไว้เจ้าค่ะ”
“หากหวังซู่เหนียงจะจดจำได้จริงก็ถือเป็นเรื่องดียิ่ง นายหญิงยังบอกอีกว่าหากมีครั้งหน้าอีก ท่านและคุณหนูใหญ่ก็เก็บข้าวของกลับบ้านเดิมที่ซ่านเจียงเสียเถิด” แม่เฒ่าพูดโดยไม่มองหน้าหวังซู่เหนียง เมื่อกล่าวคำพูดของผู้เป็นนายจบก็หมุนตัวจากไป
“ซู่เหนียง นายหญิงจะไล่พวกเรากลับบ้านเดิมที่ซ่านเจียงหรือเจ้าคะ” ชุนหงที่อายุยังน้อยตกใจกลัวจนเสียขวัญ
“นางก็แค่ข่มขู่เราเท่านั้น นางเป็นถึงหญิงสูงศักดิ์เกิดในตระกูลใหญ่ ไม่มีทางลดตัวลงมาต่อกรกับภรรยาต่ำต้อยเช่นข้านี้หรอก” หวังซู่เหนียงไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกที่เว่ยซื่อ[3] เข้ามา นางถูกขู่ให้เสียขวัญไปหลายคราจริงๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ “แต่บ่าวคิดว่าครั้งนี้นายหญิงโมโหจริงๆ แล้วเจ้าค่ะ” ชุนหงรู้สึกว่าครานี้นายหญิงพูดจริง เมื่อก่อนไม่ว่าซู่เหนียงกับคุณหนูใหญ่จะทำเกินขอบเขตไปมากแค่ไหน นายหญิงก็จะทำเป็นปิดตาไว้ข้าง ให้อภัยได้ก็ให้อภัย แต่ทว่าครานี้กลับไม่เป็นแบบนั้น “ถึงอย่างไรครั้งนี้คุณหนูใหญ่ก็ทำไม่ดีจริงๆ”
“มีอะไรไม่ดี?” หวังซู่เหนียงแค่นเสียงเย็น “เมื่อตอนบุตรสาวนางยังเด็กได้ช่วยชีวิตองค์ชายห้าไว้ ถึงได้โชคดีถูกเสนอชื่อให้เป็นพระชายาขององค์ชายห้า ยามข้าให้คุณหนูสามแต่งออกไปจึงให้เจิงเอ๋อร์ติดตามไปเป็นอนุด้วย แต่นางกลับก็ไม่เห็นด้วย เฮ้อ ภายหน้าองค์ชายห้าก็ต้องรับอนุเข้ามาอีกแน่นอน รับผู้อื่นยังมิสู้รับเจิงเอ๋อร์ของเราเสียดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรเจิงเอ๋อร์และคุณหนูสามก็เป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันแต่เล็กแต่น้อย จะให้ร้ายบุตรสาวนางได้อย่างไร”
"แต่นายหญิงกล่าวว่า นางได้เลือกคนไว้ให้คุณหนูใหญ่แล้ว อีกฝ่ายอายุเพียงสิบหกปีก็สอบซิ่วไฉ[4] ได้แล้ว นับว่าเป็นคนที่มีอนาคตยิ่ง หลังคุณหนูใหญ่แต่งเข้าไปก็จะได้เป็นภรรยาเอกเจ้าค่ะ”
“สิบหกก็สอบซิ่วไฉได้ บัดนี้อายุสิบเก้าแล้ว ยังจะนับเป็นอะไรได้ แถมบ้านยังยากจนอีก เจิงเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็มีแต่จะทุกข์ทน เป็นภรรยาเอกมีอะไรดี ทุกวันต้องปรนนิบัติผู้อาวุโสซ้ายขวา ซ้ำยังต้องจัดการงานบ้านงานเรือน จะสุขสบายเท่าเป็นอนุของผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไรกัน”
ชุนหงคิดแล้วคิดอีกพลางพยักหน้า ที่ซู่เหนียงกล่าวมานั้นก็มีเหตุผล
พอดีกับที่กู้เจิงฟื้นขึ้นมาได้ยินคำสนทนานั้น ก็โกรธจนหมดสติไปอีกรอบ
เมื่อกู้เจิงตื่นขึ้นจริงๆ ก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว นางขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย บาดแผลที่ก้นปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกไฟเผา
นางไม่ใช่คนจากโลกนี้ กู้เจิงในชาติที่แล้วเป็นเพียงผู้ช่วยตัวน้อยที่ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อหวังจะได้ตำแหน่งสูงขึ้นในบริษัท เมื่อมีวันหยุดจึงถือโอกาสนัดเพื่อนสนิทไปเล่นเทนนิสกัน โดยไม่คาดคิดว่าลูกเทนนิสจะพุ่งมาหาหน้าเธอจังๆ หลังจากตื่นขึ้นก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว
ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาร่างกายของนางเหมือนถูกบังคับกดลงบนพื้น มีคนใช้ท่อนไม้ตีที่ก้นของนาง เสียงดัง ป้าบ ป้าบ ป้าบ นางเจ็บจนหมดสติไปอีกครั้ง
หลังจากฟื้นสติขึ้นมาก็ได้ยินเสียงนางผู้หนึ่งตะโกนร่ำไห้ราวกับจะขาดใจอยู่ข้างๆ นางร้องห่มร้องไห้พร้อมกล่าวว่า “นายท่าน ท่านยกโทษให้เจิงเอ๋อร์เถิด ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวท่าน หากยังโบยต่อไปนางจะตายเอาได้นะเจ้าคะ”
กู้เจิงไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดได้ดีนัก จึงนับประสาอะไรกับการโบยเช่นนี้ ตอนนี้บนใบหน้าของนางจึงแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือน้ำตาอันไหนคือน้ำมูก นางเจ็บจนแทบเปล่งเสียงไม่ออก ศีรษะก็แทบระเบิดด้วยถูกกดและโดนน้ำสาดจนความจำแตกซ่าน เจ้าของร่างเดิมนี้มีนามว่า ‘กู้อวี๋’ มีชื่อเล่นว่า‘เจิงเอ๋อร์’ ซึ่งชื่อเล่นนี้กลับเหมือนชื่อจริงของเธอ นางเป็นบุตรสาวอนุภรรยาของจวนป๋อเจวี๋ย[5]
นางมาเกิดอยู่ในราชวงศ์ที่มีนามว่า‘เยว่กั๋ว’ เป็นราชวงศ์ที่ผู้หญิงทุกคนล้วนเกลียดชัง
“โบยให้ตายก็ดี ข้าไม่น่าให้กำเนิดบุตรสาวที่ไร้ยางอายเช่นนี้เลย” ชายผู้นี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาลอย่างมีโทสะ “ไม่คิดว่าจะกล้าทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ออกมาได้ องค์ชายห้าเป็นถึงว่าที่น้องเขยของนาง”
เรื่องราวอันอัปยศอดสูที่ว่านี่เกินจริงไปมาก นางผู้ซึ่งเป็นร่างเดิมถูกโบย เพราะถูกพบขณะอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอกว่าที่น้องเขยสามของนาง และซู่เหนียงของร่างเดิมนี้ได้ส่งเสริมนางให้แก่องค์ชายห้า หลังรอข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก[6] แล้วภายภาคหน้าก็จะได้เป็นอนุ
แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ
------------------------------------------------------------------------------
[1] สุนเหม่า เป็นวิธีการเข้าไม้แบบโบราณในการรวมส่วนประกอบสองส่วนเข้าด้วยกัน ส่วนที่ยื่นออกมาเรียกว่า เดือย(สุ่น) มีลักษณะเหมือนอักษรจีนคำว่า 凸 และส่วนเว้าเรียกว่า ร่องหรือรูที่บากไว้(เหม่า) มีลักษณะเป็น 凹 สำหรับนำเดือยมาต่อเพื่อให้เป็นทรงที่ต้องการ
[2] มารดาขายส่ง เป็นคำด่าในภาษาจีนเสฉวนและฉงชิ่ง โดย妈แปลว่าแม่ 卖แปลว่าขาย 批แปลว่าอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง มีความหมายโดยรวมว่า แม่เป็นนางโลม
[3] ซื่อ เป็นธรรมเนียมในสมัยก่อนจะใส่คำว่า ‘ซื่อ’(แปลว่า สกุล) ไว้หลังนามสกุลของสตรีที่แต่งงานแล้ว หรืออาจจะเพิ่มนามสกุลสามีไว้ด้านหน้าสุดเพื่อความชัดเจนขึ้น
[4] ซิ่วไฉ เป็นชื่อเรียกผู้สอบรับเข้าราชการในระดับต้นได้ โดยระดับต้นเป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น
[5] ป๋อเจวี๋ย(หมายถึง บรรดาศักดิ์ชั้นป๋อ) เป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของจีนโบราณ นับเป็นลำดับที่สามรองจาก ‘โหว’ โดยบรรดาศักดิ์แบ่งเป็น ‘กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน’ ตามลำดับ
[6] ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก หมายถึง แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
บิดามารดารังแกข้า
องค์ชายห้าเป็นถึงผู้ใดกัน? รอบกายองค์ชายผู้สง่าผ่าเผยจะไร้ทหารคอยอารักขาได้อย่างไร? แม้จะไม่มีการอารักขา แต่ในฐานะที่เป็นองค์ชายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกล่อลวงเอาได้ง่ายๆ
ซู่เหนียงที่เป็นดั่งมารดารังแกบุตรีผู้นั้นพอแผนการไม่สำเร็จ ก็คาดไม่ถึงว่าจะวางยาเหมิงฮั่น* แก่องค์ชายห้าโดยตรง
(*เป็นยาที่ทำให้คนหมดสติหลังจากทานเข้าไป)
“โบยเสีย โบยให้แรง” น้ำเสียงสั่นเทาที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งของบุรุษดังขึ้นอีกครั้ง “จงโบยต่อให้ครบยี่สิบไม้”
‘ป้าบ ป้าบ ป้าบ’ เสียงไม้กระทบเนื้อดังขึ้นอีกครา หลังจากโบยต่อเพียงแค่สองทีกู้เจิงก็แทบจะหมดสติลงอีกครั้ง ในความทรงจำอันเลือนรางนางได้ยินเสียงร้องตะโกนอันเจ็บปวดบีบหัวใจของซู่เหนียง “เจิงเอ๋อร์ของข้า นางถูกโบยเจียนตายอยู่รอมร่อ จะโบยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นายท่าน ข้าขอร้องท่านปล่อยเจิงเอ๋อร์ไปเถิด”
กู้เจิงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะร้องไห้ นางจึงได้แต่น้ำตาตกในอยู่ภายในใจพลางก่นด่ามารดาขายส่งยกใหญ่
“นายท่าน คุณหนูใหญ่หมดสติไปแล้วขอรับ”
“สาดน้ำเรียกสติแล้วโบยต่อไป”
อ่างน้ำเย็นสาดลงมา ต่อให้กู้เจิงอยากจะแสร้งเป็นหมดสติเพียงใดก็ทำต่อไม่ไหวแล้ว เมื่อนึกย้อนกลับไปในหัวของนางมีความทรงจำบางอย่าง เจ้าของร่างเดิมได้วางยาองค์ชายห้า แต่ถูกองครักษ์มาพบเข้า จึงถูกตีเข้าจังๆ จนสติดับไปและถูกจับโยนลงต่อหน้ากู้หงหย่งผู้เป็นเจ้าบ้านสกุลกู้
หลังกู้หงหย่งทราบเรื่องราวแล้วก็เกรี้ยวโกรธจนเกือบได้ขึ้นสวรรค์ก่อนเวลาอันควร ดังนั้นถึงได้มีการใช้กฎประจำตระกูลขึ้นในตอนนี้
สำหรับกฎประจำตระกูลในจวนป๋อเจวี๋ยแห่งนี้โดยปกติล้วนใช้กับบุรุษ แต่กับเด็กสตรีที่บอบบาง ต่อให้เป็นอนุภรรยาแม้แต่จะตีสักฝ่ามือก็ต้องระวังแรงกำลังและวิธีการ ด้วยกลัวว่าจะเหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้ผู้คนรังเกียจ
“นายท่าน สีหน้าคุณหนูใหญ่ไม่ค่อยดีนัก ยังเหลืออีกสามไม้ ท่านดู…”
เสียงของกู้หงหย่งยังไม่ทันดัง กลับมีน้ำเสียงเสียดสีเยือกเย็นเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา “ว่ากันว่าใต้เท้าป๋อเจวี๋ยอบรมสตรีได้ดี พูดแล้วไม่รักษาคำพูด นี่เป็นวิธีการสอนของใต้เท้าป๋อเจวี๋ยอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ กู้เจิงก็ลืมตาขึ้นทันที เจ้าของเสียงก็คือพระเอกในละครฉากน้ำเน่าองค์ชายห้า ‘จ้าวหยวนเช่อ’
ในตอนที่กู้เจิงเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นอกจากจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอับอายยากจะพรรณนาในส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ เพราะบิดาของร่างเดิมให้บ่าวรับใช้ ใช้วิธีการของตระกูลต่อหน้าคนนอกอย่างองค์ชายห้าเช่นนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นความจริงแล้วเป็นเพราะซู่เหนียง มารดาของนาง เจ้าของร่างเดิมแท้จริงแล้วเป็นหญิงหัวโบราณและเก็บตัวอย่างยิ่ง
ดังนั้น เจ้าของร่างเดิมไม่ใช่ถูกโบยจนตาย แต่เป็นเพราะถูกโบยต่อหน้าคนนอกจึงอับอายจนตายทั้งเป็น
ได้ยินเรื่องชีวิตความเป็นความตายมามากมาย แต่อับอายจนตายนั้น นับว่าเป็นครั้งแรก
เมื่อการหวนความทรงจำสิ้นสุดลง กู้เจิงในยุคปัจจุบันก็กลายเป็นกู้เจิงในยุคโบราณ
“คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” ชุนหงที่ออกไปล้างหน้าเพราะรู้สึกเพลียและง่วงนอน พอกลับเข้ามาเห็นคุณหนูใหญ่มองบนเตียงอย่างล่องลอย ก็วิ่งมาหาอย่างดีใจ “คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วจริงๆ ด้วย”
กู้เจิงเหลือบมองชุนหงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลุบม่านตาลงอีกครั้ง แม้เธอจะยอมรับความจริงที่ว่าตนเองได้เข้ามาสู่ที่แห่งนี้อย่างลึกลับจนยากจะเข้าใจ แต่เมื่อใดก็ตามที่สัมผัสถึงความทรงจำสิบหกปีของเจ้าของร่างนี้ กลับรู้สึกว่าหากชีวิตไร้สิ่งให้คะนึงหาก็ช่างไร้ความหมายเสียจริงๆ
“คุณหนูใหญ่ ท่านหิวหรือยังเจ้าคะ? บ่าวต้มโจ๊กไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ”
กู้เจิงเบนสายตาไปมองชุนหงพร้อมกับขยับริมฝีปาก “เอามาสองชาม จงจำไว้ ใส่เนื้อให้เยอะหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ชุนหงวิ่งออกไปยกอาหารอย่างมีความสุข
ชุนหงเป็นเด็กสาวรับใช้ที่เติบโตมากับกู้เจิง อุปนิสัยซื่อตรงและจงรักภักดี ด้วยเหตุนี้จึงถูกหวังซู่เหนียง หรือก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดของนางชักนำไปในทางไม่ดี
โจ๊กสองชามนั้นของชุนหงยังไม่ทันจะถูกนำมา หวังซู่เหนียงก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น
เมื่อเห็นมารดาไร้ค่าผู้นี้ กู้เจิงก็ปวดหัว ปวดตา ปวดมือ ปวดไปทุกที่ จึงหันนอนตะแคงข้างแสร้งทำเป็นหลับไป แต่ยังรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดจากด้านหลังที่โอบเข้ามาหาและจับศีรษะนางกดลงในอ้อมอก
“เจิงเอ๋อร์ของข้า ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที หากเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แม่คงจะตกใจกลัวจนตายแล้ว คาดไม่ถึงว่าพ่อที่จิตใจเหี้ยมโหดผู้นั้นของเจ้าจะสั่งให้คนโบยเจ้ายี่สิบไม้จริงๆ เจ้าเป็นแค่หญิงสาวนางหนึ่งจะทนไหวได้อย่างไร”
กู้เจิงหิวโหยมาหลายวันแล้ว แม้แรงจะผลักก็ยังไม่มี ในขณะที่นางรู้สึกว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายในอ้อมอกนั้น มารดาผู้นี้ก็ปล่อยให้นางเป็นอิสระ
“โอ๊ะ เจิงเอ๋อร์ลูก เจ้าเป็นอะไรไป? จู่ๆ หน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดเช่นนี้”
กู้เจิงสูดลมหายใจเข้าระลอกใหญ่ หลังหอบหายใจอย่างยากลำบากก็รีบผลักหวังซู่เหนียงออกไป “ซู่เหนียง ข้าอยากพักผ่อนค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ”
หวังซู่เหนียงตกตะลึง แก้วตาดำคู่นั้นเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา “เจิงเอ๋อร์ เมื่อก่อนเจ้าล้วนเรียกข้าว่าท่านแม่ เหตุใดจึงเรียกข้าซู่เหนียงเล่า? แม่รู้ว่าในใจเจ้าจะต้องโทษแม่เป็นแน่ แต่ แต่แม่ก็ไม่คิดว่าองค์ชายห้าผู้นั้นจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ นำคุณหนูใหญ่เช่นเจ้าในสภาพแต่งกายไม่มิดชิดโยนลงต่อหน้านายท่าน ซ้ำยังต่อหน้าคนรับใช้มากมาย แม่…”
“ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ” พอหวังซู่เหนียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ความละอายและความอัปยศอดสูภายในใจก็พรั่งพรูออกมา ทำอย่างไรก็ควบคุมไม่อยู่ แน่นอน นี่ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกของกู้เจิง แต่น่าจะเป็นของเจ้าของร่างนี้ที่เหลือทิ้งไว้
เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรสาวไม่ดีนัก หวังซู่เหนียงก็เงียบปากลง
ไม่ง่ายเลยที่กู้เจิงจะถอนตัวออกจากอารมณ์ความรู้สึกอึดอัดใจเหล่านั้น แววตาซับซ้อนของนางจ้องมองไปยังมารดาไร้ค่าผู้นี้ จากก้นบึ้งของหัวใจอยากจะหลุดพ้นจากนางยิ่งนัก ความทุกข์ยากลำเค็ญเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะนางหามาให้ทั้งนั้น หรือจะบอกกับนางตามตรงว่าเจ้าของร่างนี้ตายแล้วดี? บอกว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของนาง?
แต่ใครเล่าจะเชื่อ
“ซู่เหนียง หลังจากลูกถูกโบยก็ตระหนักได้แล้ว แม้ท่านจะเป็นผู้ให้กำเนิดลูก แต่ท่านเป็นอนุภรรยา ตามกฎมารยาทนับแต่บรรพบุรุษได้กำหนดไว้ว่า บุตรที่ท่านให้กำเนิดจะเรียกท่านได้แค่ซู่เหนียงเท่านั้น หลังจากนี้ไปพวกเราปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เสียจะดีกว่าเจ้าค่ะ” ช่วงหลายวันมานี้นางได้แยกแยะความทรงจำของร่างเดิมมารอบหนึ่ง พยายามจะไม่นึกถึงเล่ห์กลเพทุบายอันไร้ประโยชน์ของหวังซู่เหนียง อันที่จริงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนางก็นับว่าค่อนข้างสบายนัก นายหญิงมิเพียงไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดร้าย กระทั่งยังเรียกได้ว่ากินดีอยู่ดี นอกจากความต่างของภรรยาเอกและอนุภรรยาแล้ว หากสิ่งใดบุตรีภรรยาเอกมีนางเองก็มีเหมือนกัน ตราบใดที่พวกนางทำตามกฎเกณฑ์ชีวิตย่อมดีอย่างแน่แท้
ทว่าหวังซู่เหนียงดันมักใหญ่ใฝ่สูง ผลสุดท้ายจึงทำเอาบุตรีของนางชอกช้ำไม่ต่างกัน
อย่างน้อยก็เพื่อชีวิตของนางเอง ต้องกล่อมให้หวังซู่เหนียงสงบจิตสงบใจก่อนชั่วคราว หายนะออกทางปาก* สิ่งใดทำได้ยากก็ให้เริ่มที่ปากเสียก่อน กู้เจิงคิดเช่นนี้
(*หมายถึง ปัญหาที่เกิดจากการใช้คำพูดคำจาไม่เหมาะสม)
จะกล่าวว่านางปอดแหกก็ได้ อย่างไรไม้กระดานใหญ่ทั้งยี่สิบไม้นั้นก็ทำลายการสั่งสอนอบรมในยุคสมัยใหม่ของนางหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้นก็ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวแล้วกัน
“หากเราทำตามกฎแล้ว เกรงว่าแม้แต่หน้าท่านพ่อเจ้าก็คงมองไม่ติด” หวังซู่เหนียงกลับคิดว่ากฎระเบียบมีประโยชน์อะไรกัน
“ซู่เหนียง สิบกว่าปีมานี้ท่านพยายามดึงความสนใจของบิดามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครา มิสู้ใช้ชีวิตไปอย่างมั่นคงปลอดภัยเสียจะดีกว่าหรือเจ้าคะ”
หวังซู่เหนียงเดิมเป็นสาวใช้ห้องข้างก่อนที่นายท่านตระกูลกู้จะแต่งงาน เป็นเพราะในเวลานั้นกู้หงหย่งเจ้าบ้านตระกูลกู้ซึ่งยังเป็นแค่ป๋อเจวี๋ยน้อยไม่อยู่ห้องหอกลับทำเรื่องโง่เขลา ซึ่งตระกูลกู้ตั้งใจคัดเลือกเป็นพิเศษ นับว่าเป็นการชี้ทางสว่างให้ความรู้พื้นฐานด้านการร่วมรักให้แก่เขา หวังซื่อเป็นคนเจ้าแผนการ พยายามหาหนทางเลี่ยงยาคุมกำเนิดอย่างถึงที่สุด และนับว่าโชคดีนักที่นางตั้งครรภ์จริง เพื่อที่จะให้กำเนิดเด็กคนนี้ จึงหลบเลี่ยงที่จะไม่เสพสังวาสอีก และช่างบังเอิญที่นางผอมบางร่างเล็ก คาดไม่ถึงว่าจะทำให้นางปิดบังมาได้จนถึงตอนที่ครรภ์อายุเจ็ดเดือนจริงๆ
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
เคลื่อนไหวอย่างอิสระ
เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างจวนป๋อเจวี๋ยจะปล่อยให้สาวใช้ห้องข้างให้กำเนิดเด็กก่อนห้องหลัก หวังซื่อจึงฉวยโอกาสในตอนที่แม่เฒ่าสองสามคนมาตามจับนาง วิ่งไปหาฮูหยินชราผู้มีจิตใจเมตตาจึงได้รักษาชีวิตเด็กคนนี้ไว้ได้
เมื่อภรรยาเอกอย่างเว่ยซื่อแต่งเข้าจวนมา ได้ปกครองภายในบ้านอย่างเข้มงวด แต่กลับมองไม่ออกถึงกลอุบายของหวังซื่อผู้ต่ำต้อย ที่ทำเพื่อให้ได้รับการโปรดปราน สำหรับกู้หงหย่งแม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยจะชายตามองนาง ทั้งยังไม่คิดจะรับอนุภรรยาอื่นอีก ในสายตาเขามีเพียงภรรยาและบุตรสาวสองคนกับอีกหนึ่งบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกเท่านั้น
“ขนาดไม่ทำตามกฎยังไม่สามารถดึงความสนใจจากท่านพ่อของเจ้าได้ เช่นนั้นหากทำตามกฎไม่ใช่ว่ายิ่งหมดหวังหรือ? เจิงเอ๋อร์ นี่เจ้าถูกตีตรงสะโพกนะไม่ใช่ศีรษะ”
กู้เจิงรู้สึกอึดอัดใจตรงหน้าอกอยากพรูลมหายใจออกมาก็ไม่ใช่ อยากจะกลั้นไว้ก็ไม่เชิง “ถ้าซู่เหนียงทำตามกฎแล้ว ข้ายังจะต้องรับโทษนี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” ผู้ใดกันที่เห็นนางถูกโบยในวันนั้นแล้วร่ำไห้เสียจนจะขาดใจตาย? ลืมแล้วหรือไร?
“ครั้งนี้เป็นแม่คำนวณผิดพลาดเอง เอาเถิด เจ้าก็อย่าได้กังวลไป รักษาบาดแผลให้ดี มีแม่อยู่ทั้งคน”
ดูจากน้ำเสียงของซู่เหนียง เกรงว่ายังคงดึงดันทำจนกว่านางจะตาย กู้เจิงรู้สึกว่าแผลตรงที่ถูกโบยเริ่มสำแดงเดชอีกแล้ว จากข้อมูลในสมอง นับตั้งแต่น้องสามของนางหรือก็คือบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกยินยอมแต่งแก่องค์ชายห้าเป็นต้นมา หวังซื่อก็เกิดความคิดที่จะให้นางติดตามไปแต่งเป็นอนุแล้ว
“ซู่เหนียง ข้าจะไม่ปรนนิบัติรับใช้สามีคนเดียวกับน้องสามเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่ก็ได้หาช่องทางเรื่องแต่งงานให้ลูกแล้วเจ้าค่ะ” กู้เจิงรีบกล่าว ในความทรงจำ นายหญิงเว่ยซื่อได้หาผู้สอบซิ่วไฉที่มีรูปลักษณ์เหล่อเหลาคมคายผู้หนึ่งไว้ให้นางแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงวันข้างหน้า นางเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะไปต่ออย่างไรดี หากต้องแต่งงาน นางย่อมเลือกปัญญาชนผู้นี้อยู่แล้ว หากได้เป็นภรรยาเอกผู้ใดจะไปอยากเป็นอนุภรรยากันเล่า
“เจ้าเด็กคนนี้ หลังถูกโบยไปหนึ่งยก จู่ๆ ก็สูญเสียความทะเยอทะยานไปได้อย่างไร? เจ้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อเจวี๋ย ต่อให้เป็นบุรุษที่ต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่านี้ก็ไม่สามารถด้อยไปกว่าธรณีประตูจวนป๋อเจวี๋ยได้ เจ้าดูสิว่าเจ้างดงามเพียงใด” หวังซื่อนำกระจกทองเหลืองบานเล็กวางไว้ตรงหน้ากู้เจิง “ถึงจะไม่ได้แต่งตัวก็สามารถทัดเทียมกับบุตรีทั้งสองของนายหญิงได้ บุตรสาวข้ารูปร่างงดงามเช่นนี้ ย่อมคู่ควรเป็นสตรีของผู้มีอำนาจบรรดาศักดิ์”
แม้ว่าภาพหญิงสาวในกระจกที่สะท้อนกลับมาจะดูซีดเซียว ทว่าก็ยังยากจะปกปิดความสง่างามเฉียบคมของนางได้ ความงามอันแสนเปราะบางนี้กอปรกับลำคอที่ยาวระหง ผิวขาวดุจหิมะ หวังซู่เหนียงแต่เดิมก็เป็นสาวงามอยู่แล้ว กู้เจิงก็ได้สืบทอดรับส่วนดีของซู่เหนียงมา เป็นโฉมสะคราญที่เปรียบดั่งศิษย์ได้วิชาจากอาจารย์ แต่เก่งกว่าอาจารย์ กู้เจิงในยุคสมัยใหม่เองก็งามเช่นกัน แต่กู้เจิงผู้นี้งดงามกว่าเธอไม่รู้ตั้งเท่าไร จึงอดไม่ได้ที่มองดูอีกสองสามครา
“ดังนั้นเจิงเอ๋อร์ เจ้าต้องใช้ความงามของเจ้าให้เป็นประโยชน์ เข้าใจหรือไม่? ครึ่งชีวิตที่เหลือของแม่คงต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
กู้เจิงเหนื่อยใจกับมารดาไร้ค่าผู้นี้ยิ่งนัก รู้ว่าถึงตนเองจะพูดอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์ ทั้งไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องนี้อีก พอดีกับที่ชุนหงยกโจ๊กเดินเข้ามา
เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อ กู้เจิงก็จัดการรวดเดียวไปหนึ่งชาม ถึงได้รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง
หวังซื่อมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดูอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงรีบนำอีกชามมาให้อย่างรวดเร็ว “ให้แม่ป้อนเจ้าเถิด”
กู้เจิงคิดอยากปฏิเสธ จากนี้ไปหากอยู่ห่างหวังซู่เหนียงได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี ทว่าร่างกายของนางกลับเป็นไปเอง เพราะทันทีที่หวังซื่อป้อนมา ก็อ้าปากกินโจ๊กเนื้อที่นางป้อน ดูท่า แม้เจ้าของร่างนี้จะตายไปแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกของนางกลับยังอยู่
ทานข้าวเสร็จก็ต้องทายา และทุกครั้งที่ทายาขี้ผึ้งตรงบริเวณสะโพก มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอายที่สุดสำหรับกู้เจิง นางทนความเจ็บปวดไม่ไหว ทุกครั้งที่ต้องทายา นางจะร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่ ผนวกกับความรู้สึกอับอายขายหน้าที่ผุดขึ้นในใจ ทำนบน้ำตาจึงแตกราวกับเขื่อนพังทลายจริงๆ
หวังซู่เหนียงเห็นบุตรสาวเจ็บปวด ก็สะอื้นไห้ไปด้วยพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องร้อง ร้องจนใจแม่เจ็บไปหมดแล้ว ตีที่กายลูก แต่เจ็บที่ใจแม่”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ กู้เจิงก็ร้องไห้เสียใจมากยิ่งขึ้น มารดาไร้ค่าผู้นี้รักบุตรีของตนเองสุดหัวใจในขณะเดียวกันก็ทำร้ายบุตรีไปด้วย ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
หลังจากผ่านไปสิบวัน กู้เจิงก็สามารถลุกจากเตียงได้ ชุนหงไม่รู้จะหาไม้เท้ามาให้นางทำเป็นที่จับไว้พยุงตัวได้จากที่ไหน ถึงแม้นางจะลุกลงจากเตียงได้ แต่ยังเดินตรงๆ ไม่ได้ ดังนั้นลักษณะท่าทางยามเดินในตอนนี้ เมื่อมองจากไกลๆ จึงดูเหมือนฮูหยินชราอย่างยิ่ง
“เจิงเอ๋อร์ แม่ซื้อยาขี้ผึ้งจากหมอที่ดีที่สุดในเยว่ตูมา ลองมาดูเร็วเข้า” หวังซู่เหนียงเดินเข้ามาประหนึ่งสายลม ไม่ยอมให้คัดค้านใดๆ จับให้กู้เจิงเอนตัวนอนลงบนเตียง “ยาขี้ผึ้งนี้เรียกว่า ขี้ผึ้งเนื้อหยกมิรู้จบ ข้าได้ยินชาวบ้านบอกว่าได้ผลชะงัดนัก แม้แต่เหล่าองค์หญิงในวังก็ใช้”
กู้เจิงไม่ได้คัดค้านอะไร นางก็รักความสวยความงาม ย่อมไม่ต้องการให้หลงเหลือรอยแผลเป็นไว้บนร่างกาย
“เจิงเอ๋อร์ของเรางามขนาดนี้ เนื้อผิวดุจหิมะเนียนละเอียด จะทิ้งรอยแผลเป็นบนร่างกายไม่ได้โดยเด็ดขาด มีเพียงสตรีที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติถึงจะได้รับความโปรดปรานจากขุนนางเชื้อพระวงศ์เหล่านั้น”
คำพูดพวกนี้กู้เจิงฟังจนชินชาแล้ว และคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย ในฐานะผู้หญิงยุคใหม่ เธอชอบที่จะพึ่งพาตนเอง ลงมือทำจนกระทั่งสำเร็จด้วยตนเองมากกว่า เพียงแต่จวนป๋อเจวี๋ยแห่งนี้ หากเหล่าสตรีต้องการออกไปข้างนอกก็ต้องมีบิดาหรือพี่ชายไปด้วยถึงจะไปได้ หรือมีสตรีในครอบครัวได้รับการเชื้อเชิญให้ไปทำกิจธุระข้างนอก โอกาสที่จะได้ออกไปไหนมาไหนเพียงคนเดียวจึงมีน้อยนัก
เรื่องพวกนี้รอให้ร่างกายดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน
“แม่ได้หาบ้านมีสกุลไว้ให้เจ้าบ้างแล้ว ล้วนเป็นตระกูลที่สืบทอดบรรดาศักดิ์จากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น อย่างแย่ที่สุดก็คือจื่อเจวี๋ย[1] รอร่างกายเจ้าหายดีแล้ว แม่จะหาทางพาเจ้าไปแนะนำกับพวกเขา” หลายวันมานี้หวังซู่เหนียงวางแผนการในอนาคตของบุตรสาวมาโดยตลอด “ถ้าหากมีคนที่ถูกใจ แม่จะคิดหาหนทางไปเป็นอนุภรรยาให้เจ้าเอง หากโชคดี รอถึงวันที่นายหญิงตาย ก็ยังสามารถยกเจ้าขึ้นเป็นภรรยาเอกได้อีกด้วย เจิงเอ๋อร์ เจ้าฟังอยู่หรือไม่?”
“ฟังอยู่เจ้าค่ะ” กู้เจิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงพลางตอบกลับเสียงเบา
“ดูท่าทางเจ้าสิ ช่างไม่เหมือนข้าเลยจริงๆ” หวังซู่เหนียงมองบุตรีด้วยความเจ็บใจที่เหล็กกล้าไม่เป็นเหล็กกล้า[2]
กู้เจิงคิดว่าหากนางเหมือนกับซู่เหนียง ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้วจริงๆ พอคิดว่าต้องใช้ชีวิตอย่างหวังซู่เหนียง ถึงแม้การใช้ชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ไปวันๆ ดีกว่าต้องตาย กระนั้นนางก็ขอยอมพุ่งชนเข้าหากำแพงเสียจะดีกว่า
หลังจากนอนอยู่บนเตียงมาสองเดือนเต็ม ในที่สุดกู้เจิงก็หายเป็นปกติ
สิ่งแรกที่นางทำก็คือออกไปเที่ยวดูนอกจวนป๋อเจวี๋ย นางดึงชุนหงไปที่ประตูด้วยความตื่นเต้น ทว่ายังไม่ทันก้าวออกจากจวน ก็มีบ่าวรับใช้มาถามนางว่าได้แจ้งแก่นายหญิงหรือยัง หากนายหญิงอนุญาตนางถึงสามารถออกไปได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากนายท่านหรือนายหญิงนางก็ออกไปไม่ได้ กฎของบ้านช่างเข้มงวดจนนางพูดอะไรไม่ออก
เมื่อนางไม่สามารถออกทางหน้าบ้านได้ นางจึงไปที่สวนหลังบ้านเพื่อดูว่าพอจะมีโอกาสปีนกำแพงออกไปได้หรือไม่ ทว่าพอเห็นความสูงของกำแพง กู้เจิงก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้วนางจะออกไปข้างนอกทำไมกัน? ทั้งไร้เงิน ทั้งไร้ความสามารถ กอปรกับผิวพรรณบอบบางของตนเอง และรูปลักษณ์ที่ดึงดูดผู้คน หากมีอะไรเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทำร้ายตนเองหรือ? เช่นนั้นก็เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อนแล้วกัน
---------------------------------------------------------
[1] จื่อเจวี๋ย(หมายถึง บรรดาศักดิ์ชั้นจื่อ) เป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของจีนโบราณ นับเป็นลำดับที่สี่รองจาก ‘ป๋อ’ โดยบรรดาศักดิ์แบ่งเป็น ‘กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน’ ตามลำดับ
[2] เจ็บใจที่เหล็กกล้าไม่เป็นเหล็กกล้า หมายถึง การเข้มงวดกับคนๆ นั้นเพื่อหวังว่าเขาจะได้ดิบได้ดี
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
ความเห็น 0