แม้ว่าในศตวรรษที่ 21 โลกได้ เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคที่มนุษย์สามารถนั่งยานอวกาศออกไปสํารวจนอกโลกได้แล้ว ความเจริญทางด้านวัตถุยังพัฒนาไปได้เรื่อยๆไม่หยุดยั้ง แต่ความเชื่อ ความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อลัทธิศาสนาของตนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเลย 2,000 ปี ก่อนมนุษย์มีความเชื่อในหลักศาสนาอย่างไร ปัจจุบันความเชื่อเหล่านั้นก็ยังคงอยู่
กลางเดือนสิงหาคม 2548 หนังสือพิมพ์ The Independent ได้ลงข่าวเกี่ยวกับหญิงชราชื่อศรัทธา ศรี (Shradha Shri) ในเมืองวีทิศ (Vidisha) ทางตอนใต้ของอินเดีย เสียชีวิตเนื่องจากอดอาหารเกือบ 7 สัปดาห์ ถ้าข่าวนี้เกิดขึ้นในประเทศแถบแอฟริกาคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีคนเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร แต่นี่คืออินเดียประเทศที่แม้จะมีคนจนมากกว่าคนรวย แต่ก็เป็นประเทศกําลังพัฒนาที่กําลังจะกลายมาเป็นผู้นําเศรษฐกิจอีกประ เทศหนึ่งในเอเชีย
แต่เปล่าเลย การเสียชีวิตของหญิงชราผู้นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหรือความอดอยากแต่ประการใด
การเสียชีวิตของเธอ เป็นผลมาจากความเชื่อในศาสนาเชนที่เรียกว่า พิธีกรรมสัลเลขณะ (sallekhana)
ศาสนาเชนเป็นศาสนาเก่าแก่ของอินเดียที่มีอายุนับย้อนหลังไป เกือบ 600 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ และในปัจจุบันมีผู้นับถือกว่า 4 ล้าน คน ทั้งในอินเดียและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดกันว่า ศาสนาเชนและฮินดูเป็นศาสนาเดียวกัน ทั้งๆ ที่ 2 ศาสนานี้แตกต่างกันทั้งในเรื่องวิถีปฏิบัติและหลักความเชื่อโดยสิ้นเชิง
หนึ่งในความเชื่อหลักของเชน คือลัทธิอหิงสา ซึ่งเป็นหลักความเชื่อในการไม่เบียดเบียน และดําเนินชีวิตหรือกระทําการใดๆ ด้วยสันติวิธี มหาตมะ คานธี คือผู้ที่ทําให้ลัทธิอหิงสาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และมีผู้ศรัทธาปฏิบัติตามแนวความคิดนี้ แม้ว่าในท้ายที่สุดมหาตมะ คานธี จะต้องจบชีวิตด้วยสิ่งที่ท่านต่อต้านมาตลอดชีวิต
ศาสนาเชนแบ่งออกเป็น 2 นิกายใหญ่ๆ คือ นิกายเศวต้มพร นักบวชนิกายนี้จะนุ่งขาวห่มขาว และถือศีลทั่วๆ ไป ส่วนนิกายทิฆัมพรนั้น นักบวชจะเปลือยกาย (นุ่งลมห่มฟ้า) ถือเพียงพัดหางนกยูงเพื่อใช้ปัดไล่มดแมลง และบําเพ็ญทุกรกิริยาเพื่อไปสู่การหลุดพ้น
ความเชื่อในเรื่องการละทิ้งสังขารเพื่อไปสู่การหลุดพ้นนี้ ปรากฏออกมาในรูปแบบของพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าสัลเลขณะ ซึ่งผู้ที่ศรัทธาในศาสนาเชนเชื่อว่าเป็นพิธีกรรมที่จะชําระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเอง
พิธีกรรมสัลเลขณะ คือการเตรียมพร้อมละสังขารเพื่อไปสู่ความหลุดพ้น ผู้ที่ทําพิธีกรรมนี้ต้องค่อยๆ อดอาหารจนกว่าจะถึงแก่ความตาย และในขณะเดียวกันต้องทําจิตให้ว่าง และตัดซึ่งกิเลสทั้งปวง นักบวชชั้นสูงเท่านั้นที่จะอนุญาตให้ผู้มีศรัทธาประกอบพิธีกรรมนี้ได้ เพราะผู้นับถือศาสนาเชนจะศรัทธาและเชื่อฟังนักบวช เพียงแค่แตะปลายเท้านักบวช พวกเขาก็ถือว่าได้รับพรอันสูงสุดแล้ว นักบวชจะอนุญาตก็ต่อเมื่อได้พิจารณาว่าผู้ขอกระทําพิธีมีความกระตือรือร้น หรือสังขารของผู้นั้นร่วงโรยแล้ว หรือเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาได้ และต้องไม่มีพันธะหรือหน้าที่ใดๆ และต้องได้รับความเห็นชอบจากครอบครัวของผู้นั้นด้วย
อย่างกรณีของนางศรัทธา ศรี ที่กระทําพิธีสัลเลขณะ ด้วยการอดอาหารจนถึงแก่ความตายภายใน 1 เดือนนั้น ได้รับความเห็นชอบจากนักบวชชั้นสูง เนื่องจากเธอไม่มีพันธะทางโลกแล้ว สามีเธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อ 4 ปีก่อน ส่วนลูกๆ ของเธอแต่งงานและมีครอบครัวกันหมดแล้ว
นายธรรเมศ เชน (Tharmesh Jain) ลูกชายคนรองของเธอเชื่อว่ามารดาของเขาได้ทําในสิ่งที่ถูกต้อง และน่ายกย่อง เธอมีความกล้าในการตัดสินใจละทิ้งสังขารที่ร่วงโรยด้วยตนเอง มารดาของเขาเลือกการบําบัดทางจิตวิญญาณและไม่กลัวการเผชิญหน้ากับความตาย เธอไม่ได้รู้สึกกลัว หรือครวญครางด้วยความทุกข์ทรมาน ตรงกันข้ามเธอดูมีความสุข พวกเขาจะจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติและเฉลิมฉลองการหลุดพ้นของเธอ
แม้จะมีเสียงซุบซิบว่านาง ศรัทธา ศรี ป่วยเป็นซีสต์ในกระเพาะอาหาร เธอเพียงต้องการหนีความทุกข์ทรมานด้วยการเลือกความตายก่อนเวลาอันควร หาใช่การกระทําเพื่อชําระจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้นแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาเฝ้าดูวาระสุดท้ายของเธอ เพราะปัจจุบันนี้พิธีกรรมสัลเลขณะไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก ผู้ที่ศรัทธาเชื่อว่าเป็นการ กระทําที่สูงส่งและต้องการมีส่วนร่วม แต่สําหรับคนทั่วไปที่ไม่รู้หลักความเชื่อนี้ต่างลงความเห็นว่านี่เป็นเพียงการฆ่าตัวตาย
ฆ่าตัวตาย หรือเตรียมละทิ้งสังขารเพื่อมุ่งสู่การหลุดพ้น อาจจะแตกต่างในเชิงความคิดแต่ไม่ได้แตกต่างในเชิงปฏิบัติเลย น่าแปลกที่ว่า โลกาภิวัตน์และการศึกษาไม่ได้ทําให้ความเชื่อในพิธีกรรมนี้เปลี่ยนไปเลย ดังเช่น นายธรรเมศ เชน ที่ยังเชื่อว่าพิธีกรรมนี้คือการชําระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ทั้งๆ ที่เขาได้รับการศึกษาถึงระดับ MBA และมีหน้าที่การงานที่น่านับถือในสังคม
ไม่ใช่ว่าสังคมอื่นๆ ในอินเดีย จะเพิกเฉยต่อพิธีกรรมนี้ ตรงกันข้ามประเด็นนี้เป็นข้อโต้เถียงมาช้านาน เมื่อคนทั่วไปมองว่ามันคือการฆ่าตัวตาย และเมื่อหลายปีก่อนเคยมีภาพของชายผู้กระทําพิธีสัลเลขณะตอนเสียชีวิตแพร่ออกไปเกือบทั่วประเทศ ร่างกายที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งเป็นภาพที่ชวนสลดอย่างยิ่ง
คนอินเดียเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐควรยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรยกย่องและลอกเลียนแบบ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการฆ่าตัวตายเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมายของอินเดีย แต่ตํารวจก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพิธีกรรมสัลเลขณะ เนื่องจากสิ่งนี้เป็นความเชื่ออย่างแรงกล้าของผู้ที่นับถือศาสนาเชน และพวกเขายืนยันว่าพิธีนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้นับถือศาสนาอื่นแม้แต่น้อย และเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นเกรงว่าหากเข้าไปจัดการเรื่องนี้อาจทําให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มผู้นับถือศาสนาเชนได้
ปัจจุบันพิธีกรรมสัลเลขณะมีให้เห็นไม่มากนัก อาจจะเป็นเพราะไม่มีใครมีศรัทธาแรงกล้าที่ต้องการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ แต่ก็ใช่ว่าความเชื่อในพิธีกรรมนี้จะเลือนหายไป ความเชื่อนี้ยังคงแทรกซึมอยู่ในสังคมของผู้นับถือศาสนาเชน ซึ่งรอคอยที่จะแสดงความยกย่องกับผู้ที่กล้าละทิ้ง สังขารด้วยวิธีนี้ พวกเขายังคงรักษาความเชื่อและประเพณีดั้งเดิมเอาไว้
แม้ว่าวิธีการหลุดพ้นนี้จะแตกต่างจากหลักความเชื่อศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ที่ถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปมหันต์
แม้ว่าคนภายนอกจะตั้งคําถามว่าการละทิ้งสังขารด้วยพิธีกรรมสัลเลขณะเป็นการหลุดพ้นที่แท้จริงหรือ และพิธีกรรมนี้ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไร
เชื่อว่าผู้ที่จะตอบคําถามนี้ได้ คงเป็นเพียงผู้ที่ได้กระทําพิธีสัลเลขณะแล้วเท่านั้น
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2562