เราไม่อาจทราบได้ชัด 100% ว่าวันหนึ่งคนใกล้ชิดหรือตัวเราจะพบเจอกับมะเร็งหรือไม่ เมื่อไร และอย่างไร
รายงานจากองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) เปิดเผยรายงานประจำปีฉบับล่าสุด ซึ่งชี้ว่าจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 18.1 ล้านคนทั่วโลก ภายในช่วงสิ้นปี 2018 และจะทำให้มียอดผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งพุ่งสูงถึง 9.6 ล้านคนก่อนสิ้นปีนี้เช่นกัน
ตัวเลขดังกล่าวนับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับสถิติของปี 2012 ที่มีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 14.1 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 8.2 ล้านคน ซึ่งนักวิจัยคาดว่าแนวโน้มนี้มีสาเหตุมาจากจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนของประชากรสูงวัยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะอัตราผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้น
ทำอย่างนี้…อนาคตไม่แคล้ว…สวัสดี ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’
ในหลักการและการศึกษามาอย่างยาวนานพบว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค มีพฤติกรรม ดังนี้
- ผู้ชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวสูง
- รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำ
- บริโภคเนื้อแดง (ที่อาจมีสารเคมีเจือปน)
- กินเนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำ
- รับประทานอาหารปิ้งย่าง (ไหม้เกรียม)
- กินอาหารที่มีเส้นใยไฟเบอร์พวกผัก ผลไม้น้อย
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้ที่ดื่มเหล้า
- คนที่ขาดจากการออกกำลังกาย
- ผู้ที่มีประวัติหรือคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็ง
- ผู้มีปัญหาระบบขับถ่าย เช่น ลำไส้อักเสบ ท้องผูกเรื้อรัง ภาวะลำไส้แปรปรวน
ประเทศไทยมีแนวโน้มอุบัติการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปคล้ายชาวตะวันตก หากไม่มีนโยบายคัดกรองมะเร็งลําไส้ใหญ่อย่างจริงจัง จํานวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ภายในระยะเวลา 10 ปี มาอยู่ที่ราว 20,000 ราย ซึ่งย่อมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย
กันไว้ดีกว่าแก้…แย่ก็แก้กันต่อไป
“เราทุกคน ไม่ว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือไม่ ควรพยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในมาตรฐานที่ดี มีสุขภาพที่ดีโดยทั่วกัน เริ่มจากเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สุขภาพคือต้นทุนแรกที่ต้องดูแล เพราะเป็นของคู่ตัวบุคคล คนที่มีสุขภาพดี ไม่ว่าวันหนึ่งจะป่วยหนักหรือไม่ ก็ย่อมมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยดูแลสุขภาพมาก่อนแน่นอน” ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM กล่าว
รู้ทันภูมิคุ้มกันในร่างกาย
การปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ถ้าภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับที่น้อยเกินไป จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ โรคภัยเบียดเบียน ติดเชื้อโรคได้ง่าย
เพราะความแข็งแรงทางจิตใจและสมบูรณ์ทางร่างกาย ย่อมเกิดขึ้นได้จากการดูแล เอาใจใส่และมีวินัยเสมอในทุกๆ ช่วงชีวิต
รอบรู้…สังเกตดูเชิงลึก
ในทางวิชาการ การสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล เป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพ จากห้องทดลองระหว่างการวิจัยพบว่า ภูมิคุ้มกันที่สมดุลขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่อย่างสมดุลของเม็ดเลือดขาว 4 ชนิด คือ
คณะนักวิจัย Operation BIM ได้พัฒนาสูตรที่สามารถใช้เป็นภูมิคุ้มกันบำบัดจากสารสกัด มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก ได้แตกต่างกัน โดยมีสูตรที่กระตุ้น Th1 และ Th17 สามารถใช้เป็นภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับการติดเชื้อโรค มีเนื้องอกในมดลูก ถุงน้ำในรังไข่ เป็นมะเร็ง ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ กระเพาะ/ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
และมีสูตรที่ปรับ Th1, Th2 และ Th17 ให้อยู่ในภาวะสมดุล เพื่อใช้เป็นภูมิคุ้มกันบำบัดข้อเข่าเสื่อม/ ข้ออักเสบ ผื่นคันตามผิวหนัง สะเก็ดเงิน ตับอักเสบ ไตวาย ไทรอยด์เป็นพิษ หอบหืด สันนิบาต เบาหวาน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด วิงเวียนศีรษะ ไมเกรน เกาต์ ฯลฯ ประสิทธิภาพในการบำบัดอาการเหล่านี้เกิดขึ้นจากการทำงานกับเม็ดเลือดขาวให้สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล ถือเป็นนวัตกรรมแรกที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได