ศาลฎีกา พิพากษา ‘อนุรักษ์’ พ้น ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ห้ามลงสมัคร-ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต พร้อมตัดสิทธิเลือกตั้งอีก 10 ปี ในคดีเรียกรับเงิน 5 ล้านบาท จากอดีตอธิบดีกรมน้ำบาดาล เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ
ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ คมจ.4/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ร้องต่อศาลว่า นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีการเรียกรับเงินจำนวน 5 ล้านบาท จากนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ
โดย ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดและยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษา หรือมีคำสั่งว่า นายอนุรักษ์ ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ศาลฎีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 235 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 87 และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ 2561 ข้อ 7, 8, 9 และ 27
ศาลพิเคราะห์ตามพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า นายอนุรักษ์มีพฤติการณ์ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 235 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรฐานทางจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 7-8-9 ประกอบข้อ 28 วรรคหนึ่ง จากกรณี เรียกรับผลประโยชน์และเงินจำนวน 5 ล้านบาทจริง
เนื่องจากไม่มีเหตุผลที่นายอนุรักษ์ในฐานะอนุกรรมการพิจารณาศึกษางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 จะต้องติดต่อกับหน่วยงานผู้ขอรับงบประมาณโดยตรง เพราะสภาผู้แทนราษฎรได้มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนว่า หากนายอนุรักษ์ต้องการเอกสารการขอรับงบประมาณเพิ่มเติม ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมาธิการ เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานขอรับงบประมาณแทน เพื่อป้องกันการเรียกรับผลประโยชน์
จึงพิพากษาให้ นายอนุรักษ์ พ้นจากความเป็น ส.ส. ตามคำร้องของ ปปช. ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 และให้เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้ง และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งตลอดชีวิต และให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี โดยให้มีผลทันที
หลังจากนี้ศาลฎีกา จะส่งคำพิพากษาไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป