ข้อมูลเบื้องต้น
คำนำผู้เขียน
นิยายเรื่อง ไม่ขอเป็นที่หนึ่ง เป็นนิยายเรื่องสั้นเล่มเดียวจบ เรื่องราวหลักจะกล่าวถึง น่าหลันหนิงอัน หญิงสาวที่มีความใฝ่ฝันจะเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า แต่เล็กจึงมีความทะเยอทะยานรักการแข่งขันหวังเป็นที่หนึ่ง สุดท้ายนางทำสำเร็จ ได้เป็นนายหญิงแห่งหกตำหนัก อยู่เหนือสตรีทุกนางในแคว้น
แต่แล้ว…นางพบว่าที่ผ่านมานั้นนางคิดผิด ความมักใหญ่ใฝ่สูงของนางนำพาให้ครอบครัวตกอยู่ในห้วงเหวลึก คิดได้เมื่อสายเกินไป ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหมดลงนั้น สวรรค์ยังเมตตาให้นางได้ย้อนกลับไปในอดีตเพื่อแก้ไขเรื่องราวต่างๆ คราวนี้นางจะทำเช่นใด โปรดติดตามต่อในเล่มกันนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร สถานที่ เหตุการณ์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเรื่องสมมุติเท่านั้น นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาความรุนแรงในหลายด้าน ไม่เหมาะสมกับผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอขอบคุณทุกท่านที่อยู่ด้วยกันจนถึงปลายทางค่ะ
ด้วยรักจากใจ
ต้นข้าวต้นน้ำ เขียน
ตอนที่ หนึ่ง
บทที่หนึ่ง คุณหนูรอง
วังหลวงแคว้นเหลียง พระตำหนักเฟิ่งหวง
สองมือเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลทั้งใหม่และเก่าไหวสั่นน้อยๆ ขณะที่หญิงวัยกลางคนกำลังปลดศิราภรณ์ทองคำลวดลายหงส์ประดับไข่มุกและทับทิม ปลดออกจากมวยเกศาของพระมารดาแห่งแผ่นดิน มิใช่สิ…เป็นอดีต อดีตพระมารดาแห่งแผ่นดินแคว้นเหลียงจึงจะถูกต้อง
เหล่านางกำนัลที่รุมล้อมทั้งหน้าและหลังกึ่งเศร้ากึ่งโล่งใจ ด้วยที่ผ่านมา ฤทธิ์เดชความร้ายกาจของฮองเฮานั้น ไม่มีใครไม่ทราบ ในตอนนี้สกุลน่าหลันคิดก่อการกบฏจนถูกกวาดล้าง อำนาจวาสนาของน่าหลันหนิงอันพลอยพังทลายลงไปด้วย ต้นเหตุทั้งหมดยังจะเป็นผู้ใดได้อีก รังนกพลิกคว่ำจากมือนาง ไข่ทุกใบล้วนตกแตกแหลกละเอียด[1]
นางยังจะเป็นฮองเฮาได้อยู่อีกอย่างนั้นหรือ ตระกูลน่าหลันต้องโทษกบฏ ท่านพ่อคิดการใหญ่อย่างนั้นหรือ สกุลน่าหลันมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้นหรือ…มิใช่ มิใช่อันใดทั้งสิ้น ข่าวโคมลอยไร้มูลถูกปล่อยจากผู้ใด หากมิใช่มาจากเขา…สวามีของข้า ฮ่องเต้ที่รักของข้า…
หญิงโง่เขลานามว่าน่าหลันหนิงอันคนนี้ เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน เป็นสตรีเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและปัญญา ผลักดันองค์ชายปลายแถวคนหนึ่งจนขึ้นมาสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ สุดท้าย…กลับเป็นเพียงสะพานให้เขาเหยียบข้ามแล้วถูกรื้อทิ้งก็เท่านั้น
พระราชโองการปลดฮองเฮามาถึงตำหนักเมื่อช่วงเช้า หลังจากที่นางได้เป็นฮองเฮาได้เพียงหนึ่งปี ทันทีที่ได้ทราบเรื่อง น่าหลันหนิงอันมิได้ฟูมฟายเกรี้ยวกราดโวยวายแต่อย่างใด นางคาดเดาได้ไม่ยากว่าบทลงโทษของนางจะเป็นเช่นใด
แม้เตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่านางยังคงเสียใจที่ผู้ชนะมิใช่สกุลน่าหลัน ดวงตาหงส์ปิดความเศร้าใจไม่มิด กวาดตามองไปรอบๆ ห้องบรรทมของตน เครื่องประดับเรือนและของมีค่าถูกขนออกไปจนสิ้น ข้าราชบริพารที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังที่เป็นกลุ่มคนใกล้ชิด เวลานี้ถูกกวาดล้างไปหมด มีเพียงเถียนหงมามา[2] นางกำนัลคนสนิทวัยกลางคนที่ยังอยู่เคียงข้าง ส่วนนางกำนัลคนอื่นในห้องนั้น…พระนางไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือเห็น…แต่ไม่เคยจดจำ
ฉลององค์ถักทอจากเส้นด้ายทองคำ ปักลวดลายหงส์สลับมังกรตามพระยศถูกถอดออก เหลือเพียงชุดขาวไร้ลวดลายใด เส้นเกศาถูกปล่อยยาวสยายกลางหลัง เพียงข้ามคืนหนึ่งเท่านั้น ผมดำขลับกลับมีผมขาวแซมให้เห็น ใบหน้างดงามในอดีต เวลานี้มีร่องรอยชราปรากฏเด่นชัด ซีดขาวไร้เลือดไม่น่าดูชม
น่าหลันหนิงอันหันมองภาพสะท้อนของตนเองในคันฉ่องทองเหลืองที่กำลังจะถูกยกออกไป รอยยิ้มแฝงความเศร้าโศกประดับจางๆ บนใบหน้า หลังปลดเครื่องแต่งกายทุกอย่างแล้ว เหล่าข้ารับใช้ต่างเร่งรีบทยอยออกไปจนหมด เหลือเพียงนางและมามาคนสนิท
เถียนหงมามาได้แต่คุกเข่าสะอื้นไห้ ร่องรอยการถูกทรมานตามร่างกายมิได้ทำให้นางเศร้าเสียใจหรือเจ็บปวด เท่ากับการที่ฮ่องเต้มีพระราชโองการมอบสุราพิษลงทัณฑ์ฮองเฮา นายหญิงที่รักยิ่งของนาง เถียนหงมามาเม้มปากแน่น แม้พยายามสะกดอารมณ์เพียงใด น้ำตายังคงไหลรินให้เห็น
“อาหง อย่าได้ร้องไห้” น้ำเสียงของนายหญิงยังคงแฝงบารมีสตรีสูงศักดิ์ แม้ตอนนี้น่าหลันหนิงอันจะเป็นเพียงนักโทษรอการประหารก็ตาม
“ฮองเฮาเพคะ ตะแต่ อะองค์ชาย ฮืออ ทั้งนายท่าน นายหญิง สิ้นไปหมดแล้ว เวลานี้สกุลน่าหลันไม่เหลือใครอีก หากฮองเฮายอมรับโทษทัณฑ์นี้ กะเกรง เกรงว่าสกุลน่าหลันคงไร้โอกาส…” เถียนหงสะอื้นไห้เปล่งเสียงแทบขาดใจ
ไม่คิดว่าสกุลน่าหลันที่ยิ่งใหญ่กลับต้องมามีจุดจบอย่างเช่นวันนี้ นายท่านและนายหญิง พี่น้องร่วมสายโลหิตของฮองเฮา ล้วนต้องมารับผลกรรมที่ไม่ได้ก่อ เพียงเพราะฮ่องเต้ต้องการรื้อสะพานทิ้ง[3] หลังปกครองรวบอำนาจมาได้เบ็ดเสร็จ…ก็ถึงเวลากวาดล้างสกุลน่าหลัน
“มีเรื่องใดให้เจ้าต้องโศกเศร้าปานนี้กัน ดีเสียอีก ในเมื่อทุกคนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ข้าเองติดตามไปไยจะต้องกลัวโดดเดี่ยว” น่าหลันหนิงอันเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย นางก้าวตรงไปยังโต๊ะอาหาร
มื้อสุดท้ายสำหรับนางนั้นนับว่าไม่เลว แต่ละจานล้วนเป็นของที่นางโปรดปราน น่าหลันหนิงอันเพียงผลิยิ้มบาง นางไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย มือหยิบกาสุรารินใส่ถ้วยด้วยตนเอง
เถียนหงรีบลุกขึ้นวิ่งมารั้งมือนายหญิง เอ่ยเสียงสั่น “ฮองเฮาเพคะ” น้ำเสียงแหบแห้งแทบจะไม่ได้ยิน
“อาหง เรื่องเดียวที่ติดค้างในใจข้าคือ…เขา” น่าหลันหนิงอันผลิยิ้มหยันให้กับความโง่เขลาของตนเองในอดีต ความรักที่ชายผู้หนึ่งมีต่อนางนั้น เป็นรักแท้จริงที่นางไม่สามารถหาได้จากชายใด
เพียงทราบว่าสกุลน่าหลันถูกใส่ความต้องโทษกบฏ เขาถึงขนาดระดมคนคิดก่อการกบฏเพื่อปกป้องครอบครัวของนาง เรื่องโง่เขลาเพียงนี้…เขายังยอมทำ นี่เรียกว่าเขาโง่งมเกินเยียวยาหรือไม่
“นึกไปแล้ว หากว่าตอนนั้นไม่เกิดเรื่องระหว่างคุณหนูกับองค์ชายสี่เสียก่อน ป่านนี้คุณหนูคงเป็นชายาเอกของท่านอ๋อง มีรักมั่นคงประดุจดั่งหินผา ไม่เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้แน่เพคะ” เถียนหงเอ่ยเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก น้ำตายังคงหลั่งรินไม่ขาดสาย “แท้จริงแล้ว ในปีนั้น…เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เพคะ ตอนนั้น…ไยคุณหนูจึงตอบรับการหมั้นหมายกับองค์ชายสี่ได้” เถียนหงถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ ตลอดยี่สิบปีมานี้นางไม่ลืม หากแต่ก็ไม่กล้าถามอันใดออกไป
“อาหง…เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยแฝงความเจ็บปวดในที น่าหลันหนิงอันนึกถึงจุดเปลี่ยนพลิกผันนั้นในชีวิตของนาง น้ำตาแห่งความเศร้าโศกพลันท้นเอ่อปริ่มขอบ
มือเรียวยกจอกสุรา ดื่มสุรารสขมเฝื่อนเข้าไปจนหมดในคราวเดียว เพียงครู่ ร่างกายพลันอ่อนแรงไร้กำลัง น่าหลันหนิงอันทิ้งตัวเอนร่างกับพนักเก้าอี้ สองมือไร้เรี่ยวแรงทิ้งตัวลงข้างกาย จอกสุราหลุดร่วงตกพื้นแตกกระจาย ดวงตาคู่งามค่อยๆ ปรือปิดอย่างช้าๆ หยาดน้ำตาไหลรินเป็นสองสาย
เถียนหงมามาคุกเข่าร้องไห้ เปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานใจ หลังส่งดวงวิญญาณของน่าหลันหนิงอันแล้ว เถียนหงก็ไม่ลังเลที่จะติดตามนายหญิงไปพร้อมกัน
[1] รังนกที่พลิกคว่ำย่อมไร้ไข่ที่สมบูรณ์ หมายถึง เมื่อคนในครอบครัวคนหนึ่งเดือดร้อน คนที่เหลือย่อมเดือดร้อนไปด้วย
[2] มามา นางข้าหลวง นางกำนัลมีประสบการณ์
[3] ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน อุปมาเสร็จนาฆ่าโคถึก กระทำสิ่งหนึ่งบรรลุเป้าหมายก็กำจัดคนที่ช่วยทิ้ง
ตอนที่ สอง
แคว้นเหลียง เมืองหลวงเกาอี้
จวนอัครเสนาบดีน่าหลันฟูจื่อ เรือนรุ่ยเซียง
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปมาอลหม่าน กอปรกับเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังอย่างต่อเนื่อง พาให้ร่างแบบบางที่ยังคงนอนหลับใหลรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตขยับไหวกลิ้งกลอกไปมาอยู่ภายใต้เปลือกตาสีไข่มุกอมชมพูอ่อนสองข้างนั้น แพขนตาดำขยับไหวปรือเปิดอย่างแช่มช้า
น่าหลันหนิงอันมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นโอสถคละคลุ้งลอยเข้าจมูก หญิงสาวไม่อาจทำใจวางเฉยแล้วนอนนิ่งอีกต่อไป นางปรือตาเปิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำใจแล้วว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นอันใดก็ช่าง ขอเพียงได้พบหน้าบิดามารดาและพี่ชายทั้งสอง…และเขา ความผิดบาปที่นางเคยก่อเอาไว้ นางก็พร้อมยินดีรับโทษทัณฑ์จากพญายม
“คุณหนู! ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!” เสียงอันคุ้นหูสั่นเครือของเถียนหงดังขึ้น
น่าหลันหนิงอันมุ่นคิ้ว รู้สึกวิงเวียนมึนงงมิน้อย ด้วยภาพที่นางเห็นคือเพดานเตียงและม่านโปร่งแสงสีชมพูอ่อนอันคุ้นเคย หญิงสาวตื่นตกใจราวกับเห็นผีก็มิปาน ยันกายลุกขึ้นนั่งในทันที ขณะกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“คะคุณ คุณหนู คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ” เถียนหงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสาวรับใช้ในเรือน “ไป ไปตามหมอมาเร็วเข้า!”
เถียนหงเป็นทั้งพี่เลี้ยงและสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองแห่งจวนอัครเสนาบดีน่าหลันฟูจื่อของแคว้นเหลียง สกุลอันดับหนึ่งที่ไม่ว่าผู้ใดไม่มีทางที่จะไม่รู้จัก
เถียนหงดูแลคุณหนูรองตั้งแต่แรกกำเนิด กระทั่งตอนนี้คุณหนูอายุย่างสิบห้าปีแล้วและอีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีประดับปิ่น [1] ของคุณหนูรอง ทว่าเมื่อคืนจู่ๆ คุณหนูรองก็หมดสติอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ ในตอนนั้นเถียนหงมึนงงเป็นอย่างยิ่งว่าเกิดอันใดขึ้น
หมอหลวงจากสำนักแพทย์ราชบัณฑิตนับสิบคน ถูกเชิญมาตรวจอาการของคุณหนูน่าหลันหนิงอันในทันที ทว่าต่างก็ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุเลยแม้เพียงคนเดียว พาให้ทั้งจวนอัครเสนาบดีน่าหลันเกิดความแตกตื่นเรียกได้ว่ากระทั่งไก่สุนัข [2] ล้วนอยู่ไม่เป็นสุข
ด้วยเพราะคุณหนูรองน่าหลันหนิงอันเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ในจำนวนบุตรทั้งสามที่กำเนิดจากหยางชูเซียงผู้ซึ่งเป็นภรรยาเอก สกุลหยางเป็นสกุลแม่ทัพมีอำนาจบารมีไม่นับว่าด้อยกว่าสกุลน่าหลันแม้แต่น้อย ทำให้ทั้งจวนตกอยู่ในความตึงเครียดกะทันหัน
คุณชายใหญ่น่าหลันเฟยเทียนยังอยู่ชายแดนไม่ทราบข่าว หากแต่คุณชายรองน่าหลันลู่จื่อและน่าหลันฮูหยินแทบนั่งไม่ติด กระทั่งรุ่งสางจึงพากันกลับไปพัก ไม่ถึงชั่วยามที่พี่ชายรองและมารดากลับไปพัก น่าหลันหนิงอันพลันรู้สึกตัวขึ้นมา
ทว่าสีหน้าและท่าทางของคุณหนูราวกับตกใจหนักหนากับสิ่งที่เกิดขึ้น พาให้เถียนหงกังวลจนไม่รู้จะทำอันใด เร่งรีบสั่งการให้สาวรับใช้ไปตามหมอ ตนเองหยิบเอาผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเข้าไปเช็ดหน้าเช็ดตาของคุณหนูรอง
หมับ! มือเรียวขาวเนียนละเอียดดุจลำเทียนยุดมือของเถียนหงเอาไว้ ดวงตาคู่งามช้อนมองพี่เลี้ยงสาวที่มีอายุมากกว่าตนเองเกือบสิบปีเห็นจะได้ ความรู้สึกหลากหลายและภาพความทรงจำต่างๆ พลันประดังประเดเข้ามาในหัวของน่าหลันหนิงอันไม่หยุด
น่าหลันหนิงอันไม่กล่าวอันใดแม้เพียงครึ่งคำ ดวงตาสองข้างแดงก่ำมองยังมือหยาบกระด้างของเถียนหง ‘ไม่ได้ฝันไป สัมผัสนี้…ข้ามิได้ฝันไปจริงๆ’
“คะคุณหนู เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ มีเรื่องใดกวนใจอย่างหรือเจ้าคะ ขอเพียงบอกเถียนหงมาเท่านั้น…” เถียนหงไม่ทันได้เอ่ยจนจบประโยค เป็นน่าหลันหนิงอันที่สวนทันใด
น่าหลันหนิงอันลำคอแห้งผาก น้ำตาที่เพียรกลั้นไว้ไหลหยดเป็นทาง นางยกมืออีกข้างเกลี่ยน้ำตาที่เอ่อคลอหน่วยอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยขัดเถียนหงด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่มีเรื่องกวนใจอันใดทั้งนั้น อาหง ปีนี้…ปีที่เท่าใดแล้ว”
ดวงตาเถียนหงเบิกกว้างเล็กน้อย มึนงงว่าคุณหนูรองเป็นอันใดไป กระทั่งเดือนปีก็ลืมแล้วอย่างนั้นหรือ เห็นสายตาจริงจังของอีกฝ่ายมองอย่างคุกคาม นางรีบสำรวมสีหน้าเอ่ยอย่างนอบน้อม “ระราช ราชวงศ์หวัง รัชสมัยเจ้าจิ้นปีที่ห้าเจ้าค่ะ ตอนนี้เดือนสามแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันประดับปิ่นของคุณหนูรอง แต่เมื่อคืน จู่ๆ คุณหนูก็หมดสติไป…” เถียนหงเล่าเรื่องเป็นฉากว่าเกิดอันใดต่อจากนั้น
ทว่าเสียงของสาวใช้ก็แทรกเข้ามา “พี่เถียนหง ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ ให้เข้าไปเลยหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่ทันที่เถียนหงจะได้ตอบ เป็นน่าหลันหนิงอันที่ส่ายหน้า เอ่ย “ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว เมื่อวานท่องตำราหนักเกินไปจนล้มป่วย หาใช่เรื่องใหญ่อันใดให้ท่านหมอกลับไปเถอะ”
สาวใช้หน้าห้องได้ยินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ “เจ้าค่ะ”
“คุณหนู…ได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ ให้หมอดูอาการสักหน่อย…” เถียนหงไม่สบายใจเอ่ยรบเร้า
“บอกแล้วอย่างไรเพียงนอนน้อยพักผ่อนไม่พอเท่านั้น ไยต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ไปเตรียมน้ำ อยากอาบน้ำเหลือเกินแล้ว” น่าหลันหนิงอันกล่าวพร้อมกับห้อยขาข้างเตียงแล้วค่อยลงเดิน
นางเดินไปทั่วทั้งห้อง ก่อนจะย่างเท้าไปยังห้องหนังสือและรอบๆ กวาดตามองทุกซอกทุกมุมพึมพำกับตนเองด้วยเสียงแผ่วเบา “สวรรค์ ท่านให้ข้าได้ย้อนเวลากลับมาจริงๆ หรือ” น่าหลันหนิงอันแทบไม่อยากเชื่อ นางยกมือข้างหนึ่งตบหน้าตนเองเบาๆ อีกข้างหยิกยังต้นขา ‘เจ็บ! สวรรค์! ข้ามิได้ฝันไปจริงๆ!’
เมื่อทราบว่าตนเองมิได้ฝันไป รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นยังมุมปาก นางได้ย้อนเวลากลับมาแล้ว กลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์พลิกผันในวันนั้น ก่อนจะถึงพิธีประดับปิ่นของนาง!
“คุณหนู บ่าวเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เถียนหงว่าพลางประคองคุณหนูรองกลับไปยังห้องอาบน้ำ
น่าหลันหนิงอันนอนแช่ตัวในถังไม้ พลางหลับตาคิดถึงชีวิตของตนเอง ในสกุลน่าหลันนอกจากมารดาของนางแล้ว บิดายังมีอนุอีกสี่นางด้วยกัน
อนุหนึ่งคือเกาเมี่ยว มีบุตรสาวสองคน คือคุณหนูใหญ่ น่าหลันลี่หลินปีนี้อายุย่างสิบเจ็ด และน่าหลันชิงอิง หรือคุณหนูสาม อายุสิบสี่ เกิดหลังน่าหลันหนิงอันเพียงสิบกว่าวันเท่านั้น
อนุสองคือเฉียวเอิน มีบุตรชายเพียงคนเดียวนามว่า น่าหลันเจียนเจี๋ย เป็นคุณชายสี่ของจวน อายุเพียงสามขวบ
อนุสามคือฝูม่าน มีบุตรสาวเพียงคนเดียว คือคุณหนูสี่ น่าหลันถิงถิง อายุเก้าขวบย่างสิบขวบ
อนุสี่คือเจียวซิน มีบุตรชายหนึ่งและบุตรสาวหนึ่ง คือคุณชายสาม น่าหลันเหวินเฉิง อายุเก้าขวบ และ คุณหนูห้า น่าหลันลี่จิน อายุเพียงเจ็ดขวบ
ตลอดมาน่าหลันหนิงอันคิดเสมอว่าตนเองโชคดีนักที่ได้เกิดมาในครอบครัวสมบูรณ์พร้อม ไร้ซึ่งปัญหาการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นภายในจวน ผู้ใดเลยจะทราบว่าในภายภาคหน้าจะเกิดปัญหาอย่างไม่สิ้นสุด สกุลน่าหลันแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งคือคนที่ยังอยู่ข้างนาง และอีกฝั่งเข้าพวกกับศัตรู! น่าหลันหนิงอันคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพี่น้องของนางจะหักหลังนางได้อย่างเจ็บแสบเหลือเกิน กระทั่งทำให้สกุลน่าหลันจบสิ้น ไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว!
ภาพความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในหัวดุจชิ้นส่วนของกระเบื้องลายครามชั้นสูง ค่อยๆ ปะติดปะต่อจนเกิดเป็นเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน หญิงสาวในถังไม้เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นบางเฉียบ สองมือกำหมัดจนเห็นสันข้อนิ้วขาวซีด ความเดือดดาลในใจปะทุขึ้นอีกคราจนอัดอก
ฉับพลันนั้นน่าหลันหนิงอันลืมตาเปิดทันใด ดวงตากลมโตหรี่เล็ก ประกายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ทำให้ผู้มองพากันหวาดหวั่น เหล่าสาวใช้ในห้องอาบน้ำต่างมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก นึกครั่นคร้ามว่าคุณหนูรองกำลังเคืองตนด้วยเรื่องใด เถียนหงเองก็ฉงนใจมิต่างกัน หากแต่ในฐานะพี่เลี้ยงคนสนิท ทำได้เพียงส่งสายตาปรามเหล่าสาวใช้ให้เร่งมืออาบน้ำโดยไวเท่านั้น
‘หึ! อันเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ไฉนเลยจะคิดลึกซึ้ง มักระแวงคนไกลตัวแต่ลืมสอดส่องคนใกล้ตัวจนพลาดพลั้ง เอาเถอะ…ถือว่าได้เรียนรู้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่หลงกลพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว!’
น่าหลันหนิงอันเคืองขุ่นจนสองตาแดงก่ำ ความเจ็บปวดยามพ่ายแพ้ ความรู้สึกทรมานนั้นยังคงตราตรึงฝังลึกลงถึงกระดูก นางไม่มีวันหลงเชื่ออีกแล้ว บทเรียนราคาแพงจ่ายด้วยชีวิตเมื่อครั้งก่อน สอนให้นางรู้ซึ้งว่าที่แท้ ผู้ที่ทำร้ายนางได้อย่างสาหัสเจ็บปวดมากที่สุด หาใช่คนอื่น…หากแต่เป็นคนใกล้ชิดทั้งนั้น!
[1] พิธีประดับปิ่น จีหลี่ พิธีเข้าสู่วัยสาว เมื่ออายุครบสิบห้าปี สตรีจะได้รับการปักปิ่นเพื่อแสดงให้เห็นความพร้อมออกเรือน ก้าวสู่ความเป็นสาว
[2] ไก่สุนัขอยู่ไม่เป็นสุข เกิดความวุ่นวายกระทั่งไก่และสุนัขยังไม่อาจอยู่อย่างสงบได้
…………………………………………………………………………………..
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ _
ไรท์ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่รอไรท์มาต่อเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจและแรงสนับสนุนไรท์ให้สร้างสรรค์ผลงานใหม่เรื่อยๆ ขอบคุณมากๆ ค่ะ ในเรื่องนี้เป็นนิยายที่ถือได้ว่าค่อนข้างสั้นกว่าเรื่องอื่นๆ ของไรท์ จึงจบค่อนข้างไวกว่าปกติ เช่นเคยค่ะ ไรท์ยังคงเปิดให้อ่านฟรีจนจบแต่ไม่ได้ลงตอนพิเศษในนี้ค่ะ
แล้วไว้พบกันใหม่นะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ _
ตอนที่ สาม
โรงเตี๊ยมหรงซิ่ง
กล่าวถึงโรงเตี๊ยมชื่อดังในเมืองหลวงเกาอี้ ย่อมมีชื่อโรงเตี๊ยมหรงซิ่งเป็นหนึ่งในนั้น ไม่เพียงคนในแคว้นเหลียง หากแต่ชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมยังดังไปไกล แขกต่างเมืองที่มาทำกิจธุระในเมืองต่างเลือกแวะพักที่นี่ ไม่มีผู้ใดทราบเบื้องหลังของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เลยว่าแท้จริงแล้ว เจ้าของโรงเตี๊ยมนี้คือใคร
ภายในห้องลับชั้นบนสุดถูกสงวนไว้เพียงแขกคนสำคัญของโรงเตี๊ยมเท่านั้น เวลานี้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยไออุ่นร้อนจากเพลิงปรารถนาของสองร่างที่กำลังกอดก่ายกันอย่างแนบแน่น เสียงหอบหายใจเหนื่อยและเสียงครวญครางของสตรีดังก้อง จนกระทั่งเหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ห้องข้างได้ยิน กระนั้นพวกเขาก็แสร้งหูหนวกตาบอดไม่รับรู้สิ่งใด
ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยว จ้องมองแผ่นหลังขาวนวลเนียนและบั้นท้ายกลมกลึงของร่างอรชร ยิ่งได้ยินเสียงของนางร้องครางปลุกเร้า สองเข่าพลันมีแรงฮึกเหิมตั้งมั่นคุกเข่ากับเตียงไม่ไหวเอน อัดแรงส่งสะโพกสอบเข้าออกเร็วแรง ฝ่าทางแคบทะลวงลึกไม่ยับยั้งหมายมั่นโจมตีเข้าสู่ใจกลางให้สำเร็จ
ยิ่งลึกยิ่งยากทางแคบรัดรึงเข้าลำบาก ชายหนุ่มมุ่นคิ้วนิ่วหน้า คำรามก้องในลำคอ ช่วงล่างถูกบีบรัดจนเขาแทบหายใจไม่ออก ทว่าสิ่งนี้กลับปลุกเร้ากระตุ้นเขายิ่งกว่าเดิม มือหยาบไม่อาจอยู่เฉย ฟาดยังแก้มก้นสองก้อนที่ไหวเด้งล่อตาอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์
จากนั้นจึงเริ่มส่งสะโพกเข้าออกเร็วแรงขึ้นดุจควบอาชาฝ่าตะลุยข้าศึกก็มิปาน เขาตอกตรึงเร่งส่งเต็มกำลัง กระแทกกระทั้นตะบี้ตะบันไม่ออมแรง นางกดมือยันกายคู้เข่าโก้งโค้งสูง หยัดสะโพกตั้งรับไม่ถอยหนี สองเต้าตูมไหวสั่นสะบัดแรง เส้นผมดำยาวสลวยไหวชื้นเปียกลู่ใบหน้า หญิงงามห่อปากร้องซี้ดซ้าดเสียวซ่านทรวง
ร่างเย้ายวนแอ่นอกหยัดสะโพกตั้งรับสู้ เขากระแทกเข้า นางเด้งสวนสู้กลับไม่เว้นพัก รับและรุกเข้าจังหวะเกิดทำนอง เตียงไหวสั่นเคลื่อนไปมา เนื้อกระทบเนื้อผสานเสียงครวญครางดังลั่นห้อง
“อะองค์ ชาย…” เสียงแหบพร่าสั่นไหวเปี่ยมเสน่ห์ นางซูดปากครวญครางร้องอืออาในลำคอ เริ่มเห็นหนทางสู่ฝั่งฝันอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล สีหน้าหิวกระหายกระสันอย่างที่สุด ส่งสะโพกผายบดเบียดกลับอย่างลืมอาย
ช่องทางรักคับแคบบีบรัดแน่น ทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะสุขสมอารมณ์หมาย ชายหนุ่มหยักยิ้มหยันควบเร็วแรง กระแทกกระทั้นอัดแรงส่งเต็มกำลัง จ้วงซ้ายจ้วงขวาเบิกเส้นทางทะลวงเข้าไปไม่หยุดนิ่ง ครู่หนึ่งสีหน้าพลันเครียดขรึม คำรามฮึ่มในลำคอ ลนลานเร่งรีบไม่อาจพักด้วยเข้าจังหวะช่วงสุดท้าย ใบหน้าบิดเบี้ยวแดงก่ำ สองคิ้วขมวดแนบแน่น ตอกตรึงด้วยจังหวะหนักหน่วง ก่อนจะพาหญิงสาวเข้าสู่แดนสุขสันต์ไปพร้อมกัน
สีหน้าเครียดคล้ำพลันจางลง ปรากฏร่องรอยแห่งความสุข รอยยิ้มน้อยๆ ผุดยังมุมปาก ชายหนุ่มทิ้งน้ำหนักกดล้มทับแช่ร่างเชื่อมประสานไว้กับนางพลางหลับตา
ร่างแบบบางทราบดีว่าตนเองยังไม่หมดหน้าที่ พักหนึ่งหลังจากร่างหนาพลิกนอนหงาย นางยันกายผุดลุกนั่งท่าคุกเข่า เหลียวกลับมองชายคนรักข้างกาย ฉีกยิ้มกว้างพลางสอดนิ้วสางผมสยายไปด้านหลัง
ชายหนุ่มนอนหมดแรงยังหอบหายใจเหนื่อย นางรู้งานไม่เซ้าซี้แค่อยากช่วย ขยับเข้าใกล้คุกเข่าคร่อมต้นขาไว้ เอ่ยเสียงหวาน “วันนี้มากกว่าทุกวัน เหนียวเปรอะไปหมดแล้วเพคะ…”
“อืม เจ้าก็ช่วยหน่อยดีหรือไม่…หลินเอ๋อร์” น้ำเสียงแหบพร่าเปรยคล้ายละเมอ ยังคงหลับตาไม่คิดจะมองโฉมสะคราญแม้เพียงนิด
ฟังเขาเอ่ยชื่อนาง หญิงสาวใจอ่อนยวบ ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลารีบสนองเขาในทันที ใช้ลิ้นตวัดรัดพัวพัน ดูดกลืนคราบหรรษาโลมเลียไปทุกส่วน ยังลงลึกตวัดเกี่ยวยังซอกหลีบ ไม่ว่ามุมอับมุมลับ นางหมุนควงตวัดรัดดูดเซาะใช้ชิวหาอย่างชำนาญ
ใช้ทั้งลิ้นและมือประสานกันอย่างช่ำชอง มังกรสลบคล้ายตื่นตัวตั้งลำใหม่ เห็นสีหน้าชายหนุ่มพลันเครียดขรึม ริมฝีปากสีชาดพลันเหยียดยิ้มกว้างกว่าเดิม นางเร่งเร้าเขาอย่างรุนแรง อ้าปากกว้างดูดกลืนหัวมังกรเข้าจนมิด เห็นเขาเสียวกระสันตื่นขึ้นอีกครั้ง ช่องแคบของนางพลันตื่นตัวไม่ต่างกัน หลั่งน้ำรักไหลเป็นทาง หยดเลอะผ้าปูเตียงสีแดงสดเป็นด่างดวง
องค์ชายหนุ่มลืมตาปรือเปิดอย่างฉับพลัน เอื้อมมือหยาบสอดเข้าเรือนผมหนานุ่มกดหัวนางลงต่ำพลางเอ่ยชม “เด็กดี อย่างนั้น…”
ไม่ทันจบประโยค เสียงหน้าห้องอันคุ้นหูดังลอดเข้ามาอย่างร้อนรน “ทูลองค์ชาย คุณหนูรองฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงได้ยินว่าคุณหนูรองฟื้นแล้ว หนุ่มสาวหยุดกิจกรรมโดยพลัน สติหลุดจากห้วงภวังค์แห่งรักในทันที องค์ชายหนุ่มหันขวับมองยังประตู ร่างแบบบางเงยหน้าขึ้น พร้อมลุกออกจากต้นขาของชายหนุ่ม รวบเอาเสื้อผ้ามาสวมคลุมปิดร่างกายท่อนบนหมิ่นเหม่
องค์ชายหนุ่มเร่งร้อนลงจากเตียง ดึงเอากางเกงชั้นในสีขาวเรียบลื่นมาใส่ปิดท่อนล่าง เหลียวมองยังหญิงสาวที่เพิ่งร่วมรัก เอ่ย “อันเอ๋อร์ฟื้นแล้ว เจ้ารีบกลับไป ดูแลนางให้ดี…แล้วอย่าได้ลืมงานประดับปิ่นคราวนี้เป็นอันขาด”
น่าหลันลี่หลินช้อนมององค์ชายคนรัก แสร้งตอบรับด้วยเสียงอ่อนหวาน “เพคะองค์ชาย แต่หากคราวนี้แผนการสำเร็จแล้ว หม่อมฉันคงมิได้มาปรนนิบัติองค์ชายอย่าง…” ‘เหอะ ช่างแสดงละครเสียจริง แสร้งหมดสติหมายเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นกระมัง น่าหลันหนิงอัน เจ้าช่างน่ารำคาญนัก!’ สองมือลอบกำหมัดแน่น หากแต่เก็บซ่อนสีหน้าและแววตาได้อย่างมิดชิด
ไม่รอให้น่าหลันลี่หลินได้เอ่ยจนจบ ชายหนุ่มย่างเท้าเข้าหา โน้มตัวจุมพิตหน้าผากมนอย่างรักใคร่ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมในที “หลินเอ๋อร์ หน้าที่นี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ช่วยข้าได้ หากว่าเจ้าทำสำเร็จ ฮ่าวหรานยังจะได้แต่งกับอันเอ๋อร์อีกหรือ”
เขาไม่เพียงกล่าวให้นางคลายกังวล ยังนั่งข้างเตียงรวบเอาหญิงสาวมานั่งบนตัก ตระกองกอดนางไว้จากทางด้านหลังอย่างหวงแหน วางคางยังซอกคอเป่าลมหายใจอุ่นร้อนรดใบหู เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “เจ้าก็กังวลไปได้ มิได้เป็นงานหนักหนาอันใด อีกอย่าง…เจ้ามิได้เสียหายเลยแม้แต่น้อย วันหน้ารอผู้คนลืมเลือนเรื่องนี้แล้ว ข้าจะรับเจ้าเข้ามาเป็นอนุ”
น้ำเสียงของเขาเป็นจังหวะน่าฟัง พาให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มไม่คิดระแวง กระนั้นน่าหลันลี่หลินยังคงกังวล ด้วยเรื่องในคราวนี้ใหญ่กว่าครั้งไหน
“องค์ชายเพคะ แต่คราวนี้แผนการใหญ่หลวงนัก เกรงว่าสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับนางคงสะบั้นขาดกันแน่แล้ว หากว่าอันเอ๋อร์ไม่ยอม เกรงว่าหม่อมฉันคงไม่อาจเป็นอนุขององค์ชาย…” น่าหลันลี่หลินมุ่นคิ้วเอ่ยด้วยเสียงตึงเครียด
“หลินเอ๋อร์ของข้า เจ้าคิดมากไปแล้ว ขอเพียงข้าและอันเอ๋อร์เข้าห้องหอกันเมื่อใด ต่อไปเรื่องในตำหนัก นางยังต้องฟังคำของข้า เพียงรับเจ้าเป็นอนุเท่านั้น ไยจะลำบากอันใดกัน” องค์ชายสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หากแต่ดวงตาไหววูบคล้ายมีเรื่องซ่อนเร้นในใจ
น่าลี่หลินมิใช่คนเขลา ดวงตาของนางหรี่เล็กลงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนหยักยิ้ม “องค์ชายโปรดวางพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะต้องทำให้แผนการครั้งนี้สำเร็จอย่างแน่นอนเพคะ”
“ข้ารู้ เจ้าต้องทำได้” ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายก่อนกลับไป ทิ้งให้หญิงสาวอยู่เพียงลำพัง
คล้อยหลังองค์ชายสี่กลับไปแล้ว สาวใช้ของน่าหลันลี่หลินก็เข้ามาปรนนิบัติ รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นแบบเรียบง่ายสีอ่อนหวานตามแบบฉบับ ลบเครื่องประทินโฉมสีฉูดฉาดทุกอย่างเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลง เกล้ามวยผมครึ่งศีรษะประดับด้วยปิ่นเงินลวดลายดอกไม้ ในยามนี้น่าหลันลี่หลินมิได้เหมือนดังจิ้งจอกสาวพราวเสน่ห์เมื่อครู่อีก หากแต่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมดุจหยกเนื้อดี
“ช่างน่าเบื่อ ไร้สีสันนัก” น่าหลันลี่หลินกล่าวกับตนเองในคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่
“คุณหนู อดทนสักหน่อยนะเจ้าคะ หากแผนการคราวนี้สำเร็จ องค์ชายสี่รับคุณหนูเป็นอนุเมื่อใด…ยามนั้นไยต้องฝืนทำเรื่องอย่างนี้อีกเล่าเจ้าคะ” สาวใช้วัยยี่สิบต้นๆ กล่าวพร้อมประคองน่าหลันลี่หลินลุกขึ้น
“คราวนี้ต้องมิให้ผิดพลาดเชียว อาจิ่ว เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าคุณหนูเยว่จะมางานนี้ด้วย” น่าหลันลี่หลินกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาจริงจังยิ่ง
“เจ้าค่ะ คุณหนูเยว่เป็นสหายสนิทของคุณหนูรอง งานประดับปิ่นคราวนี้นางย่อมมิพลาดแน่เจ้าค่ะ” อาจิ่วว่าพลางคลี่ยิ้มประจบ
“ดี! ประเสริฐนัก ข้าแทบอดทนรอวันนั้นมิไหวแล้ว” น่าหลันลี่หลินหยักยิ้ม ประกายตาเจือความสนุก ย่างเท้าออกจากห้องพร้อมกับอาจิ่ว เดินทางกลับไปยังจวนสกุลน่าหลัน
ความเห็น 0