ในระหว่างเกมที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด คู่ แมนฯยูไนเต็ด กับ เบิร์นลีย์ ยังไม่สิ้นเสียงนกหวีดในครึ่งแรก ผมแอบนึกถึงคำพูดของ แกรี่ เนวิลล์ ที่งเคยวิจารณ์ (ด่า) เอาไว้ว่าระบบ 4-2-2-2 ใช้ได้กับเฉพาะทีมเล็กๆเท่านั้น
เรื่องประเด็น “ระบบ” มันค่อนข้างกว้างเพราะต้องใช้ความรับผิดชอบ as a group แต่หาก as individual วางยาขึ้นมาเมื่อไหร่ที่เหลือก็รวนตาม
วันที่เสมอกับ นิวคาสเซิ่ล อดีตแบ็คขวา “ปีศาจแดง” เหมือนจะยังผูกใจเจ็บด้วยการเฉ่งนักเตะว่าเป็นตัวการทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (เพื่อนรัก) ถูกไล่ออกและเชื่อว่าถ้ายังห่วยแบบนี้ใครมาก็โดนไล่ไม่เหลือ
แม้ประตูที่เกิดขึ้น 3-1 มาจากครึ่งแรกทั้งหมด (ต่อหน้า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ชมเกมฉลองอายุครบ 80 ปี)แต่ฟอร์มโดยรวมเจ้าถิ่นไม่ได้เหนือกว่า เบิร์นลีย์ แบบจะแจ้งอะไรซักเท่าไหร่เลย
แม้ประตูที่เกิดขึ้น 3-1 มาจากครึ่งแรกทั้งหมดแต่ฟอร์มโดยรวมเจ้าถิ่นไม่ได้เหนือกว่า เบิร์นลีย์ แบบจะแจ้งอะไรซักเท่าไหร่เลย
แนวรับยังคงพยายาม “หางาน” ให้ทีมอยู่เสมอ คนดีคนเดิม แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปล่อยบอลตกจนแฟนบอลหวาดเสียว ถ้าเปลี่ยน คริส วู้ด เป็นนักเตะคนอื่นอาจจะจบไม่สวย
และประตูตีไข่แตกของ เบิร์นลีย์ ก็เป็นความรับผิดชอบของ “กัปปิตัน” ที่ถอยและรับมือกับสถานการณ์ 1 ต่อ 1 ได้ไม่ดีพอ
เรื่องงามๆของค่ำคืนนี้คือฟอร์มโหดสัสในช่วง 45 นาทีของ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ต้องขอยืมคำพูดของทิด “สมปอง” ว่า “ผมคึกแล้ว เตะปากแฟนบอลได้ละนะ!!”
สังเกตได้เลยว่า แม็คโทฯ เล่นเหมือนคนไม่มีห่วงหลังเพราะได้ เนมันย่า มาติช คอยยืนเก็บให้ การจ่ายการทำเกมดีผิดหูผิดตาจากนัดอื่นๆชัดเจนมาก
ประตู 1-0 ใน 8 นาทีเป็นอะไรที่ “เร้ดอาร์มี่” รอมานานและสะใจสุดๆ (โดยเฉพาะคนยิง) เพราะนี่เป็นครั้งแรกในซีซั่นที่ยิงนำคู่แข่งในบ้านในช่วง 15 นาทีแรก นั่นหมายความว่าที่ผ่านๆมา “ปีศาจแดง” เพิ่มความกดดันให้ตัวเองและเสริมความมั่นใจให้ฝั่งตรงข้ามจนแต่ละเกมงานหยาบกว่าที่ควรจะเป็น
แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกนี้มีโชคด้วยเพราะ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ แกตั้งใจจะแต่งบอลแล้วยิงเองแต่ดันลั่นเลยกลายเป็นได้แอสซิสต์ (แบบเขินๆ)
ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือลูกยิงไกลของ แม็คโทมิเนย์ 3 ครั้งจะๆ (2 ครึ่งแรกและอีก 1 ครึ่งหลัง) สวยทุกดอก กลายเป็นอาวุธที่ เบิร์นลีย์ รู้ทั้งรู้แต่คุมไม่เคยทันซักที
อีกเรื่องที่ผมชอบไม่แพ้กันคือการ left side connection ระหว่าง ลุค ชอว์ กับ จอร์ดอน ซานโช่ ที่ทำชิ่ง 1-2 จนอีกฝ่ายพื้นที่เปิดได้หลุดเอาบอลไปเล่นต่อ (จนเป็นที่มาของลูก 3 แม้เครดิตจะเป็น OG. ของ เบน มี)
ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะทั้งคู่ “เซนส์บอล” ทันกัน ถ้าใครเตะบอลประจำจะรู้ว่าเล่นกับคนมีเซนส์ คุณจะเล่นง่ายขึ้นเยอะ
ซานโช่ ตำแหน่งหลักคือปีกซ้ายแต่สลับฝั่งกับ เมสัน กรีนวู้ด เป็นพักๆและอดีตแข้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ข้ามฝากไปแอสซิสต์ลูกยิงไกลของ แม็คโท จึงนับว่าเป็นฟอร์มที่ดีของน้องแกอีกเกม
ครับโดยรวมทั้งทีมแล้ว “ปีศาจแดง” เล่นยังไม่ดีและมีปัญหาในหลายจุดเหมือนที่แฟนบอลเอือมระอาแต่ต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่า เบิร์นลีย์ เล่นสมกับเป็นทีมอันดับ 18 และยังไม่ชนะใครนอกบ้านซีซั่นนี้ (เสมอ 4 แพ้ 5)
ชอน ไดซ์ เหมือนทำการบ้านมาพยายามจะเพรสสูงเพราะรู้ว่า ยูไนเต็ด ไม่ชอบใครมาเกาะแกะหน้าบ้านแต่มันไม่ใช่ธรรมชาติของ เบิร์นลีย์ เรียกว่าแค่ 5 นาทีเปิดพื้นที่แนวรับสูงจน คริสติอาโน่ โรนัลโด้ หลุดเดี่ยวล่อเป้า (แต่ข้ามคาน)
การเสียประตูตั้งแต่นาทีที่ 8 ทำให้ทีมเยือนยิ่งไปต่อไม่ถูกเพราะเน้นคุมโซนตั้งรับมากก็ไม่ได้ (สกอร์ตามหลัง) ครั้นจะรับเพื่อรอสวนก็จบเห่เนื่องจากถ้าไม่นับ อารอน เลนน่อล (ที่อายุ 34) ที่เหลือไม่มีใครมี speed เลย
การขึ้นเกมออกแนวดีเลย์ ตั้งบอลแบบรอให้ครบองค์ประชุม ที่ยังพอรบกวนแนวรับ “ผีแดง” ให้ขมิบตามก็ไม่พ้นที่ลูกวางยาวอะไรเถือกนั้น
หลายคนเชื่อว่า 3 แต้มกับ เบิร์นลีย์ เกมนี้แค่ทำให้เสียงด่าเบาลงชั่วคราวเท่านั้นเพราะพูดกันตรงๆคือทุกวันนี้ “ปีศาจแดง” ลงเล่นแบบ “ค่อยไปแก้เอาหน้างาน”
และตราบใดที่แฟนบอลยังไม่สามารถสลัดความรู้สึก “วันนี้จะมีอะไรแปลกๆไหม” ผลการแข่งขันจะไม่มีวันนิ่งอย่างเด็ดขาด
แม้ฟอร์มยังแกว่งๆแต่สถานการณ์ในตารางของ ยูไนเต็ด ถือว่าขาวหมวยเลยครับชนะ 4 จาก 5 เกมหลังสุดจนไล่ อาร์เซนอล ทีมอันดับ 4 เหลือ 4 แต้ม (และมี 1 เกมในมือ)
แต่จะด้วยอะไรก็ตามแต่ผมอยากให้ทุกคน “กดกระดิ่ง” รอเอาไว้ก่อนหลังเห็นโปรแกรม 3 นัดถัดไปของเด็กๆของ “เดอะ โปรเฟสเซอร์” ที่รับรองน้ำบานแน่นอน
พบ วูลฟ์ (เหย้า), แอสตัน วิลล่า (เยือน) และ เวสต์แฮม (เหย้า) ทีมที่กล่าวมาทั้งหมดมีจุดเด่นในเรื่องของ physical และ energy บอลถึงเนื้อถึงตัวทั้งเกมแน่นอนรวมถึงยังรอเช็กบิลพวกลูกเซ็ตพีซอีกด้วย
ปีนี้ทั้งนักเตะและสโมสรเป็นพวกสายสร้าง content ซะด้วยยิ่งต้องระวังมากกว่าทีมอื่นเป็นพิเศษครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
แมนฯยูฯ กวาด 14 แต้มใน 6 เกมหลังสุด (ชนะ 4 เสมอ 2 ยุค ไมเคิ่ล คาร์ริค และ ราล์ฟ รังนิค) ซึ่งมากกว่าถึง 10 แต้มตอน โอเล่ กุนนาร์ โซลขา คุมในจำนวนเกมที่เท่ากัน (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 4)
จากการที่ยิง 1 จ่าย 1 ทำให้ตอนนี้ ค. โรนัลโด้ สถาปนาตัวเองมีส่วนร่วมกับประตูใน “เลข 2 หลัก” มาตลอด 17 ฤดูกาลหลังสุด โดยกับ “ปีศาจแดง” ซีซั่นนี้ยิงไป 8 จ่ายอีก 3
7 ประตูที่ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ทำได้ใน พรีเมียร์ลีก มาจาก โอลด์แทรฟฟอร์ด ทั้งหมดแต่นี่เป็นลูกแรกของเจ้าตัวจากการลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก 28 นัดเลยทีเดียว
ยูไนเต็ด ยิง 3 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ในครึ่งแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นัดะบ เซาธ์แฮมป์ตัน
“ผีแดง” ไม่แพ้ใครในเกม “ส่งท้ายปี” พรีเมียร์ลีก มา 10 ปฏิทินแล้ว (ชนะ 7 เสมอ 3) โดยหนสุดท้ายที่เสียซิงคือแพ้ แบล็คเบิร์น 3-2 คา โอลด์แทรฟฟอร์ด เมื่อปี 2011
3 แต้มเหนือ เบิร์นลีย์ ทำให้ ยูไนเต็ด ยังยืดสถิติขึ้นปีใหม่ด้วยการติด top 6 เป็นฤดูกาลที่ 32 ติดต่อกัน
อารอน เลนนอน ยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก ใส่ แมนฯยูฯ เป็นครั้งแรกหลังลงเจอกันมา 23 ครั้งหรือนับรวมแล้วกินเวลาอย่างยาวนาน 18 ปีกับอีก 73 วันนับตั้งแต่เจอกันเมื่อเดือนตุลาคม 2005 ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น