โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ภารกิจเลี้ยงดูลูกชายวายร้ายของท่านประธาน

นิยาย Dek-D

อัพเดต 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Jaotianhom - เจ้าเทียนหอม
ภารกิจเลี้ยงดูลูกชายวายร้ายของท่านประธาน
เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่ที่สถาปนาตัวเองขึ้นมากับลูกชายวายร้ายคนละสายเลือดที่พ่วงคุณพ่อจอมซึนมาด้วย จะอบอุ่นและสนุกสนานเพียงไหน ทุกคนสามารถเข้ามาติดตามกันได้ที่นี่เลยค่ะ

ข้อมูลเบื้องต้น

ภารกิจเลี้ยงดูลูกชายวายร้ายของท่านประธาน

โดย Jaotianhom - เจ้าเทียนหอม

เชื่อว่าทุกคนที่อ่านนิยายจะต้องมีตัวละครที่ชื่นชอบเป็นพิเศษแน่ บางคนอาจจะถึงขั้นกลายเป็นแฟนคลับระดับตัวแม่เลยก็เป็นได้ รักตัวละครตัวนั้นประหนึ่งลูกที่คลอดออกมาด้วยตัวเอง ‘เมิ่งเฉียว’ เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตัวละครที่เธอชอบมากที่สุดในนิยายที่กำลังอ่านไม่ใช่พระเอก นางเอกหรือตัวเอกคนไหน แต่ดันเป็น ‘โจวมู่ฉือ’ จอมวายร้ายของเรื่อง เป็นตัวร้ายที่ครบสูตร ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหล่าตัวเอกอย่างชัดเจน แต่หลังเมิ่งเฉียวอ่านจบกลับชอบอีกฝ่ายที่สุด

ไม่ว่าเพื่อนและคนรอบข้างจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร เธอก็ยังชอบอยู่ดี ชอบถึงขั้นสถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับระดับคุณแม่ของโจวมู่ฉือเลยทีเดียว ระหว่างที่นิยายออนไลน์เรื่องนี้เผยแพร่ เธอคอมเมนต์ทุกตอน พูดเรื่องนี้ในบัญชีออนไลน์ของนิยายทุกวัน โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งเธอจะได้มีโอกาสไปเจอกับวายร้ายคนนี้แบบตัวเป็น ๆ

แถมยังเป็นตอนที่วายร้ายคนนี้ยังเป็นเด็ก…เป็นอย่างที่คิด มู่ฉือน้อย ลูกชายของเธอน่ารักมากจริง ๆ ดูใบหน้ากลมที่แสนบริสุทธิ์และน่ารักนี่สิ ลูกชายแม่! แม่จะต้องช่วยหนูให้หนีจากเส้นเรื่องอันตรายพวกนั้นให้ได้

แน่นอนว่าอันดับแรกต้องเริ่มจากช่วยชีวิต ‘โจวอี้เทียน’ ผู้เป็นท่อนขาทองคำ หรือก็คือคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวผู้มากบารมีแต่อายุสั้นของลูกชายเธอ! คนคนนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องปกป้องอีกฝ่ายไว้ให้ได้!!

แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นเมิ่งเฉียวในฐานะตัวประกอบปลายแถวที่มีบทเพียงฉากเดียว จะเข้าใกล้เหล่าคนสำคัญพวกนั้นได้อย่างไร ไหนจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันยากลำบากของร่างเดิม

ยากจน ร่างกายอ่อนแอ ไม่สู้คนแถมยังมีแฟนเก่าที่เกาะติดเป็นแมงดา มีครอบครัวที่ต้องดูแล…เมิ่งเฉียวคนใหม่จะผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงหน้าที่ร่างเดิมเหลือไว้แบบไหน จะขยับเข้าไปหาลูกชายของเธอได้อย่างไร?

เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่ที่สถาปนาตัวเองขึ้นมากับลูกชายวายร้ายคนละสายเลือดที่พ่วงคุณพ่อจอมซึนมาด้วย จะอบอุ่นและสนุกสนานเพียงไหน ทุกคนสามารถเข้ามาติดตามกันได้ที่นี่เลยค่ะ

ติดตามข่าวสารและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่ Facebook fanpage: Jaotianhom - เจ้าเทียนหอม

ขณะนี้สามารถเอ็นดูต้าวเด็กในเวอร์ชัน ebook ได้แล้วค่ะ กดซื้อได้ที่

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNDExODA5OSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI4NzQ3MSI7fQ

โปรโมชันเปิดตัว 10 วันตั้งแต่วันที่ 29/02 - 9/03 ค่ะ ฝากเอ็นดูต้าวเด็กกันเยอะ ๆ เลยนะคะ

ตอนที่ 1

ภารกิจเลี้ยงดูลูกชายวายร้ายของท่านประธาน

โดย Jaotianhom - เจ้าเทียนหอม

ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศตอนกลางวันเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว แต่ตอนกลางคืนยังคงเย็นอยู่มากโดยเฉพาะในเมืองเอที่อยู่ทางเหนือแบบนี้ เมิ่งเฉียวจำได้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่เธออ่านนิยายซึ่งเป็นที่นิยมตอนล่าสุดจบก็ไปแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดด้วยความโมโห หลังจากนั้นก็หลับไปบนเตียงนุ่มในห้องนอน มีผ้าผืนหนาห่มคลุมอยู่บนตัวเหมือนอย่างทุกคืน ต่อให้เป็นช่วงกลางดึกก็ไม่มีทางหนาวขนาดนี้ อีกทั้งปกติเธอจะอยู่บ้านคนเดียว แล้วใครกันที่กำลังส่งเสียงน่ารำคาญอยู่ตอนนี้

“เธอเป็นอย่างไรบ้างคะคุณหมอ” เสียงของหญิงสาววัยประมาณสามสิบฟังดูไม่คุ้นหูพูดกับใครอีกคน เมิ่งเฉียวขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกับที่มือผอมแห้งยกขึ้นมาลูบแขนตัวเองเมื่อรู้สึกเย็น ๆ

“บาดแผลไม่เป็นอะไรมากครับ แต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ขาดสารอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอมาเป็นเวลานาน” ชายวัยกลางคนสวมแว่นตาดูภูมิฐานตอบกลับผู้หญิงคนที่เอ่ยถาม ท่าทางดูเกรงใจและนอบน้อมเป็นพิเศษ ถัดไปไม่ไกลมีกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมุงอยู่ไม่น้อย มีเพียงข้างกายของหญิงสาวผู้แต่งกายหรูหรา หน้าตางดงามที่มีเด็กชายหน้าตาดียืนอยู่ข้าง ๆ แววตาของเด็กชายคนนั้นดูเฉลียวฉลาด ท่าทางสุขุมต่างจากเด็กทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

“อืม เสียงใครกันน่ะ ใครมาแต่เช้า” เมิ่งเฉียวพยายามลุกขึ้นนั่งก่อนจะเบ้หน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบตรงข้อมือ หญิงสาวเหลือบไปมองก็เห็นว่ามีผ้าพันแผลพันเอาไว้อย่างเรียบร้อย แต่เมื่อมองไปที่คนซึ่งรายล้อมอยู่เมิ่งเฉียวก็ต้องย่นคิ้ว คนพวกนี้เป็นใครกัน

“เมิ่งเฉียว เธอเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า เธอทำพวกฉันตกใจเลยนะ” มีหญิงสาววัยประมาณยี่สิบต้น ๆ ในชุดพนักงานขายตรงเข้ามาถามเธออย่างเป็นห่วง เมิ่งเฉียวขยับตัวหลบเพราะไม่คุ้นกับคนตรงหน้า ทำให้อีกฝ่ายชะงักไป เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วก็ก้มมองตัวเองที่อยู่ในชุดพนักงานขายเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในที่นี้แล้วก็หรี่ตา ฝืนยกมือที่เป็นแผลขึ้นกุมขมับข่มความปวดหัว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน คนพวกนี้เป็นใคร” ความทรงจำในหัวกระจัดกระจายทำให้เธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์ เธอนอนหลับไปแต่พอตื่นขึ้นมากลับโผล่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

สถานที่นี้คาดว่าจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าและบริการเสริมความงามแบบครบวงจรกระมัง พนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ดูจากการตกแต่งสถานที่เป็นร้านที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง หรือจะเรียกว่าเป็นพวกไฮโซเป็นส่วนใหญ่ก็ได้ และแน่นอนว่าร้านแบบนี้เมิ่งเฉียวไม่เคยคิดจะเข้ามาใช้บริการแน่ ดังนั้นตัดเรื่องที่เธอมาที่นี่เองไปได้เลย

“หือ…” ดวงตาที่พอจะมองออกว่าเป็นรูปอัลมอนด์ดูหม่นหมองเบิกกว้างเมื่อหันไปสบกับคนในกระจก ผู้หญิงผอมแห้งจนแค่ดูก็รู้ว่าขาดสารอาหาร ตัวซีดเหลือง หน้าตาโทรม ๆ คนนี้ใครกัน

“เกิดอะไรขึ้น เธอคงไม่ได้ล้มหัวกระแทกจนบื้อไปหรอกใช่ไหม เมิ่งเฉียว” ผู้จัดการร้านท่าทางเข้มงวดเดินเข้ามาถามพนักงานที่ทำงานเก่งแต่กลับซื่อบื้อของเธอ หัวคิ้วที่เขียนมาจนเรียวสวยขมวดเป็นปม

“เกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นอะไรไป” ความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในร่างนี้ทำให้น้ำเสียงที่ถามออกไปของเมิ่งเฉียวฟังดูอ่อนแอ แถมเธอยังเผลอก้มหน้าอย่างไม่รู้ตัวด้วย แต่เมิ่งเฉียวในเวลานั้นยังไม่ทันได้สังเกตเรื่องนี้เพราะเธอยังคงตกใจอยู่ มันคงไม่จริงใช่ไหม เธอคงไม่ได้ทะลุมิติหรือหลุดเข้าไปในโลกอื่นหรอกใช่ไหม แล้วจะทำอย่างไรดี

ความสามารถระดับเธอนอกจากใช้ชีวิตรอดไปวัน ๆ ก็แทบจะทำอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าไปอยู่ในโลกที่แปลกพิสดารขึ้นมา เธอจะทำอย่างไรดี

แม้ว่าในหัวจะมีความคิดมากมายตีกันให้วุ่นแต่ใบหน้าซีดนั้นกลับเรียบนิ่ง และเพราะหญิงสาวก้มหน้าอยู่ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ทันเห็นว่าแววตาที่เคยขลาดกลัวและไม่ทันคนอยู่เสมอเปลี่ยนเป็นแจ่มชัดและเปิดเผยไปแล้ว

“เธอล้มหัวกระแทกพื้นน่ะสิ ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ตัวว่าไม่สบายก็ควรจะบอกให้รู้ตั้งแต่แรกสิ เธอทำให้พวกเราและลูกค้าคนอื่นตกใจหมด แถมยังทำให้คุณชายต้วนกับคุณนายต้วนตกใจด้วย ยังดีที่พวกเธอเป็นคนดี นอกจากไม่โกรธที่ถูกเธอล่วงเกินแล้วยังช่วยตามหมอมาดูอาการเธอด้วย ยังไม่รู้จักขอบคุณผู้มีพระคุณอีกหรือ”

“อะไรนะ คุณชายต้วน คุณนายต้วน ตระกูลต้วนไหน?” ระหว่างที่อาหารปวดหัวกำลังกำเริบ เมิ่งเฉียวฟังอะไรก็ไม่เข้าใจทั้งนั้นมีเพียงเมื่อได้ยินชื่อสองคนนี้ที่พอจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ซุนลี่ได้ยินพนักงานในร้านถามก็ขมวดคิ้ว นังเด็กนี่ กล้าเรียกคุณนายต้วนห้วน ๆ เลยอย่างนั้นหรือ เธอหันไปผงกหัวขอโทษทางนั้น ดีที่ทางนั้นไม่ใส่ใจ

“ก็ต้องเป็นคุณนายต้วน คุณจินเหยากับคุณชายต้วนเจียงหมิงนะสิ ฉันบอกให้จำลูกค้าวีไอพีเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ”

“จินเหยา ต้วนเจียงหมิง คนตระกูลต้วน อย่าบอกนะว่า..”

‘ฉันหลุดเข้ามาในนิยายที่อ่านอยู่เสียแล้ว!’ แถมยังเจอเข้ากับเหล่าตัวเอกในระยะประชิดอีก ที่น่าดีใจก็คือโลกนี้เป็นโลกปกติธรรมดา การใช้ชีวิตรอดไม่ใช่ปัญหาแต่การเข้ามายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวตัวเอกแบบนี้ต้องยังความวุ่นวายมาไม่จบไม่สิ้นแน่ ในตอนนี้ความทรงจำที่ปั่นป่วนในหัวเมื่อครู่ได้ถูกจัดเรียงแล้ว เธอรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร

เมิ่งเฉียวในนิยายเรื่องนี้เป็นตัวประกอบที่ออกมาเพียงสองฉากเท่านั้น แถมยังมาในช่วงต้นเรื่องแล้วก็ถูกกลืนหายไปไม่มีบทอื่นอีก ประโยชน์เดียวของเธอในเรื่องก็คือการแสดงให้เห็นว่าคุณแม่ของพระเอกน้อยนิสัยอ่อนโยนใจดี แม้แต่กับคนที่ไม่สลักสำคัญใดก็ยังให้การช่วยเหลือ อีกทั้งยังเป็นการเปิดตัวพระเอกน้อยผู้เฉลียวฉลาดรู้ความ หน้าตาหล่อเหลา นิสัยสุขุมเยือกเย็น เพียงเปิดตัวในฉากมาเดินซื้อของเป็นเพื่อนคุณแม่ของเด็กชายก็ทำให้คนอ่านเอ็นดูและตกหลุมรักกันอย่างล้นหลาม เพราะเจ้าตัวแก้ปัญหาที่พนักงานแย่งลูกค้าจนเกิดทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตได้ด้วยวัยห้าขวบกว่า

ส่วนร่างเดิมที่มีชื่อเดียวกับเธอก็เป็นหนึ่งในพนักงานที่โดนลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ และอาจจะถึงขั้นถูกวางแผนให้กลายเป็นแพะ และอาจจะโดนผู้จัดการท่าทางร้ายกาจตรงหน้าเล่นงานหลังจากที่คนพวกนั้นกลับไปแน่ เมื่อรู้อย่างนี้เมิ่งเฉียวก็ถอนหายใจให้กับความโชคร้ายของตัวเอง ได้เกิดใหม่ทั้งที่ทำไมไม่เลือกเป็นตัวละครที่ง่ายดายกว่านี้กันนะ เล่นเลือกโหมดยากแบบนี้ คิดว่าตัวเองมีออร่าตัวเอกเทพทรูแสนโชคดีหรืออย่างไร

“ก็ต้องเป็นตระกูลต้วนนั่นน่ะสิ ในเมืองเอยังจะมีตระกูลต้วนไหนอีก ในเมื่อเธอไม่เป็นอะไรแล้วก็รีบไปขอบคุณพวกเขาเดี๋ยวนี้” เมิ่งเฉียวยังไม่ทันรู้ตัว ร่างกายของเธอก็ขยับลุกทั้งที่ตัวยังโงนเงน หญิงสาวหรี่ตาเมื่อสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่ของร่างเดิม ซุนลี่ผู้จัดการร้านคนนี้น่าจะรับมือไม่ง่ายจริง ๆ คงจะกดข่มร่างเดิมมาตลอดไม่อย่างนั้นร่างกายของอีกฝ่ายคงไม่เป็นไปอย่างอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายหรอก

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณค่ะ” เมิ่งเฉียวหันไปขอบคุณหมอที่ช่วยทำแผลและตรวจร่างกายให้เธอ ตอนที่เธอเพิ่งจะลืมตาเหมือนได้ยินเสียงอีกฝ่ายบอกอาการเธอคร่าว ๆ การขอบคุณอีกฝ่ายจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ จากนั้นก็เหลือบไปมองสองแม่ลูกที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอตัวจริง เมิ่งเฉียวไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองตอนที่เห็นทั้งคู่เป็นอย่างไร แต่ในใจของเธอมันไม่สงบเลยสักนิด

สมแล้วที่เป็นแม่ลูกตัวเอก ครอบครัวตัวเอก ออร่าโดดเด่นกว่าคนทั่วไปมาก ๆ โดยเฉพาะเด็กคนนั้น ‘ต้วนเจียงหมิง’

“คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ คุณหมอบอกว่าสุขภาพคุณค่อนข้างแย่ อย่าหักโหมเกินไป ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะคะ” จินเหยาส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับพนักงานที่ผอมโซตรงหน้า อีกฝ่ายดูตัวเล็กจนน่ากลัวว่าจะถูกลมพัดปลิวไปได้ ทั้งที่อายุน้อยกว่าเธอแต่กลับทำงานหนักจนร่างกายทรุดโทรมแบบนี้ เหลือเกินจริง ๆ

“ขอบคุณค่ะ” เมิ่งเฉียวยกยิ้มเล็ก ๆ เมื่อเห็นประกายบางอย่างที่อยู่ในแววตาอีกฝ่าย แต่เธอไม่คิดจะสนใจเพราะความสนใจของเมิ่งเฉียวอยู่ที่เด็กชายวัยห้าหรือหกขวบตรงหน้าต่างหาก เด็กคนนั้นเองก็กำลังมองมาที่เธออยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เหมือนกับในนิยายไม่มีผิด

เด็กชายต้วนเจียงหมิงพระเอกของเรื่องโดดเด่นตั้งแต่ยังเล็ก นิสัยของอีกฝ่ายเยือกเย็น ไร้อารมณ์แต่ก็เพราะนิสัยแบบนี้ทำให้สามารถขึ้นไปเป็นคนใหญ่คนโตได้ เป็นประธานบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีอนาคตสดใส แน่นอนว่าเมิ่งเฉียวไม่ได้รู้สึกอะไรกับพระเอกนิยายตัวน้อยคนนี้ แต่อีกฝ่ายดันยืนอยู่คนละฝ่ายกับลูกชายเธอ เธอจึงไม่อาจทำใจเอ็นดูเด็กคนนี้ได้เลย

แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าร่างที่เธอเข้ามาอยู่นี้มีลูกหรอก แต่เธอหมายถึงตัวละครที่เป็นลูกรักของเธอต่างหาก

“จริงด้วย” แววตาที่ไร้จุดหมายเมื่อครู่พลันเปลี่ยนไปเมื่อนึกได้ ในเมื่อเธอมีโอกาสเจอกับต้วนเจียงหมิง ถ้าอย่างนั้นแล้วลูกรักของเธอล่ะ เธอเองก็มีโอกาสจะพบกับเด็กคนนั้นใช่ไหม

ลูกรักที่เธอปกป้องตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏตัวในนิยาย ตัวละครที่น่าสงสารที่สุดในสายตาของเธอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวร้ายหรือถูกนักอ่านคนอื่นต่อว่าขนาดไหน เธอก็ยังคงปกป้องอีกฝ่ายและเอ็นดูเด็กคนนั้นไม่เสื่อมคลาย ลูกรักของเธอ…โจวมู่ฉือ

“ถ้ามีโอกาสได้เจอกัน ฉันจะต้องปกป้องเด็กคนนั้นให้ได้”

2BC


ฝากเอ็นดูมู่ฉือน้อย เมิ่งเฉียวและคุณพ่อที่ยังไม่เปิดตัวด้วยค่าาาาาา

ตอนที่ 2

ภารกิจเลี้ยงดูลูกชายวายร้ายของท่านประธาน

โดย Jaotianhom - เจ้าเทียนหอม

แม้ว่าปณิธานของเมิ่งเฉียวจะแกร่งกล้าแค่ไหน แต่ในเมืองใหญ่อย่างเมืองเอที่มีผู้คนกว่ายี่สิบล้านคน การจะหาคนในเมืองแห่งนี้หาใช่เรื่องง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงความห่างชั้นของระดับทางสังคมของเมิ่งเฉียวในตอนนี้กับครอบครัวตระกูลโจวอันเป็นตระกูลของลูกรักของเธอ การที่เธอจะเข้าถึงตัวอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แล้วถ้าจู่ ๆ โผล่ไปยืนต่อหน้าพวกเขาได้คงไม่แคล้วถูกยามไล่ตะเพิดออกมาแน่ เมิ่งเฉียวจึงพักเรื่องตามหาคนเอาไว้ก่อน สิ่งที่เธอต้องทำอย่างเร่งด่วนตอนนี้ก็คือ แก้ไขสภาพอันน่าหดหู่ที่ร่างเดิมทิ้งไว้ให้ก่อน

หลังจากที่จบเรื่องในร้านเมื่อวาน เมิ่งเฉียวก็ถูกต่อว่าไปไม่น้อยทั้งยังถูกสั่งพักงานอีกสองอาทิตย์ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่ในเวลานั้นเมิ่งเฉียวไม่มีความสามารถจะตอบโต้เพราะสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของเธอ ร่างกายนี้เดิมก็อ่อนแอและอ่อนแรงมากอยู่แล้ว ยังต้องนอนอยู่บนพื้นห้องทั้งที่สวมเสื้อผ้าเนื้อบาง ไหนจะแผลที่ศีรษะที่เหมือนจะทำพิษจนหัวเธอปวดตุบ ๆ อีก ไม่ป่วยจะทนไหวหรือ เธอจึงถือโอกาสนี้กลับมาพักแล้วก็ทำความเข้าใจเรื่องราวของร่างนี้เสียก่อน

ในคืนนั้นเองความทรงจำของร่างนี้ทั้งหมดก็ไหลบ่าราวกับสายน้ำที่ทะลักล้นจากเขื่อน เมิ่งเฉียวที่กำลังนอนหลับพักผ่อนเอาแรงพลันต้องฟื้นตื่นเพราะความคิดมากมายในหัว เธอทำการเรียบเรียงสิ่งที่รู้ตลอดทั้งคืน แล้วยังถือโอกาสเขียนสิ่งที่เธอจำได้จากในนิยายลงไปด้วย

ตอนนี้เนื้อเรื่องของนิยายเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ลูกรักของเธอยังไม่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การเป็นตัวร้ายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเจ้าตัวยังคงเป็นวายร้ายน้อยที่สามารถกลับตัวและสั่งสอนได้อยู่

หลังเมิ่งเฉียวประเมินดูก็พอจะเบาใจลงได้ เพราะยังพอมีเวลาก่อนที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น เธอจึงสามารถจัดการปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของร่างเดิมนี้ก่อน อีกทั้งยังต้องจัดการกับความสัมพันธ์ของร่างเดิมต่อคนรอบข้างด้วย ในเมื่อเธอมารับช่วงต่อร่างนี้แทนแล้ว จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องใช้ชีวิตย่ำแย่แบบนี้แน่

“ฉันยังไม่เคยเจอกับคนที่น่าสงสารขนาดนี้มาก่อนเลย” เมิ่งเฉียวกุมขมับแล้วถอนหายใจเมื่อไล่เรียงทุกเรื่องตามความทรงจำจบลง

ร่างเดิมเป็นเด็กจากชนบทโดยแท้ แม่แท้ ๆ คลอดเธอแล้วก็ทิ้งไว้ให้ตากับยายดูแล ส่วนอีกฝ่ายแต่งงานใหม่ ไม่รู้จักพ่อแท้ ๆ ไม่มีวุฒิการศึกษา แต่กลับเลือกออกมาเผชิญกับโลกกว้างในเมืองใหญ่เพียงลำพังเพราะหวังว่าจะสามารถหาเงินได้มากกว่าในชนบท นิสัยเดิมเป็นคนขี้ขลาดและไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งยังเป็นพวกหัวอ่อน ยอมคนจึงถูกจิกใช้และเอาเปรียบอยู่เสมอ ที่สำคัญคือมองไม่ออกว่าใครดีกับตัวเอง หรือใครที่เข้ามาเพราะอยากจะเอาเปรียบ มีดีและพอจะชื่นชมได้อยู่อย่างเดียวก็คือเธอยังกตัญญูกับตายายที่เลี้ยงดูตัวเอง

และเพราะว่าไม่มีวุฒิการศึกษาออกมาทำงานข้างนอกจึงได้แต่ทำงานทั่วไป เธอไม่เลือกงานจึงทำงานอย่างหนักตั้งแต่ออกมาอยู่ข้างนอก ตลอดหลายปีมานี้สู้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่สุดท้ายก็เพิ่งจะลงหลักปักฐานได้ มีบ้านที่เป็นห้องเช่าขนาดเล็กอยู่ในตรอกลึก เป็นตึกโทรม ๆ ที่ค่าเช่าแสนถูก ผนังบางจนได้ยินหมดว่าข้างห้องกำลังทำอะไรกัน แถมยังมีผู้เช่าสารพัดแบบให้ได้สัมผัส เป็นสภาพแวดล้อมเข้าขั้นแย่มากสำหรับหญิงสาวตัวคนเดียวอย่างเธอ

ด้วยเหตุนั้นเมื่อเจอกับผู้ชายท่าทางดูดีมีอันจะกิน พูดจาหวานหูร่างนี้ถึงได้ตกหลุมพราง กลายเป็นกระเป๋าเงินให้อีกฝ่ายดูดเป็นปลิง จนไม่มีเงินสำหรับดูแลตัวเองเลย

“ทำงานตัวเป็นเกลียว แต่เงินในกระเป๋ายังไม่พอจะซื้อของดี ๆ ให้ตัวเองเลย ผู้หญิงคนนี้” เมิ่งเฉียวเม้มปากแน่น หมดคำจะพูดเมื่อเปิดดูกระเป๋าเงินและเงินในบัญชีของอีกฝ่าย ถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

เธอสูดหายใจลึกมองกรอบรูปที่สีซีดจางแต่ตัวกรอบไม้เป็นเงาวับอยู่บนโต๊ะหนังสือเก่าตัวนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะหยิบมันขึ้นมาดูและทำความสะอาดอยู่เสมอ

ภาพครอบครัวสามคนที่มีหญิงสาวอ่อนเยาว์ รอยยิ้มบางกับชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่น่าจะเป็นตากับยายของร่างนี้

“ในเมื่อฉันมารับช่วงต่อร่างนี้แล้ว ฉันจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ดี จะดูแลตากับยายของเธอให้ดี เธอไม่ต้องห่วง หลับให้สบายเถอะนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองน้ำเสียงหนักแน่น แววตาและหว่างคิ้วที่เคยอ่อนแอและขี้ขลาดเปลี่ยนเป็นเปิดเผย สดใสเต็มไปด้วยพลังและเป็นประกาย ทั่วร่างในขณะนั้นพลันเบาลงความกังวลที่หนักอึ้งค่อย ๆ สลายหายไป

ในเมื่อตั้งใจไว้แล้ว เมิ่งเฉียวก็ไม่ใช่คนที่จะมาหดหู่กับเรื่องแบบนี้ต่อ เธอวางแผนการแต่ละอย่างคร่าว ๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ก่อนอื่นนั้นคงจะต้องเริ่มจากการกินข้าวดี ๆ สักมื้อก็แล้วกัน

“ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว ถึงจะบอกว่าต้องกินของดี ๆ แต่หากกินไม่เลือกมีหวังได้ไปโรงพยาบาลก่อนแน่” เธอลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วก็ไปล้างหน้า มองสำรวจร่างกายนี้ชัด ๆ อีกครั้ง

นอกจากแผลที่หัวแล้วใบหน้านี้ถ้ามองดี ๆ ก็พอจะมีเค้าความงามอยู่บ้าง ใบหน้าเป็นรูปไข่ คิ้วเรียว ดวงตารูปอัลมอนด์ ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับแต่เพราะความซีดเหลือง และขลาดเขลาบดบังความงามเหล่านี้ไป ไม่ว่าใครมองก็คงบอกว่าเมิ่งเฉียวเป็นพวกที่หน้าตาธรรมดา นิสัยก็อ่อนแอ แต่งตัวก็ธรรมดา

ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนการจะประสบกับโอกาสก็ต้องเป็นคนที่พร้อมมากพอ หน้าตาและรูปร่างก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยพวกนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเริ่มจากการดูแลตัวเอง เอาใจใส่ร่างกายนี้ให้มากขึ้น ทางที่ดีควรจะไปตรวจร่างกายเพื่อดูโรคแฝงต่าง ๆ เอาไว้ด้วย

“มีเรื่องให้ทำเยอะไปหมดเลย แต่ก็ยังดี อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่นะ เมิ่งเฉียว บนโลกมีอาหารมากมายรอให้เธอไปพิชิต อุตส่าห์ได้โอกาสอีกครั้งหนึ่ง เธอจะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้ ไม่รู้สึกผิดกับตัวเองหรือยังไง” หลังพูดปลุกใจพร้อมกับตบหน้ากระตุ้นตัวเองไปหลายที เมิ่งเฉียวก็เผยยิ้มให้คนในกระจก

เป็นรอยยิ้มของคนที่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่แล้ว!

เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จหญิงสาวก็ออกมาสำรวจห้องนี้บ้าง ห้องที่ร่างเดิมเช่าเอาไว้เล็กมาก เมื่อวานตอนที่กลับมาเธอมองคร่าว ๆ ก็เห็นทั้งห้อง อันที่จริงมองจากภายนอกตึกก็ไม่คาดหวังแล้วด้วยซ้ำแต่ก็ยังอดไม่ได้จะถอนหายใจ เธอทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กตรงกลางห้อง หยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าโทรมขึ้นมาเพื่อจะสั่งอาหาร เพราะเมื่อกี้ไปดูที่ห้องครัวมาแล้วมันไม่มีวัตถุดิบอะไรให้สามารถทำอาหารได้เลย ต่อให้เธอจะทำอาหารเป็นก็ไม่อาจเสกของขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้

“คนอื่นเขาทะลุมิติมีความสามารถพิเศษบ้างล่ะ มีระบบช่วยเหลือบ้าง ส่วนฉันนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ไม่มีความโชคร้ายมาซ้ำเติมกันไปมากกว่านี้ก็ดีแล้ว” นิ้วผอมจนเห็นข้อกระดูก ผิวแห้งแตกจนน่าสงสารเลื่อนดูร้านอาหารในแอปพลิเคชันสั่งอาหารไปพลางนึกสะท้อนใจไปพลาง

“แพงขนาดนี้เลยหรือ” ก็เคยได้ยินมาอยู่หรอกนะว่าเมืองใหญ่แห่งนี้ค่าครองชีพมหาโหด แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ อาหารดี ๆ ที่เธอคิดว่าจะได้กินคงไม่ไหวแล้ว อย่างนี้คงต้องออกไปหาซื้อวัตถุดิบมาทำกินเองแทน

ในชีวิตก่อนเมิ่งเฉียวใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เมืองหลวงแห่งนี้ เธอจึงไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้เอาเสียเลยยังโชคดีที่มีความทรงจำของร่างนี้ การไปตลาดเพื่อซื้อของยังพอทำได้ แต่ถ้าต้องการรู้เรื่องราวมากกว่านี้ก็คงเป็นไปไม่ได้

เมิ่งเฉียวเขียนบัญชีรายรับรายจ่ายคร่าว ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพื่อดูว่าเงินที่เธอมีติดตัวอยู่ตอนนี้จะรอดไปถึงวันเงินเดือนออกครั้งหน้าหรือไม่ อีกทั้งยังต้องคอยป้องกันจากแมงดาที่คิดจะมาฉกฉวยเอาไปอีก ขณะเดียวกันก็ต้องคิดวิธีหาเงินเพิ่ม ไม่ใช่จะหางานทำเพิ่มแต่ควรหางานที่ให้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล ให้ร่างนี้ได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นกว่านี้

พูดถึงเรื่องงานแล้วเมิ่งเฉียวก็เวียนหัว ร่างนี้ทำงานเยอะเกินไปมาก ตารางที่เธอแปะไว้บนโต๊ะหนังสืออันนั้นแทบจะทำไปเกือบยี่สิบชั่วโมง ทำงานประจำที่ร้านเสื้อผ้า แล้วยังทำงานพาร์ทไทม์เป็นคนส่งอาหารช่วงกลางคืนอีก ก่อนหน้านั้นก็เคยทำเสิร์ฟอาหาร และพนักงานเฝ้ากะตามร้านสะดวกซื้อมาด้วย เธอไม่มีเวลานอนแล้วด้วยซ้ำ

ตอนที่เมื่อวานเธอโทรไปลาหยุดเพราะอาการบาดเจ็บยังถูกเจ้าของร้านอาหารต่อว่าอยู่เลยที่โทรไปลากะทันหันแบบนี้ อีกฝ่ายไม่ฟังด้วยซ้ำว่าเธอลาเพราะอะไร แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าทำงานด้วยยากแต่เพราะร่างเดิมเป็นคนหัวอ่อน แม้จะถูกใช้งานเกินตัวก็ไม่ปริปากบ่น ได้เงินล่าช้าก็ยังไม่กล้าโวยวาย มีอยู่หลายเดือนที่เธอเกือบจะหมุนเงินในมือไม่ทันเพราะถูกเบี้ยวเงินเดือน ดังนั้นก่อนจะลาออกจากร้านพวกนั้นเธอต้องทวงเงินพวกนั้นมาให้ครบก่อน

ทรัพย์สินอย่างเดียวที่ร่างเดิมมีตอนนี้ก็คือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันเล็กที่เธอกัดฟันซื้อเอาไว้ส่งอาหาร ซึ่งก็ถือว่าดีเพราะทำให้เมิ่งเฉียวไม่ต้องหอบสังขารไปเบียดกับคนที่สถานีรถไฟหรือรถเมล์ในเวลาแบบนี้ เธอตรงไปที่ตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชุมชนที่เธออยู่นัก

“ซื้อผักหรือเปล่า ผักสดใหม่เพิ่งเก็บมาจากสวนเลย”

“ผลไม้ก็มีนะ ผลไม้ร้านเราถูก ๆ ทั้งนั้น ลูกสวยและสดทุกลูก” เมื่อได้พบกับบรรยากาศที่คุ้นเคยสีหน้าของเมิ่งเฉียวจึงดูผ่อนคลายลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่หลุดมายังโลกใบนี้ ที่บอกว่าคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้นั้นก็เพราะอาชีพของเธอในโลกก่อนคือ บล็อกเกอร์รีวิวอาหาร นอกจากนั้นยังไลฟ์ทำอาหารรวมถึงเปิดร้านเล็ก ๆ ให้พอมีพอกินในแต่ละวันไปด้วย

เธอต้องเผชิญกับการต่อรองราคา การเรียกลูกค้าและยังการแย่งชิงวัตถุดิบสดใหม่แบบนี้อยู่ทุกวันจนเป็นความเคยชินไปแล้ว และก็เพราะความสามารถนี้เองแม้ว่าเงินในบัญชีจะเหลือค่อนข้างน้อยแต่เมิ่งเฉียวก็ยังมั่นใจว่าตัวเองจะอยู่ดีกินดีจนถึงวันเงินเดือนออกได้ เพราะเธอสามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคาเหมาะสม ทั้งยังเลือกทำอาหารเอง ทั้งสดใหม่ ถูกปากและยังประหยัดได้กว่าการสั่งเดลิเวอร์รี่ด้วย

“คุณป้านี่ขายยังไงหรือคะ” หญิงสาวเดินจนทั่วตลาดหนึ่งรอบเพื่อดูว่าร้านไหนที่จริงใจด้วยการวางขายของสดใหม่และราคาเหมาะสม เธอเลือกร้านที่อยู่ตรงหัวมุมเพื่อซื้อผักและเนื้อ จากนั้นก็ไปซื้อแป้งและเส้นบะหมี่ไปไว้ในห้อง ซื้อผลไม้อีกนิดหน่อย ตามด้วยซื้อสมุนไพรเอาไว้ไปผสมในอาหารและตุ๋นบำรุงร่างกายอ่อนแอนี้ด้วย

“ครึ่งกิโลสิบหกหยวน” เมิ่งเฉียวหรี่ตามองคุณป้าคนขาย ฝ่ายนั้นเหมือนรับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างจึงเริ่มตื่นตัวแล้วก็ตั้งรับการต่อรองจากหญิงสาวที่น่าจะอายุไม่เยอะตรงหน้า

“ไม่เบาเลยนี่ ครั้งหน้ามาซื้อร้านป้าอีกนะ ป้าจะแถมให้” เมิ่งเฉียวที่เป็นฝ่ายชนะในการต่อรองเลือกของอีกหลายอย่างที่อยู่ในร้านของคุณป้า แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะต่อราคาไปด้วย แม้จะลดไปไม่เท่าไหร่อย่างละไม่กี่หยวนแต่เมื่อซื้อเยอะเข้าก็จะเห็นความต่างในนั้นเอง เธอประหยัดไปหลายสิบหยวนในร้านนี้ จากนั้นก็ไปซื้อเครื่องปรุงที่ขาดไปอีกนิดหน่อยก็กลับห้อง

สำหรับมื้อแรกที่เมิ่งเฉียวลงมือทำเป็นบะหมี่ผักง่าย ๆ เธอเพิ่มไข่และเนื้อปลานึ่งลวกแยกไว้เพื่อเพิ่มสารอาหาร กลิ่นหอมของบะหมี่ผักทำให้กระเพาะของเธอทำงานขึ้นมาแล้ว ความอยากอาหารที่หายไปคืนกลับมาทั้งอย่างนี้ หญิงสาวใช้เวลาในการจัดมื้อเช้าที่ค่อนข้างสายเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดห้องนี้และจัดระเบียบสิ่งของต่าง ๆ ใหม่

เมิ่งเฉียวใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพื่อจัดห้องเล็ก ๆ นี้ให้เข้ากับตัวเอง ไม่ใช่ว่าห้องที่ร่างเดิมจัดไว้ไม่ดีแต่มันแค่ไม่เหมาะสม เพราะการวางเฟอร์นิเจอร์หรือการตกแต่งล้วนแต่มีผลต่อบรรยากาศในห้อง ขนาดของห้องเท่าเดิมแต่เมื่อการจัดวางเปลี่ยนตำแหน่งไปก็ทำให้ห้องนี้เปลี่ยนไป

เมิ่งเฉียวเพียงย้ายตำแหน่งโต๊ะตรงนั้น เตียงตรงนี้ก็ทำให้ห้องเล็ก ๆ นี้มีแสงสว่างเพิ่มขึ้น ดูโปร่งโล่งสบายตาและมีพื้นที่ทางเดินเพิ่มขึ้น ตรงห้องครัวยิ่งถูกจัดใหม่อีกครั้งเพราะตรงนั้นต่อไปจะต้องใช้ทำงานเป็นส่วนใหญ่ ฉากกั้นที่เคยมีก็ถูกเธอเลื่อนปรับใหม่

ห้องครัวที่เดิมมีขนาดเล็กสุดตอนนี้ก็แทบจะกินพื้นที่หนึ่งในสามของห้องแล้ว ในมือผอมแห้งมีกระดาษกับปากกาขึ้นมาจดว่าควรต้องเพิ่มเติมอะไรในห้องครัวอีก

“เอาล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว ดูดีขึ้นมาก” หญิงสาวบิดตัวคลายความเมื่อยล้า เอนหลังพิงโซฟาตัวเล็กแล้วก็หลับตา พอหายเมื่อยก็ลุกไปทำมื้อเย็นกิน จากนั้นก็เข้านอน อาจจะเพราะความเหนื่อยล้าของวันนี้ทำให้พอหัวถึงหมอน เธอก็หลับไปทันที

2BC


ตอนหน้าจะมีตัวละครมาเพิ่มแล้วน้าาา ใครจะออกมาให้เมิ่งเฉียวได้เห็นคนแรกเอ่ย

ตอนที่ 3

ภารกิจเลี้ยงดูลูกชายวายร้ายของท่านประธาน

โดย Jaotianhom - เจ้าเทียนหอม

วันต่อมาตามแผนของเมิ่งเฉียวก็คือเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เพราะขั้นแรกของการมีชีวิตที่ดีต้องเริ่มจากสุขภาพก่อน โดยเฉพาะร่างเดิมนี้ที่ขาดสารอาหารอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นตอนที่ได้ความทรงจำของเมิ่งเฉียวมาก็เห็นว่าตอนยังเด็กเธอเคยป่วยแล้วไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม แถมยังเคยตกน้ำในฤดูหนาวที่น้ำเย็นเฉียบจนร่างกายอ่อนแอ มักจะหวาดกลัวอากาศเย็นมากเพราะมันจะหนาวเสียดไปถึงกระดูกเสมอ

เหตุที่เมิ่งเฉียวรู้สึกหนาวในตอนแรกที่ตื่นมาบนโลกนี้ก็เช่นกัน สำหรับคนทั่วไปต้นฤดูใบไม้ผลิแบบนี้สามารถเปลี่ยนไปใส่ชุดของฤดูใบไม้ผลิได้แล้ว แต่เธอยังต้องสวมเสื้อหนา ๆ อยู่เลย ไม่ต้องพูดถึงว่าสวมชุดเครื่องแบบนอนบนพื้นเย็น ๆ คืนนั้นเธอจึงปวดหัวและตัวร้อนด้วย

ตอนไปตรวจก็ให้ผลอย่างที่คาดไว้ ร่างกายนี้อ่อนแอจนแม้แต่หมอยังตกใจที่ผ่านฤดูหนาวมาได้หลายปี ขณะเดียวกันก็มอบแผนการรักษาที่ให้รักษาควบคู่ไปกับการปรับสมดุลตามแพทย์แผนจีน แต่เรื่องที่ทำให้เมิ่งเฉียวแปลกใจก็คือร่างนี้มีอาการมดลูกเย็นทำให้โอกาสในการมีลูกไม่มาก เหมือนกับเธอในโลกก่อนเลย สงสัยเธอจะไม่มีหวังกับการมีลูกจริง ๆ

ส่วนเมิ่งเฉียวคนก่อนถึงจะมีแฟนแต่ก็อย่างที่เคยบอก เหมือนเมิ่งเฉียวจะเป็นเพียงตู้กดเงินให้ฝ่ายนั้นอย่างเดียว นอกจากเรื่องเงิน เจ้าลูกเต่าตัวนั้นไม่คิดจะสนใจทำอะไรกับร่างนี้สักนิด ขนาดช่วงที่ร่างเดิมป่วยก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจะโผล่มาสนใจเลย ไม่กี่วันที่เจ้าหมอนั่นปรากฏตัวก็คือวันเงินเดือนออก

ครั้งหน้าที่เมิ่งเฉียวจะได้เจอและจัดการกับแฟนเก่งเฮงซวยคนนั้นคงเป็นวันเงินเดือนออกครั้งหน้า ก่อนจะถึงวันนั้นเธอคงต้องเตรียมการให้เรียบร้อยก่อน

หลังกลับออกจากโรงพยาบาลเมิ่งเฉียวคิดจะไปสำรวจที่บริเวณรอบ ๆ สักหน่อย เนื่องจากอยากจะทำอาชีพเก่าอย่างการไลฟ์ทำอาหารและบล็อกเกอร์อาหาร เธอจึงต้องไปสำรวจลู่ทางเพิ่ม แหล่งร้านอาหารถือเป็นสิ่งจำเป็นที่เธอต้องรู้ไว้ก่อน ไม่รู้ว่าตามความทรงจำของโลกก่อนจะมีร้านที่คล้ายกันอยู่หรือไม่

นอกจากนั้นก่อนที่จะมาโรงพยาบาลเธอก็ได้สมัครบัญชีบนโลกออนไลน์เพื่อเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ทั้งเวยปั๋วและแพลตฟอร์มสำหรับไลฟ์สด เธอสมัครใหม่ให้เป็นบัญชีเกี่ยวกับอาหารทั้งนั้น ระหว่างรอการอนุมัติให้ไลฟ์สด เมิ่งเฉียวก็เริ่มโพสต์รูปอาหารที่ตัวเองทำและอัดคลิปตอนตัวเองทำอาหารเก็บไว้ แต่เพราะคุณภาพของวิดีโอยังไม่ดีพอเธอจึงยังไม่ได้โพสต์ลงในเวยปั๋ว คิดว่าวันนี้จะไปหาซื้อแท็บเล็ตมือสองที่คุณภาพไม่เลวมาเพื่อตัดต่อคลิปวิดีโอและวาดภาพเสียก่อนค่อยโพสต์ลงไป

ในโลกก่อนความถนัดด้านนี้ของเธอถูกพัฒนาขึ้นไปจนเป็นอาชีพแล้ว เมิ่งเฉียวจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้คล่องแคล่ว ขอเพียงมีอุปกรณ์พร้อม เธอก็สามารถสร้างผลงานได้ทันที แล้วถ้าจำเป็นยังสามารถใช้ความสามารถในการตัดต่อ แต่งภาพและวาดรูปพวกนี้มาหากินได้ด้วย

เมิ่งเฉียวเลือกไปทางชุมชนการศึกษาที่มีทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในบริเวณนั้น เหตุผลง่าย ๆ ของการเลือกที่โซนนั้นก็เพราะว่าย่านที่มีผู้คนคึกคักก็จะมีอาหารมากตามไปด้วย อีกอย่างของกินเล่นหน้าโรงเรียนและรอบรั้วมหาวิทยาลัยก็เป็นหัวข้อที่น่าสนใจเสมอ แม้ว่าสำหรับย่านหลังมหาวิทยาลัยไปตอนฟ้ามืดและช่วงดึกจะคึกคักกว่าก็เถอะ

ช่วงเวลาที่เธอไปนั้นเป็นช่วงบ่ายทำให้คนไม่ได้พลุกพล่านเท่ากับเวลาเช้าหรือเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกเรียน หญิงสาวจึงขับรถช้า ๆ แล้วมองสองข้างทางที่เป็นแหล่งรวมนักเรียนหัวกะทิเอาไว้ หวังว่าจะสามารถสูดกลิ่นอายของพวกคนเก่งเข้าไปบ้าง แม้ว่าโลกก่อนเมิ่งเฉียวจะเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่ไม่ได้มีโอกาสมาเหยียบรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองเอหรอก ครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดี

“เพิ่งมาแถวนี้หรือลูก” คุณป้าร้านขายบะหมี่ทักเมื่อเห็นเมิ่งเฉียวหันมองซ้ายมองขวา หน้าตาเองก็ไม่คุ้นหน้า สำหรับคนที่เปิดร้านอยู่แถวนี้ทุกคนแทบจะจำหน้าของคนที่ผ่านไปมาเป็นประจำได้แล้ว บรรดานักเรียนหรือนักศึกษาแถมนี้พวกเธอก็จำได้กันหมด ทันทีที่เห็นเมิ่งเฉียวก็บอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ครั้งแรก

“ตรงนี้มีโรงเรียนเยอะมากเลยนะคะเนี่ย” ป้าเจ้าของร้านมองหญิงสาววัยประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกพยักหน้ารับ แม้ตัวจะผอมและดูอ่อนแรงแต่รอยยิ้มกับแววตากลับเปิดเผย จริงใจทำให้ง่ายต่อการเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่ พอเมิ่งเฉียวเป็นฝ่ายเริ่มต้นถามป้าเจ้าของร้านก็พร้อมจะให้ข้อมูลกับเธอ

“ใช่แล้ว ที่นี่เป็นชุมชนการศึกษา ถนนเส้นนี้ทั้งเส้นและย่านนี้ทั้งย่านมีโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยตั้งเรียงรายกันเลย พวกโรงเรียนประถมและมัธยมชื่อดังก็อยู่บนถนนเส้นนี้เหมือนกัน”

“เห็นประตูตรงนั้นหรือเปล่า นั่นคือโรงเรียนประถมหมายเลขหนึ่ง เป็นโรงเรียนประถมชื่อดังของแถบนี้เลย” คุณลุงที่ตั้งร้านอยู่ถัดไปจากร้านที่เมิ่งเฉียวนั่งชะโงกหน้ามาคุยด้วย มือหนาโบกพัดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พาดบ่าขึ้นมาซับเหงื่อ แม้ว่าอากาศวันนี้จะค่อนข้างดีแต่คนที่ต้องมาเปิดร้านตั้งแต่เช้าและทำงานอยู่ตลอดเวลาอย่างพวกเขาก็เหงื่อออกได้ง่าย ๆ

“หลานชายของเหล่าเกาเองก็เรียนอยู่ที่นั่น ได้ยินว่าเรียนเก่งใช้ได้เลย ใช่ไหมเหล่าเกา” คุณป้าหม่า ป้าเจ้าของร้านบะหมี่ที่เมิ่งเฉียวสั่งอาหารทำอาหารไปพลางตะโกนแซวชายวัยห้าสิบกว่า ๆ ของร้านถัดไป เรียกเสียงหัวเราะและเสียงโอ้อวดอย่างยินดีตามมาเป็นระลอก

สำหรับผู้ใหญ่ในบ้านแล้วเรื่องลูกหลานที่ดีทำให้พวกเขามีหน้ามีตามาก น้ำเสียงจึงยินดีและมีความสุข เมิ่งเฉียวฟังแล้วยังอดยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าเธอจะไม่มีวาสนาเรื่องทายาทมาตั้งแต่โลกก่อนแต่ความชอบที่มีต่อเด็ก ๆ ไม่ได้ลดลงเลย ลูกของเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้านที่สนิทกันก็ล้วนแต่ได้รับการเอ็นดูและดูแลจากเมิ่งเฉียวอยู่เสมอ เธอมักทำขนมที่พวกเด็ก ๆ ชอบไปแบ่งให้พวกเขาบ่อยครั้ง

“แม่หนูท่าทางร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ต้องกินให้เยอะ ๆ หน่อยนะ ป้าเพิ่มผักกับไข่ให้ กินไข่แล้วดีต่อสุขภาพ อย่ามัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ถึงเวลาแก่มาจะเสียใจเอานะ” ป้าหม่าเดินมาเสิร์ฟบะหมี่แห้งร้อนชามใหญ่พิเศษไว้ตรงหน้าเมิ่งเฉียว แถมยังวางไข่ดาวที่เธอเพิ่มให้กับน้ำแกงไว้ข้าง ๆ ด้วย เมิ่งเฉียวส่งยิ้มขอบคุณให้กับป้าหม่าแล้วมองบะหมี่ตรงหน้า

เส้นบะหมี่ที่คลุกน้ำซอสที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา จิ๊กโฉ่ว น้ำมันพริกและยังมีผักดองหลายชนิดคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน แค่ได้กลิ่นก็ทำให้น้ำลายสอแล้ว

“รสชาติเป็นยังไงบ้าง พอได้ใช่ไหมล่ะ” ป้าหม่าเจ้าของร้านถามยิ้ม ๆ หญิงสาวก็พยักหน้า

“อร่อยมากค่ะ” เมิ่งเฉียวพูดได้เท่านั้นเพราะเส้นหมี่เหนียวนุ่มที่เคลือบซอสมันเต็มปาก สำหรับคนที่ชอบกินอย่างเธอแล้วบะหมี่ชามนี้ก็เหมือนทำให้คืนชีพ ในที่สุดความรู้สึกของการมีอยู่ก็แจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง

ทุกอย่างที่เหมือนความฝันพอได้กินของอร่อยก็พบว่าการมาอยู่ในโลกใหม่นี้ของเธอเป็นความจริง แม้ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถกลับไปยังโลกก่อนได้อีกไหม แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป

เมิ่งเฉียวกินบะหมี่ร้านป้าหม่าแล้วก็เดินไปตามถนนเส้นนั้น เธอจอดรถทิ้งไว้แล้วเลือกเดินเท้าสำรวจเส้นทางแถวนั้น ระหว่างทางก็ได้ซื้อของทานเล่นที่น่าสนใจติดมือมา แม้จะบอกว่าตอนนี้แทบจะกรอบจนอยู่ไม่ถึงสิ้นวันเงินเดือนออกแล้ว แต่เมิ่งเฉียวจะไม่มีทางอดแน่นอน สำหรับเธอแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะต้องกินให้อิ่มก่อน แล้วไปหักเอาจากส่วนอื่นแทน ต้องไปทวงเงินจากร้านสะดวกซื้อก่อนจะลาออกด้วย

เมื่อเดินไปสักพักเมิ่งเฉียวก็เลือกนั่งพักใต้ร่มไม้เพราะรู้สึกเหนื่อย อีกทั้งยังอยากลองชิมของกินเล่นตอนที่มันยังร้อน ๆ อยู่

ด้านหลังเธอเป็นรั้วโรงเรียนที่สูงท่วมหัวเธอไปอีกจึงมองไม่ออกว่าเป็นโรงเรียนแบบไหน แต่จากที่พวกป้าหม่าบอกคิดว่าน่าจะเป็นเขตของโรงเรียนประถมหมายเลขหนึ่งกระมัง เมิ่งเฉียวได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนบางอย่างจากกำแพงฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไม่ได้สนใจ

เธอหยิบทาร์ตจิ๋วชิ้นละหนึ่งหยวนออกมาคิดจะลองชิมดูเพราะตอนที่วางอยู่บนแผงมันน่ากินทุกรสชาติเลย เมิ่งเฉียวจึงหยิบไส้ชาเขียวมาลองก่อน ตัวแป้งกรุบกรอบ ชาเขียวมีกลิ่นหอมจาง ๆ ไม่หวานมาก แล้วก็มีรสดอกกุ้ยที่ดูน่าสนใจกลิ่นของมันหอมเตะจมูกจนทำให้เธอเลือกมาเป็นชิ้นแรก ๆ

“หอมมาก” เมิ่งเฉียวยกขึ้นมาดมกลิ่น เธอรู้สึกได้ว่ามันหอมมาก ตัวแป้งอาจจะไม่ได้ต่างจากชิ้นที่แล้วแต่กลิ่นหอมต่างกันลิบลับ แต่เธอยังไม่ทันจะส่งมันเข้าปากก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากเหนือหัว เป็นเสียงกิ่งไม้และใบไม้เสียดสีกัน ตามด้วยเสียงตะโกนดังแว่ว ๆ

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะสบตากับดวงตากลมที่ดูดื้อรั้น หางตาเชิดขึ้น มองลงมาด้วยสายตากดดัน แต่เมิ่งเฉียวกลับคิดว่าอีกฝ่ายกำลังมองขนมในมือของเธอมากกว่า

เด็กชายในชุดนักเรียนประถมสีเทาขาว ตรงปกคอเสื้อและแขนเสื้อเป็นสีเทา ชายเสื้อสีขาว กางเกงวอร์มขายาวสีเทาเข้มเกือบดำ ใบหน้าคล้ายจะเย่อหยิ่งแต่กลับถูกแก้มกลม ๆ นั่นลดทอนจนดูน่ารักและน่ามันเขี้ยว หางคิ้วของเด็กชายเหมือนจะมีปลาสเตอร์แปะไว้ ท่าทางดูดื้อไม่น้อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ารักมาก

เหมือนกับลูกแมวจอมหยิ่งที่พร้อมจะข่วนทุกคนที่เข้าใกล้ แต่ความน่ารักของมันก็ตกคนได้ในทันทีที่ได้เห็น

“อ๊ะ ระวังค่ะ” เมิ่งเฉียวหวีดร้องอย่างตกใจ วางของในมือลงแล้วพุ่งเข้าไปรับเด็กน้อยที่ก้าวพลาด ร่างเล็ก ๆ ร่วงหล่นลงมาจากบนต้นไม้

ตุ๊บ!

ทั้งสองล้มกลิ้งไปด้วยกัน โดยที่เมิ่งเฉียวรับตัวเด็กชายเอาไว้ได้ เธอกอดร่างเล็ก ๆ ไว้ในอกอย่างปกป้อง หลับตาเมื่อถูกกระแทกลงมาเต็มแรง ความเจ็บแปลบที่หลังทำให้เธอต้องเบ้หน้า ลืมตาขึ้นมองก็เห็นเด็กชายกำลังขยับลุกจากตัวเธอ ระหว่างนั้นเมิ่งเฉียวเหลือบเห็นแววตาเป็นห่วงปนตกใจระคนทำอะไรไม่ถูกจากเด็กน้อย

แม้จะเพียงเสี้ยวสั้น ๆ ก่อนเจ้าตัวจะคืนกลับไปทำหน้าบึ้งตึงและเย็นชาเหมือนเดิม

“เป็นอะไรหรือเปล่า หนูเจ็บตรงไหนไหมลูก แขนกระแทกหรือเปล่าคะ” เมิ่งเฉียวยกยิ้มแฝงความประหลาดใจ

ทั้งที่เธอเพิ่งจะเคยเจอเด็กคนนี้ครั้งแรก แต่ทันทีที่สบตากับรู้สึกถึงความผูกพันและความเอ็นดูจากส่วนลึก ร่างกายที่พุ่งไปรับตัวอีกฝ่ายเอาไว้ทำไปแบบไม่ทันได้คิด หลังจากลืมตาขึ้นมองสิ่งแรกที่นึกอยู่ในหัวก็คือความปลอดภัยของเด็กน้อย เธอคิดจะขยับไปดูอาการของเด็กน้อยแต่ฝ่ายนั้นก็ขยับถอยหลัง เมิ่งเฉียวเลยยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่คิดจะขยับเข้าไปเด็กชายเลยไม่ได้ถอยหนีอีก

“เอ๊ะ มือเจ็บนี่ ขอน้าดูมือได้หรือเปล่าคะ” บนฝ่ามือเล็กมีแผลถลอกซึ่งน่าจะเกิดจากตอนที่เจ้าตัวคว้ากิ่งไม้ก่อนจะร่วงลงมา

เด็กชายมองเมิ่งเฉียวที่ค้นหาบางอย่างนิ่ง ๆ เขาไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้ละสายตาไปจากผู้หญิงประหลาดตรงหน้า ทั้งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแท้ ๆ พวกเขาเพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรกแต่ตอนที่เขาหล่นลงมา ผู้หญิงคนนี้ดันเข้ามารับตัวเขาอย่างไม่ลังเล ไหนจะแววตาเป็นห่วงนั่นอีก ของแบบนั้นทำไมถึงมีให้คนแปลกหน้าได้ง่าย ๆ กัน

“ขอน้าดูมือได้หรือเปล่า” เมิ่งเฉียวพยายามพูดให้อ่อนโยน ทำสีหน้าให้ดูใจดีเพราะกลัวว่าเด็กชายจะตกใจ ถึงอย่างไรพวกเธอก็เป็นคนแปลกหน้ากัน แต่เด็กชายหน้าบึ้งตึงกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว ไม่ได้ขยับสักนิด มีเพียงแววตาที่กลอกมองตามการกระทำของเธอ เม้มปากแน่น เด็กชายหงายฝ่ามือเมื่อรู้สึกแสบจนเริ่มชา ก่อนจะซ่อนมันไว้ข้างหลังแล้วผุดลุกยืน

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน ใช้ผ้าผืนนี้พันไว้ก่อน” เมิ่งเฉียวฉีกผ้าพันคอผืนบางของตัวเองไปให้เด็กน้อยใช้พันมือ เธอพยักพเยิดไปที่มือเล็กเมื่อเห็นเด็กชายจับจ้องมา เด็กน้อยขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็รับไป เธอได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ แต่กลับฟังไม่ออกว่าเด็กชายพูดอะไร ริมฝีปากเล็กขยับเพียงเล็กน้อย

“อะไรนะ น้าไม่ได้ยินเลย เราช่วยพูดดังขึ้นอีกนิดได้ไหม หืม” เด็กชายทำหน้าหงุดหงิดคล้ายไม่ได้ดั่งใจ มองเมิ่งเฉียวด้วยแววตาวาวโรจน์ แต่ก็พูดเสียงดังขึ้นอีก

“ขอบคุณ…ครับ” เมิ่งเฉียวยกยิ้มอ่อนโยนเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่แปลก ๆ ของเด็กน้อย เหลือบไปเห็นใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเธอก็ยิ่งยิ้มกว้าง ที่แท้เป็นพวกจอมซึนนี่เอง

“เด็กดี ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้นะ” เด็กชายเห็นรอยยิ้มของผู้หญิงตรงข้ามก็ไม่เข้าใจและทำตัวไม่ถูก กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ และเสียงตะโกนของคุณครูดังมาจากด้านหลังไกล ๆ เด็กชายจึงรีบลุกขึ้นแล้วก็ออกวิ่งอีกครั้ง

“จะไปไหนคะ นี่หนู” เธอพยายามตะโกนแล้วก็คิดจะวิ่งตาม แต่ตอนที่ล้มลงไปหลังของเมิ่งเฉียวกระแทกจนรู้สึกเจ็บแปลบ คิดว่าคงจะเป็นรอยช้ำอย่างแน่นอน วิ่งไปได้นิดเดียวก็ต้องหยุด

เด็กชายที่ออกวิ่งไปก่อนได้ยินเสียงของเมิ่งเฉียวก็หันกลับมามอง เห็นผู้หญิงที่ช่วยตัวเองชะงักไปแล้วก็ทำสีหน้าเจ็บปวด เด็กชายก็เม้มปากแน่น แววตาลังเลและเป็นกังวลปรากฏขึ้นมาชั่วขณะ แต่เมื่อมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเด็กชายก็ตัดสินใจออกวิ่งต่อ

“…ขอโทษ..ครับ”

2BC


หนูลูกกกกก อยากบีบแจ้ม เป็นแมวหยิ่งที่ใคร ๆ ก็ตกหลุมรัก หนูต้องเป็นที่รักของทุกคนแน่นอนค่ะ

ว่าแต่น้องเป็นใครกันนะ 5555555555

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0