โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

กว่าจะเป็น "เครื่องถ่ายเอกสาร" และไม่ได้มีชื่อว่า "ซีร็อกซ์"

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 08 ธ.ค. 2563 เวลา 04.19 น. • เผยแพร่ 21 พ.ค. 2563 เวลา 04.13 น.
Xerox 914 เครื่องถ่ายเอกสารที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบเครื่องแรกของโลก (ภาพจากเว็บไซต์ https://connect.blogs.xerox.com/2017/07/17/first-xerox-copy-machine-on-jeopardy/)

บ่อยครั้งที่สิ่งประดิษฐ์บางอย่างมักถูกมองข้าม เมื่ออยู่ผิดยุคผิดสมัย ไม่เว้นแม้แต่เครื่องถ่ายเอกสารด้วยการใช้แสงของ เชสเตอร์ คาร์ลสัน(Chester Carlson)    

คาร์ลสันเป็นบุตรเพียงคนเดียวของช่างตัดผมเร่ร่อน พ่อกับแม่พาเขาระหกระเหินไปทั่วอเมริกาเพื่อรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ประทังชีวิต คาร์ลสันต้องช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พอเรียนมัธยมปลายก็กลายเป็นเสาหลักที่หาเงินจุนเจือครอบครัว คาร์ลสันย้ำอยู่เสมอว่า ชีวิตวัยเด็กที่โดดเดี่ยว ทำให้เขามีเวลาปลดปล่อยจินตนาการได้เต็มที่ ส่วนความลำบากในวัยเด็ก ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองและอดทน

แม้จะตกทุกข์ได้ยาก แต่คาร์ลสันก็ไม่เคยละทิ้งการศึกษา เขาเรียนและทำงานไปพร้อมกัน กระทั่งสำเร็จการศึกษาสาขาฟิสิกส์จากแคลเทคในปี 1930 และได้ทำงานด้านสิทธิบัตร จากประสบการณ์เหล่านี้ คาร์ลสันจึงเชื่อว่าเครื่องถ่ายเอกสารแบบใหม่ที่เขาคิดไว้ เพื่อทดแทนเครื่องโรเนียวแบบเก่านั้น น่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแน่นอน     

คาร์ลสันคิดว่าแสงน่าจะมีส่วนสำคัญในการสำเนาเอกสารขึ้นมา กระทั่งในปี 1937 จึงคิดวิธีผนวกไฟฟ้าสถิตกับการเหนี่ยวนำไฟฟ้าด้วยแสง(photoconductivity) ด้วยการใช้ตัวชาร์จไฟฟ้าสถิตบนพื้นผิวที่โรยด้วยผงละเอียดเพื่อทำให้เกิดภาพ ปีถัดมา คาร์ลสัน และ อ็อตโต คอร์เน(Otto Kornei) ผู้ช่วยของเขา จึงสร้างเครื่องถ่ายเอกสารซีโรกราฟิคเครื่องแรกขึ้นตามแนวคิดนี้ขึ้นมา คาร์ลสันนำเสนอผลงานเบื้องต้นกับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ได้แก่ ไอบีเอ็ม, 3 เอ็ม, และ เอ.บี. ดิ๊ค แต่ทั้ง 3 บริษัทแสดงท่าทีไม่กระตือรือร้นต่อประดิษฐกรรมชิ้นนี้ โชคดีที่ความหัวรั้นและไม่ยอมแพ้ของคาร์ลสัน ซึ่งหล่อหลอมขึ้นมาจากความยากจนและการต่อสู้ดิ้นรนในวัยเด็ก สั่งให้เขาเดินหน้าต่อ     

คาร์ลสันได้รับสิทธิบัตรเครื่องถ่ายเครื่องทำสำเนาภาพ(electrophotography) ในปี 1940 จากนั้นก็พยายามตระเวนขายสิ่งประดิษฐ์นี้ ขณะศึกษาต่อปริญญาโทด้านกฎหมายควบคู่กันไป ในที่สุดโชคก็เข้าข้าง หลังจากเขานำเสนอเครื่องถ่ายเอกสารต้นแบบมา 8 ปี หัวหน้าฝ่ายกราฟิคของสถาบันวิจัยแบ็ทเทลล์ ซึ่งเป็นองค์กรค้นคว้าวิจัยที่ไม่ประสงค์ผลกำไรตกลงรับเป็นตัวแทนสำหรับสิทธิบัตรของคาร์ลสันแต่เพียงผู้เดียว แลกกับ 50% ของค่าลิขสิทธิ์ที่จะได้ในอนาคต     

จากนั้นในปีเดียวกัน โจ วิลสัน(Joe wilson) เจ้าของบริษัท ฮาลอยด์ คอมพานี สนใจสิ่งประดิษฐ์ของคาร์ลสัน ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1946 วิลสันซึ่งเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ถูกชะตากับนักวิทยาศาสตร์ผู้เคร่งขรึมและเด็ดเดี่ยวในทันที ทั้งสองรู้ด้วยสัญชาตญาณและสามัญสำนึกว่า สิ่งประดิษฐ์ของคาร์ลสันคือโอกาสสำคัญของทั้งคู่ พวกเขาร่วมกันล้มลุกคลุกคลาน พัฒนาเครื่องถ่ายเอกสารต้นแบบเป็นเวลากว่า 12 ปี และเปลี่ยนชื่อบริษัทให้ติดหูมากขึ้นว่า“ซีร็อกซ์” ซึ่งกลายเป็นคำเรียกขานเครื่องถ่ายเอกสารตั้งแต่นั้นมา     

ในปลายทศวรรษ  1950 บริษัท ซีร็อกซ์ ได้สร้างเครื่องถ่ายเอกสารรุ่น 914 ที่สามารถถ่ายสำเนาได้ 1 แสนแผ่นต่อเดือน โดยไม่ต้องใช้น้ำยาเคมี และหลังจากสำรวจความต้องการของตลาดที่ต้องการถ่ายเอกสารทีละแผ่นด้วย พวกเขาจึงติดตั้งเครื่องนับจำนวนแผ่นเข้าไป ทำให้ในปี 1962 ฮาลอยด์สามารถส่งเครื่องถ่ายเอกสารออกสู่ตลาดได้ 10,000 เครื่อง   

แม้คาร์ลสันจะมองว่าสิ่งประดิษฐ์คือสะพานนำเขาไปสู่ความมั่งคั่ง ที่ทำรายได้ให้เขากว่า 150 ล้านเหรียญในทศวรรษ 1960 แต่เขาก็ไม่ได้หลงระเริงกับชื่อเสียงเงินทองที่ได้มาเลย ตรงกันข้ามคาร์ลสันยังใช้ชีวิตสมถะ อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ กับครอบครัว และบริจาคเงินรายได้ก้อนใหญ่ให้การกุศล เขายอมรับว่าความลำบากในวัยเด็ก ทำให้เขามีภูมิคุ้มกัน ไม่หลงระเริงกับความหรูหราฟู่ฟ่าที่อยู่รอบกาย

คาร์ลสันเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย ขณะอายุ 62 ปี ในขณะที่ประดิษฐกรรมของเขากลายเป็นสินค้าที่บริษัทด้านอิเล็กทรอนิกส์หันมาแชร์ตลาดเพิ่มขึ้น และทำให้ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยปฏิเสธผลงานของเขาแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว

 

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 สิงหาคม 2561

youtube
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...