“เทศกาลอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 2” (Second Edition of North East India Festival in Thailand) หนึ่งในกิจกรรมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์การทูตไทย-อินเดีย ในปีนี้
นายราจคูมาร์ รันจัน ซิงห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เป็นประธานร่วมกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดงาน “เทศกาลอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 2” (Second Edition of North East India Festival in Thailand) หนึ่งในกิจกรรมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์การทูตไทย-อินเดีย พร้อมด้วยนางสุจิตรา ดูไร เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์
นายราจคูมาร์ กล่าวเปิดงานว่า ประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนสำคัญของอินเดียในความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อินเดีย-อาเซียน ภูมิภาคอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ คือประตูสู่ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้า วัฒนธรรมและความเชื่อมโยง ถือเป็นส่วนสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศอินเดียและประเทศไทย โดยรัฐตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมีบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมโยงอินเดียกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รัฐในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมีความหลากหลายทางพืชพันธุ์และสัตว์ป่า ทำให้มีผลผลิตหลากหลายไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ดอกไม้ เครื่องเทศมูลค่าสูง พืชสมุนไพรและพืชที่มีกลิ่นหอมหลายชนิด รวมไปถึงปลาต่างถิ่น ความหลากหลายนี้ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาลระหว่างรัฐเหล่านี้และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พืชผลที่ได้รับความนิยมและเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาค ได้แก่ ขมิ้น พริก แมนดาริน กระวานขนาดใหญ่ ขิง ชา สับปะรด และแอปเปิล ประเทศไทยอาจพิจารณานำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูงเหล่านี้อย่างเช่น ขิง ขมิ้น ชา และอีกมาก
“ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีการเกษตรและการแปรรูปอาหาร เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีความร่วมมือระหว่างกันอย่างเข้มแข็งในภาคส่วนนี้ และประเทศไทยอาจพิจารณาแบ่งปันเทคโนโลยีกับรัฐอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ” ราจคูมาร์กล่าวและเสริมว่า ความพร้อมในด้านการส่งออกทรัพยากร ควบคู่กับความได้เปรียบด้านที่ตั้งทำให้ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนผ่านเป็นศูนย์การค้าในด้านผลิตภัณฑ์การเกษตรระดับนานาชาติที่ประสบความสำเร็จ มีโอกาสที่ดีในการดำเนินความร่วมมือสำหรับการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มกับประเทศไทย ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์รายใหญ่ของอินเดีย
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมีความใกล้ชิดกับประเทศไทยทั้งในทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี งานเทศกาลที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยมากคืองานเทศกาล “ซังเก้น” (Sangken) ของรัฐอรุณาจัล ประเทศ กับเทศกาลสงกรานต์ ของประเทศไทย และมีงานเทศกาล “โบฮัก บิฮู” (Bohag Bihu) ของรัฐอัสสัมที่มีลักษณะเหมือนกับงานสงกรานต์ของไทย ถือว่าวัฒนธรรมประเพณีใกล้เคียงกันมากกับไทย
รองนายกฯจุรินทร์ กล่าวอีกว่า การจัดงานเทศกาล อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือในประเทศไทย ครั้งที่ 2 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระการครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับอินเดีย จะมีส่วนสำคัญในการเสริมความสัมพันธุ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางหลวงไตรภาคีระหว่างไทย เมียนมา และอินเดียเสร็จสมบูรณ์ จะยิ่งเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างการให้มากยิ่งขึ้น
นางสุจิตรา ให้สัมภาษณ์ภายในหลังว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของงานครั้งแรกที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นแรงกระตุ้นอินเดียต้องการจัดงานเฟสติวัลครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ เพราะเราอยากให้ทุกคนได้สัมผัสดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียสวยงามเหนือคำบรรยาย ธรรมชาติที่บริสุทธ์และอุดมสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาค ทิวทัศน์ที่งดงาม ไม่ว่าพระอาทิตย์จะตกหรือขึ้นก็ให้สีสันที่แตกต่าง อาจพูดได้ว่าเป็นพื้นที่ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติที่สุดแห่งหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เนินเขา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และแหล่งน้ำอันงดงาม ที่ซึ่งผู้คนอาศัยอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ถึงอย่างไร ก็ยังคงเป็นภูมิภาคหนึ่งที่มีผู้เดินทางไปเยือนน้อยที่สุดในอินเดีย
"แต่ในวันนี้เราได้นำสินค้าและวัฒนธรรมที่โดดเด่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมาจัดแสดงให้ประชาชนไทยได้ชื่นชมและสัมผัสเสน่ห์ดินแดนแห่งนี้ อย่างผ้าไหมทอมือที่งดงามผืนนี้ได้ถูกตัดเย็บเป็นสาหรีที่ดิฉันใส่อยู่ตอนนี้ก็มาจากรัฐอัสสัม" ทูตสุจิตราเล่าและบอกว่า อินเดียและไทยมีความสัมพันธ์การค้าที่ดีเยี่ยม ซึ่งสามารถเกื้อกูลประโยชน์ทางการค้ามากยิ่งขึ้น
ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของอินเดียในภูมิภาคอาเซียน โดยเราหวังว่า การขยายตลาดระหว่างกันและกัน จะส่งเสริมให้เป้าหมายการค้าทวิภาคีระหว่างอินเดียและไทยแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ประมาณ 15,100 ล้านดอลลาร์ในปี 2564-2565
ภายในงานได้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม ระบำพื้นเมือง และทัศนศิลป์ของรัฐอัสสัมและมณีปุระไปจนถึงการเต้นรำพื้นบ้านที่มีชีวิตชีวาและเป็นจังหวะประกอบเพลงชาวเขา รวมไปถึงการออกร้านจัดจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง เช่น ผ้าทอมือที่ถูกดีไซน์และตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่ดูทันสมัย นอกจากนี้ยังมีอาหารและของกินเล่นที่หน้าตาดูคล้ายอาหารไทยและเอเชียน เพราะวัฒนธรรมของชาวตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก ซึ่งกำลังรอหลายคนพิสูจน์และเยี่ยมชมได้ที่หน้าลานกิจกรรมเซ็นทรัลเวิลด์ จัดขึ้นถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้
ความเห็น 13
YaDa🌹
มุ่งมั่นทุ่มเทการส่งออกส่งผลให้ไทยมีรายได้เข้าประเทศ
31 ก.ค. 2565 เวลา 01.13 น.
🎈Saimai 🐱🩷
พืชสมุนไพรจากอินเดียก็น่านำเข้า
31 ก.ค. 2565 เวลา 01.10 น.
🐻❄️ N i n E 🐻❄️
เป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าไปอินเดีย
31 ก.ค. 2565 เวลา 00.48 น.
namtal_ja >,<789💷💰❤️
เปิดตลาดใหม่ๆเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
31 ก.ค. 2565 เวลา 00.41 น.
Winnie Arpooh
การเดินหน้าทำMini-FTAของท่านจุรินทร์สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศชาติของเราค่ะ
30 ก.ค. 2565 เวลา 23.47 น.
ดูทั้งหมด