โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

สตรีข้าวสีชาด

นิยาย Dek-D

อัพเดต 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา • หย่งเซิ่ง
สตรีข้าวสีชาด
เมื่อบ้านบิดาไม่ใยดี รั่วหลิงก็ขอพามารดาออกจากตระกูล ซ้ำยังแทบไม่มีสมบัติใดติดตัว นอกจากไห 2 ใบที่ภายในมีข้าวประหลาดที่เปลี่ยนเป็นสีชาด และอะไรสักอย่างที่มันดูคล้าย…เอ่อ…เชื้อรา…ละมั้ง

ข้อมูลเบื้องต้น

ในเมื่อบิดาไม่ใยดี กล้าถึงขั้นพาสตรีใหม่เข้าบ้านแถมจะยกฐานะให้เหนือกว่ามารดาของนาง รั่วหลิงจึงไม่อาจทนเห็นมารดาถูกเหยียบย่ำได้อีกต่อไป นางจึงหาญกล้าพามารดาตัดขาดจากสกุลหาน เปลี่ยนใช้แซ่ฟางตามมารดา จากนั้นจึงก้าวเดินออกจากสกุลหานโดยแทบไม่มีสมบัติใดติดตัว จะมีก็แต่เพียงไหสองใบนี้เท่านั้น ที่มารดาบอกว่ามันคือสินเดิมก่อนแต่งจึงต้องการนำติดไปด้วย

รั่วหลิงแม้ทำตามแต่ไม่อาจเข้าใจ ดูๆ ไปแล้วด้านในก็ไม่เห็นสิ่งมีค่าอันใด ใบหนึ่งเป็นเพียงข้าวสารที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด ส่วนอีกใบหนึ่ง “อี๋…นี่ท่านเก็บอะไรเอาไว้กันน่ะท่านแม่ ด้านในขึ้นราไปหมดแล้ว” ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้ต้องแปลกใจ เพราะสิ่งที่มารดาของนางนำติดตัวมา หาใช่สิ่งของที่ถูกเก็บไว้ด้านในจนขึ้นราไม่ แต่เป็นเชื้อราเหล่านั้นต่างหากที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี แถมยังเรียกไหทั้งสองใบนี้ว่า ‘สมบัติประจำตระกูล’ อีกต่างหาก

ท่านแม่จะเก็บเอาเชื้อราพวกนี้ไว้ทำไม เป็นคำถามที่ยังคงค้างคาใจรั่วหลิงอยู่ตลอด แต่เอาเถิด ในตอนนี้ที่เดินออกมาจากสกุลเดิมในสภาพที่แทบจะไม่มีสมบัติอะไรติดมือมาเลย อย่างน้อยไหข้าวสีแดงประหลาดๆ กับไหเชื้อราใบนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าตนเองยังพอมีสมบัติติดไม้ติดมือเดินออกมาบ้าง ใครจะรู้… บางทีเชื้อราเหล่านี้อาจจะมีประโยชน์มากกว่าคนบางคนก็เป็นได้ เพราะคนบางจำพวกก็หาดีหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย สู้เชื้อราเหล่านี้ก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ว่าแต่…ข้าชักจะหิวแล้วสิ ข้าวสีชาดกับเชื้อราพวกนี้…กินประทังหิวก่อนได้หรือไม่กันนะ

นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ไม่อนุญาตให้ทำการคัดลอก สแกนเนื้อหา ดัดแปลงหรือทำซ้ำ ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

สกุลหาน

ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไกลออกไปจากตัวเมืองยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีผู้คนตั้งรกรากอาศัยกันอยู่หลายครอบครัวจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ ผู้คนมักดำรงชีพด้วยการขึ้นเขาหาของป่า บ้างก็เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ทำนา

ตะวันยามสายกำลังส่องแสงสาดกระทบยอดหญ้า หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินหมุนไปมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน เมื่อได้เห็นสตรีผู้หนึ่งในวัยสิบหกปีที่เพิ่งกลับลงมาจากภูเขาที่นางขึ้นไปหาของป่าปรากฎแก่สายตาอยู่ลิบๆ จึงได้รีบวิ่งเข้าไปใกล้พร้อมกับตะโกนออกไปด้วยความร้อนรน

“รั่วหลิง เจอตัวเจ้าสักที รีบกลับไปที่บ้านเร็วเข้า ดูเหมือนว่าแม่เจ้าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านแม่ข้า”

คนที่ตะโกนบอกในตอนแรกยังคงวิ่งต่อมาจนกระทั่งถึงตัวหญิงสาว สตรีวัยกลางคนจับแขนนางเอาไว้พร้อมทั้งรีบเอ่ยด้วยลมหายใจที่ยังติดๆ ขัดๆ

“ข้า..ได้ยิน..มาว่า..บิดาเจ้า…พาผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้าน…ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น..แต่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรุมต่อว่าแม่เจ้าอยู่ เจ้ารีบไปดูเร็วเข้า”

“อะไรนะ”

รั่วหลิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก ร้อนใจถึงขั้นรีบปลดตะกร้าสะพายหลังที่ด้านในมีผักป่าและของหลายอย่างที่นางเก็บมาจากบนภูเขาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แล้วจึงถีบตัวพุ่งไปยังทิศทางที่มุ่งไปยังบ้านของตน ระหว่างนั้นก็ภาวนาในใจ “อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะท่านแม่ รอข้าก่อน”

ทางด้านสตรีวัยกลางคนที่รีบวิ่งตะโกนมาบอกนั้นก็ตะลึงไปไม่แพ้กัน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถึงขั้นทิ้งตะกร้าเอาไว้เช่นนี้ เข้าใจว่าคงร้อนใจมากจริงๆ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก หากเป็นตัวนางก็คงไม่พ้นทำสิ่งเดียวกัน คิดได้เช่นนั้นจึงได้แต่ตะโกนไล่หลังตามไป “ตะกร้านี่ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้า เสร็จเรื่องแล้วอย่าลืมมาตามเอาคืนที่บ้านข้าด้วยละ”

“รบกวนท่านป้าด้วยเจ้าค่ะ”

เจ้าของเสียงหันหน้าตะโกนกลับมาทั้งที่ยังไม่ลดความเร็วลง ในใจก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองได้ทิ้งสิ่งของที่เพิ่งเก็บมาจากบนภูเขาเอาไว้ตรงนั้น ยังโชคดีว่าความพยายามหลายชั่วยามนั้นไม่ได้สูญเปล่า เสร็จเรื่องแล้วค่อยไปขอคืนเอาได้ เคราะห์ดีที่เป็นท่านป้าจีที่มีน้ำใจกับพวกนางสองแม่ลูกตลอดมา แต่ต่อให้ไม่ใช่จีหุ่ยผิงผู้นี้ อย่างไรนางก็คงเลือกทิ้งตะกร้านั่นเอาไว้อยู่ดี เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในใจคืออยากรีบกลับไปหาท่านแม่ให้เร็วที่สุด

ยังดีที่ระยะทางจากจุดที่อยู่จนไปถึงบ้านนั้นไม่ไกลมากนัก หานรั่วหลิงที่รีบเร่งเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่นางจะทำได้มาตลอดในที่สุดก็กลับมาถึงบ้าน นางพุ่งตัวผ่านประตูเข้าไปด้านในด้วยสภาพที่หอบเหนื่อย ทว่ายามนั้นนางไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากต้องการเห็นหน้ามารดาเท่านั้น

เพียงก้าวเท้าเข้ามาด้านใน หานรั่วหลิงก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อได้เห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหา ทว่าเสี้ยวอึดใจต่อมารอยยิ้มนั้นกลับต้องจางหายไป เมื่อมารดาที่นางมองเห็นนั้นกำลังอยู่ในสภาพที่เข่าทั้งสองข้างตั้งอยู่บนพื้นหินอันแข็งกระด้าง

“ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะท่านพี่”

เสียงของฟางลู่เซียนดังขึ้นขณะที่นางกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยท่าทางวิงวอน สองแขนเกาะอยู่บนขาของบุรุษตรงหน้า สีหน้าอ้อนวอนขอความเห็นใจ บุรุษผู้นั้นคือหานมู่สามีของนางเอง ทว่าข้างกายเขากลับปรากฏสตรีอีกนางหนึ่งด้วย

รั่วหลิงเห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกราวกับหัวใจวูบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในใจมีหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไป นางรีบเข้าไปประชิดตัวมารดาประคองร่างที่กำลังสั่นเทาด้วยความรู้สึกสับสน พร้อมกับสอบถามความเป็นไป

“ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

“หลิงเอ๋อร์”

ฟางลู่เซียนรู้สึกใจชื้นขึ้นยามที่ได้เห็นใบหน้าของบุตรสาว ถึงแม้ว่าอีกใจหนึ่งจะมีความรู้สึกว่าไม่อยากให้นางต้องมาเห็นสภาพตนเองเช่นนี้เลยก็ตาม

รั่วหลิงใช้สายตาสำรวจสภาพของมารดาด้วยความรวดเร็ว เคราะห์ดีที่ดูเหมือนจะไม่พบความผิดปกติอันใด รั่วหลิงแอบลอบถอนหายใจที่อย่างน้อยก็ไม่พบร่องรอยของบาดแผลหรือการทำร้ายร่างกายบนตัวของมารดา

ทว่าอารมณ์ของรั่วหลิงก็ยังคงขุ่นเคือง เนื่องด้วยเหตุใดท่านพ่อจึงปล่อยให้ท่านแม่คุกเข่าอยู่เช่นนี้ แถมยังมีสตรีอื่นที่นางไม่รู้จักยืนอยู่ข้างกายอีกต่างหาก

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านแม่จึงต้องนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้” แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงมายืนอยู่เคียงข้างท่านพ่อ แถมยังสายตาที่นางมองลงมาด้วยความรู้สึกเย้ยหยันนั่นอีกต่างหาก

“ข้าให้มารดาของเจ้าสำนึกผิดที่คิดเอาน้ำร้อนมาสาดใส่สวี่เจินจู” หานมู่ตอบกลับโดยเอ่ยชื่อที่รั่วหลิงไม่รู้จัก นางเข้าใจว่านั่นคงจะเป็นชื่อของสตรีที่กำลังยืนทำหน้าตาน่าสงสารแลดูเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ด้านข้าง

“ไม่จริง! ท่านแม่ไม่ใช่คนแบบนั้น นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่”

รั่วหลิงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ในความทรงจำของรั่วหลิงตั้งแต่เกิดมาก็เห็นแต่ภาพที่มารดาของนางถูกโขกสับรังแก ถูกใช้งานในบ้านอย่างหนักไม่ต่างจากคนรับใช้ ลำพังแค่พูดจาตอบโต้ยังแทบไม่เคย เป็นไปได้อย่างไรที่วันนี้จะคิดทำร้ายร่างกายผู้คนโดยการใช้น้ำร้อนสาดใส่เช่นนี้

“เข้าใจผิดได้อย่างไร ก็ในเมื่อสิ่งนี้ข้าเห็นกับตา”

หานมู่ยังคงยืนกราน ต่อให้รั่วหลิงมั่นใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างไรก็ต้องหันไปสอบถามเอาความจริงกับมารดาเสียก่อน

“ท่านแม่ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านแม่จะทำเช่นนั้น ความจริงเกิดอะไรขึ้น ท่านเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” น้ำเสียงของบุตรสาวอ่อนโยนลงยามที่พยายามประคองร่างกายของมารดาให้ลุกขึ้นมา ฟางลู่เซียนเองเมื่อบุตรสาวมาพยุงตัวขึ้นเช่นนี้ก็ยินยอมลุกขึ้นโดยไม่ขัดขืน

“แม่ไม่เป็นอะไรมากเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างแม่ไม่ได้ทำอย่างที่บิดาเจ้าว่า” พูดจบฟางลู่เซียนก็หันมาทางบุรุษที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่ปวดร้าว “ข้าเพียงแค่ถือกาน้ำชาออกมาเท่านั้น ระหว่างที่เดินอยู่ก็รู้สึกเหมือนสะดุดอะไรสักอย่างเลยทำให้เสียหลักและกาน้ำชาก็ร่วงหล่น ข้าไม่ได้ตั้งใจสาดน้ำร้อนใส่นางเลยแม้แต่น้อย”

ฟางลู่เซียนพูดไปตามที่นางรู้สึกจริงๆ นางก็เดินถือกาน้ำชามาตามปกติ ไม่เข้าใจว่าระหว่างที่กำลังเดินเข้าใกล้สวี่เจินจูผู้นี้ ฉับพลันนางคล้ายรู้สึกเหมือนเดินสะดุดอะไรสักอย่างจนเสียหลัก ทว่านางก็มองไม่เห็นว่านางสะดุดอะไร

“อย่าไปโทษนางเลยเจ้าค่ะท่านพี่ นางคงแค่จะสะดุดหกล้มจริงๆ บาดแผลน้ำร้อนลวกแค่นี้ไม่เป็นอะไรมาก ไม่นานก็คงหาย” สวี่เจินจูพูดจาออกโรงปกป้องฟางลู่เซียน สีหน้ายามพูดของนางที่กำลังพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดนั้นกลับทำให้คนฟังรู้สึกว่านางช่างเป็นคนจิตใจดีเสียยิ่งกระไร

หานมู่ได้ยินดังนั้นจึงหันไปพูดกับสวี่เจินจูด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนผิดกับที่พูดกับฟางลู่เซียนเมื่อสักครู่ “เจ้าช่างเป็นคนจิตใจดีจริงๆ ไม่เพียงนางทำให้เจ้าบาดเจ็บแล้วเจ้าไม่ถือโทษนาง กลับยังพูดจาปกป้องนางอีกด้วย นับว่าข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ”

สวี่เจินจูได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตาเอียงอายราวกับสาวแรกรุ่น ไม่เกรงใจสายตาสองแม่ลูกที่กำลังยืนดูอยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย

ฟางลู่เซียนยืนมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิ่งกว้าง คนตรงหน้านี้ใช่สามีที่นางแต่งด้วยมาหลายปีจนมีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนจริงหรือไม่ เขากล้าใช้สายตาเช่นนั้นมองผู้หญิงคนนี้ทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่ต่อหน้านางกับบุตรสาวเช่นนี้เลยหรือ

ฟางลู่เซียนไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่จู่ๆ เมื่อสักครู่สามีก็เรียกนางไปคุย และบอกว่าต้องการรับผู้หญิงคนนี้เข้ามาเป็นภรรยาอีกคน ฟางลู่เซียนไม่คิดไม่ฝันว่านางจะได้ยินประโยคเช่นนี้จากปากสามีที่นางเฝ้าปรนนิบัติและนอนเคียงข้างกันมาหลายปี

ภรรยารอง

ฟางลู่เซียนนึกย้อนไปยังเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนนางจะเคยได้ยินสามีพูดเปรยๆ ถึงสตรีที่ชื่อสวี่เจินจูนี้มาก่อนเล็กน้อย ทว่าเวลานั้นยามที่เขาเล่าหาได้มีแววตาลุ่มหลงในตัวสตรีอีกคนเช่นนี้ไม่

หากนางจำไม่ผิดเรื่องราวนั้นเป็นประมาณว่า…ก่อนหน้านั้น สวี่เจินจูเคยถูกดักปล้นกลางทางระหว่างการเดินทางไปค้าขายกับบิดา โชคดีวันนั้นตรงกับวันเก็บเกี่ยวผลผลิตของสกุลหาน หานมู่และชายฉกรรจ์หลายคนที่กำลังบรรทุกสินค้าไปขายผ่านมาพอดีและได้ช่วยเหลือครอบครัวของสวี่เจินจูเอาไว้

ทว่าสิ่งที่ฟางลู่เซียนไม่ได้รับรู้ก็คือ อาจเป็นเพราะครานั้นได้ก่อเกิดความประทับใจ จนทำให้ในภายหลังบิดาของสวี่เจินจูจึงได้มาหารือกับหานต้าสงผู้เป็นบิดาของหานมู่และยังดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลหานด้วย ถึงเรื่องความต้องการรับหานมู่เป็นบุตรเขยแม้จะรู้มาว่าบุรุษตรงหน้ามีภรรยาอยู่แล้วก็ตาม

เป็นเพราะครอบครัวของสวี่เจินจูค่อนข้างมีฐานะ เมื่อเทียบกับฟางลู่เซียนที่ไม่ได้มีสินเดิมติดตัวมามากนัก สวี่เจินจูที่บิดาพอจะมีที่ดินหลายหมู่และพร้อมจะยกร้านค้าขนาดเล็กในเมืองไว้ให้เป็นสินเดิมติดตัวหากบุตรสาวของเขาได้แต่งเข้ามานับว่าเหนือกว่ามาก โดยจากการสืบเสาะของผู้นำตระกูลหานซึ่งก็คือปู่ของรั่วหลิง ทราบมาว่าร้านค้านั้นถึงจะเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่ปีหนึ่งก็สามารถทำกำไรได้หลายตำลึงทองทีเดียว

ในเมื่อทางฝ่ายนั้นมีใจ แถมฐานะยังไม่ขี้เหร่ เมื่อเทียบกับสะใภ้เดิมอย่างฟางลู่เซียนที่แทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนั้น ในฐานะผู้นำตระกูลและบิดาของหานมู่ ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนัก หานต้าสงก็รู้ดีว่าตัวเลือกไหนเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ติดอยู่นิดเดียวตรงที่ฟางลู่เซียนนั้นมาก่อน ยามนั้นบุตรชายของเขาหลงใหลในความงามของนางจึงได้ไปสู่ขอ พวกเขาอยู่กินด้วยกันมาหลายปีและยามนี้ก็มีบุตรสาวอย่างรั่วหลิงมาแล้วด้วยหนึ่งคน

คราแรกหานต้าสงยังคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ยากอันใด ก็เพียงแค่รับสวี่เจินจูเข้ามาเป็นภรรยาอีกคนของหานมู่ ยกฐานะภรรยารองให้ เท่านี้ก็สามารถเกี่ยวเป็นดองกับทางครอบครัวสวี่ได้แล้ว

ทว่าเงื่อนไขของทางครอบครัวสวี่ที่ยินยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับชายที่มีภรรยาอยู่แล้ว ก็คือนางต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้นไม่สามารถแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองได้ จึงทำให้หานต้าสงและหานฮูหยินต้องคิดหาแผนการเล็กน้อย

หลังจากครอบครัวสวี่ได้เดินทางกลับไป ทางหานต้าสงและหานฮูหยินจึงได้มาพูดคุยและเกลี้ยกล่อมบุตรชายตนเองอยู่หลายวัน แม้ทีแรกหานมู่จะไม่ติดขัดเรื่องรับสวี่เจินจูเข้ามาเป็นภรรยาอีกคน เขาเชื่อว่าตนเองจะสามารถเจรจากับฟางลู่เซียนให้ยินยอมได้

ทว่าเมื่อได้รับทราบถึงเงื่อนไขที่ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอกเท่านั้นหานมู่ก็มีสีหน้าลำบากใจ ตามหลักแล้วสตรีที่มาทีหลังควรจะต้องกลายเป็นภรรยารอง ทว่าหากคนที่มาทีหลังแต่กลับได้เลื่อนขั้นกลายไปเป็นภรรยาเอก เช่นนั้นแล้วศักดิ์ศรีของคนที่มาก่อนอย่างฟางลู่เซียนที่ถูกเบียดบังจนต้องกลายไปเป็นภรรยารองจะย่ำแย่เพียงใดนั้น เขาพอจะนึกภาพออก

หานมู่เองแต่งงานอยู่กินกับฟางลู่เซียนมาหลายปีใช่ว่าไม่รัก ยามนั้นเขาให้บิดามารดาไปสู่ขอก็เพราะหลงไหลในความงามและความอ่อนโยนของนาง

ทว่ายามนี้ที่ฟางลู่เซียนแต่งเข้ามาหลายปี ตลอดเวลาต้องทำงานหนักรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร ซักผ้า กวาดล้าง งานทุกอย่างนางล้วนทำโดยไม่มีปริปากบ่น ส่งผลให้หน้าตาและผิวพรรณของนางเวลานี้ไม่สดใสเปล่งปลั่งเช่นเคย เหตุผลหลักก็เพราะนางมัวแต่ใช้เวลาดูแลคนอื่นจนแทบไม่มีเวลาดูแลตนเองเลย

หานมู่มองไปยังใบหน้าและร่างกายนั้นที่เปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกคลั่งไคล้ที่เคยมีก็ราวกับจะลดน้อยหายตามไปด้วย ผิวพรรณเปล่งปลั่งที่เขาเคยลุ่มหลงแปรเปลี่ยนเป็นผิวที่หยาบกร้าน ใบหน้างดงามที่เขาเคยหลงใหลก็กลายเป็นแลดูหมองคล้ำ

ถึงแม้บุรุษอย่างเขาจะไม่ทราบว่าทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่ฟางลู่เซียนต้องตรากตรำทำงานหนัก รับใช้ไม่เพียงสามีแต่ยังรวมถึงทุกคนในตระกูลสามีด้วย ทว่าเมื่อหันไปมองเทียบกับสวี่เจินจูที่อายุน้อยกว่า ความที่เป็นลูกคุณหนูที่ไม่เคยหยิบจับงานใดๆ ทำให้ใบหน้าและผิวพรรณยังคงสดใส แม้ความงามไม่อาจเทียบได้เลยกับฟางลู่เซียนในวัยเดียวกัน แต่เพราะเงินทองที่ทางครอบครัวนั้นเต็มใจหยิบยื่นให้ ทำให้ชั่งน้ำหนักดูแล้ว กระทั่งหานมู่เองยังรู้สึกคล้ายว่าตาชั่งเอียงไปทางคนใหม่เสียแล้ว

“เจ้าคงอิจฉาเจินจูสินะ ที่นางอ่อนเยาว์กว่าสดสวยกว่า จึงได้คิดสาดน้ำร้อนหมายทำให้นางเสียโฉมเช่นนี้”

ถ้อยคำของหานมู่ทำให้ในอกของฟางลู่เซียนรู้สึกราวกับถูกบีบรัด คำเรียกขานสตรีอีกคนที่ดูสนิทสนม ซ้ำยังคำกล่าวเสียดสีว่านางเด็กกว่าสวยกว่า มิใช่ว่าผิวพรรณและสองมือที่หยาบกร้านนี้เกิดขึ้นจากการดูแลรับใช้ครอบครัวสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่องหรอกหรือ เหตุใดวันนี้สิ่งเหล่านี้จึงกลายมาเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงใจนางราวกับเข็มแหลมคมเช่นนี้

“ท่านพี่ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ที่ผ่านมาข้าเป็นคนมีนิสัยเช่นนั้นหรือ ต่อให้เมื่อสักครู่ท่านเพิ่งเอ่ยว่าอยากจะรับนางเข้ามาเป็นภรรยารองก็ตามที ข้าก็พูดได้เต็มปากว่าข้าไม่เคยคิดทำร้ายนางมาก่อน”

ฟางลู่เซียนเอ่ยถ้อยคำอย่างยากลำบากพลางสะกดความรวดร้าวในอก รั่วหลิงที่ยืนประคองมารดาอยู่ข้างกันก็ทั้งโกรธและเจ็บใจ ทว่าถ้อยคำต่อมาของหานมู่กลับทำให้สองแม่ลูกต้องตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก

“ภรรยารองงั้นหรือ? เหอะ! ที่ผ่านมานับว่าข้าโง่เขลาหลงเลี้ยงคนนิสัยเช่นเจ้าเอาไว้ข้างกาย ไม่เคยรู้ว่าเจ้าเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ วันหน้าใครจะรู้ว่าน้ำร้อนนั่นจะสาดมาที่ข้าหรือไม่”

“ท่านพูดอะไรกัน ข้าไม่เคยคิดทำร้ายท่านแม้แต่น้อย”

“เจ้าเคยส่องกระจกแลดูตัวเองบ้างไหม ทั้งแก่ทั้งโทรม สารรูปอย่างเจ้าตอนนี้ไม่เหมาะเลยที่จะเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับข้า”

ฟางลู่เซียนทั้งตกตะลึงทั้งหวาดกลัว คำพูดเมื่อสักครู่ราวกับเขายังพูดไม่จบ นางเริ่มมีความรู้สึกไม่ดีกับประโยคที่เขาจะเอ่ยตามมา และก็ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้จริงๆ

“ตะกี้เจ้าพูดว่าข้าจะรับนางมาเป็นภรรยารองงั้นหรือ ผิดแล้ว! ข้าไม่ได้จะรับสวี่เจินจูมาเป็นภรรยารอง ข้าจะรับนางมาเป็นภรรยาเอกต่างหาก”

ประโยคนั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงใส่ทั้งสองแม่ลูก รั่วหลิงเองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ เหตุใดผู้ชายตรงหน้าจึงได้เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา แถมยังกล่าวออกมาได้อย่างง่ายดาย นางรู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้ามิใช่คนที่นางเคยเอ่ยเรียกว่าบิดามาหลายปี

ถึงแม้ที่ผ่านมา หานมู่จะไม่ได้ดูแลภรรยาและลูกถึงขั้นดีมาก ตลอดเวลารั่วหลิงไม่ได้ซึมซับถึงความรักจากคนเป็นพ่อเท่าใดนัก แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้า ที่ผ่านมาถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ค่อยใส่ใจนางนัก แต่อย่างไรรั่วหลิงก็ยังรับได้เพราะรู้สึกว่าตนเองก็ยังมีคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของนางอยู่

ฟางลู่เซียนเองก็เช่นกัน นางไม่คิดว่าบุรุษที่นางเฝ้าดูแลและมอบความรักให้อยู่ทุกวันมาตลอดหลายปีจะสามารถหักหาญทำลายน้ำใจกันได้ขนาดนี้ แต่งสตรีผู้นั้นเข้ามาเป็นภรรยารองก็เรื่องหนึ่ง แต่ทั้งที่เขาอยู่กินกับนางมาหลายปีจนมีบุตรีโตเป็นสาวขนาดนี้ ทว่ากลับคิดจะแต่งสตรีคนใหม่เข้ามาเป็นภรรยาเอก เรื่องเช่นนี้สตรีที่ไหนจะรับได้

ความรู้สึกของสองแม่ลูกราวกับหล่นลงจากที่สูง หารู้ไม่ว่าหากนั่นยังเจ็บปวดไม่มากพอ ถ้อยคำต่อมาของหานมู่จะทำให้ทั้งสองคนรู้สึกราวกับตกลงสู่เหวไร้ก้นบึ้งด้วยซ้ำ

“ไม่สิ! จะเรียกว่าภรรยาเอกก็คงไม่ถูก เพราะข้าจะรับนางมาเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวต่างหาก ไม่มีภรรยาเอกไม่มีภรรยารอง จะมีสวี่เจินจูเป็นภรรยาของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

ฟางลู่เซียนหัวใจหล่นวูบ ความวูบโหวงบังเกิดขึ้นที่หน้าอกโดยฉับพลัน นางพลันมีน้ำตาไหลออกมาอาบสองข้างแก้มโดยไม่รู้ตัว “ท่านพี่! ท่านจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรือ”

“ช่วยไม่ได้นะลู่เซียน เป็นเพราะเจ้าบีบบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนี้ ทว่าเห็นแก่ที่เราเคยอยู่ด้วยกันมา หากเจ้ายินยอมสละตำแหน่งภรรยาเอกให้กับนาง แทนที่จะเลิกรากับเจ้า บางทีข้าอาจจะลองคุยกับเจินจูยินยอมให้มีเจ้าเป็นภรรยารองแทนก็ได้”

หานมู่ตั้งใจพูดจาบีบคั้นความรู้สึกของนางตั้งแต่แรก จงใจใช้ถ้อยคำหักหาญน้ำใจเช่นนี้เพื่อบีบบังคับให้นางต้องยินยอม หานมู่รู้ดีว่าฟางลู่เซียนนั้นรักตนเองมาก แต่หากพูดจาหว่านล้อมตรงๆ ให้นางยอมกลายเป็นภรรยารอง เขาคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก

ดังนั้นหานมู่จึงคิดวางแผนร่วมกับบิดามารดาและมอบตัวเลือกที่ยากลำบากนี้ให้กับนาง เพราะหานต้าสงและหานฮูหยินรู้ดีว่าฐานะทางบ้านของฟางลู่เซียนไม่ได้ดีมากนัก ที่ผ่านมาฟางลู่เซียนเองก็ทำงานรับใช้ภายในบ้านไม่ได้มีเงินทองเหลือเก็บอันใด หากต้องเลือกระหว่างเลิกกับบุตรชายของพวกตนและไม่มีจะกินอีกทั้งยังมีบุตรสาวพ่วงด้วยอีกคน ต่อให้ไม่เต็มใจอย่างไรก็ต้องยินยอมกลายมาเป็นภรรยารองเป็นแน่แท้

ความคิดตรงกัน

ตลอดเวลาที่ทั้งสามคนพูดคุยกัน สวี่เจินจูที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างปิดปากเงียบมาโดยตลอด หลังจากที่แสร้งทำเป็นโดนน้ำร้อนลวกใส่ นางก็แสดงท่าทางเจ็บปวดและอ่อนแอ จนกระทั่งได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ใบหน้าที่ก้มอยู่นั้นจึงมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่จะหายวับไปในทันทีโดยที่ไม่มีใครสังเกต

มีเพียงแค่รั่วหลิงเท่านั้นที่หันไปจับจ้องใบหน้าของคนด้านข้างและทันได้เห็นรอยยิ้มนั้น ก่อนที่มันจะหายไปและแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้าที่ดูอ่อนแอและบอบบางในชั่วพริบตา

รั่วหลิงเข้าใจได้ในทันทีว่านี่เป็นแผนการของสตรีชั่วร้ายผู้นี้ หากแต่ว่านางเองก็มิใช่คนโง่ ลำพังเพียงแค่แผนการของใครบางคน คงไม่อาจทำให้บิดาของนางเปลี่ยนใจหันกลับมาทำร้ายมารดาของนางได้ขนาดนี้

ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นรอยยิ้มแห่งความลำพองที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของชายที่นางเรียกว่าบิดาเพียงชั่วครู่ นางก็เข้าใจได้ในทันที

ที่แท้พวกเขาก็วางแผนเตี๊ยมกันมาตั้งแต่แรก!

หัวใจรั่วหลิงปวดร้าวระทม นางรู้สึกเจ็บปวด เมื่อคิดว่าบุคคลที่สมควรจะปกป้องนางกับมารดา กลับกลายเป็นร่วมมือกับคนอื่นทำร้ายมารดากับนางเสียเอง

หากนางยังรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วหัวใจมารดาจะไม่ร้าวรานยิ่งกว่าหรือ ท่านแม่คงจะใจสลายมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า เพราะทั้งชีวิตของท่านแม่ทุ่มเทให้กับท่านพ่อไปหมดแล้ว ถึงขั้นดูแลทุกคนในบ้านของท่านพ่อจนแทบไม่ได้ดูแลตนเองเลยด้วยซ้ำ

ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่ท่านพ่ออีกต่อไปแล้ว ต้องเรียกว่าผู้ชายคนนั้นถึงจะถูก

ในเมื่อท่านแม่ไม่เหลือใครที่คอยปกป้องท่านแม่แล้ว ข้าจำเป็นต้องเข้มแข็ง

ข้าจะเป็นคนปกป้องท่านแม่เอง!

“ว่าอย่างไรลู่เซียน ลองคิดดูให้ดีนะ หากไม่มีข้าแล้วเจ้ากับรั่วหลิงจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยารอง แต่ยังไงข้าก็ยังจะดูแลเจ้ากับลูกเหมือนเดิม เจ้ายังคงทำงานและอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพียงแค่ได้ชื่อว่ากลายไปเป็นภรรยารองเท่านั้น"

หานมู่พยายามพูดจาหว่านล้อมฟางลู่เซียนที่จิตใจกำลังแตกสลายให้ตัดสินใจไปตามทางที่ตนเองต้องการ ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอคอยให้ฟางลู่เซียนตัดสินใจตอบรับอยู่นั้น ฉับพลันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน

“ข้าไม่ยอม!”

เสียงนั้นไม่ได้มาจากปากของฟางลู่เซียนที่สายตากำลังจ้องมองลงบนพื้นตรงหน้าอย่างว่างเปล่า แต่กลับมาจากเจ้าของมือที่กำลังโอบกอดประคองนางเอาไว้

ทุกคนหันมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น ฟางลู่เซียนที่หัวสมองว่างเปล่าและกำลังจะตอบรับด้วยจิตใจที่แหลกสลายก็ได้หันไปมองด้วยแววตาที่ประหลาดใจเช่นกัน

หานมู่จับจ้องไปยังบุตรสาวของตนก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร”

“ข้าพ้นวัยปักปิ่นไปแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่เช่นกัน อีกอย่าง…นี่มันเรื่องของชีวิตข้า เหตุใดข้าจะไม่เกี่ยว”

“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้างั้นรึ”

หานมู่รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เมื่อแผนการที่เขาวางแผนมากำลังจะสำเร็จผลแต่จู่ๆ กลับต้องสะดุดลง เมื่อสักครู่เขารู้สึกว่าฟางลู่เซียนใกล้จะเอ่ยปากตอบรับยินยอมแล้ว หากไม่เป็นเพราะบุตรสาวตรงหน้านี่ตะโกนพูดขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

ทว่ารั่วหลิงกลับไม่สนใจ นางหันไปยังมารดาที่กำลังทำหน้าสับสน แววตาที่แข็งกร้าวของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยามที่จ้องมอง พร้อมเอ่ยถ้อยคำสอบถามความเต็มใจของคนตรงหน้า

“ท่านแม่ หากท่านอยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุข ข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่”

ฟางลู่เซียนดวงตาเบิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย ด้วยยังไม่เข้าใจถึงเจตนาของบุตรสาว เข้าใจว่านางคงหวังดีอยากให้ตนเองหลบไปพักก่อนแล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่

“ข้ายังพูดไม่จบ กล้าดียังไงคิดจะเดินออกไป” หานมู่พูดขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

รั่วหลิงยังคงไม่สนใจผู้เป็นบิดา นางบีบมือให้กำลังใจผู้เป็นแม่ “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ขอเพียงท่านแม่ไม่ต้องทนทุกข์ ที่ไหนข้าก็อยู่ได้ทั้งนั้น”

คิ้วของฟางลู่เซียนเริ่มขมวดเข้าหากันเป็นครั้งแรก นางเริ่มเอะใจกับคำพูดของบุตรสาว หากต้องการเพียงให้นางหลบหน้าไปพักก่อนชั่วคราว รั่วหลิงก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเช่นนี้

“ท่านแม่ ข้าโตแล้ว สามารถช่วยท่านทำงานได้ ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าข้าสามารถขึ้นเขาไปเก็บของป่า เก็บฟืน หาของที่พอจะกินได้มาช่วยท่านทำอาหาร ยามว่างก็ยังซักล้างปัดกวาด มีสิ่งใดต้องกังวลกันว่าพวกเราจะเอาตัวไม่รอด”

ฟางลู่เซียนแม้จะเป็นคนซื่อแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ความหมายของสิ่งที่บุตรสาวพูดมานางเริ่มระแคะระคายแล้ว “เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการเช่นนั้น”

“ข้ามั่นใจท่านแม่ ข้าไม่อยากให้ตัวเองเป็นห่วงผูกมัดที่ทำให้ท่านแม่ไม่กล้าตัดสินใจ ขอเพียงท่านแม่ต้องการ ข้าพร้อมจะจับมือไปกับท่านทุกที่”

น้ำเสียงของรั่วหลิงนั้นแม้ฟังดูอ่อนโยน ทว่าทุกคำที่กล่าวออกมาล้วนเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ ยืนยันถึงความหนักแน่นในการตัดสินใจ เมื่อฟางลู่เซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรสาวก็มองเห็นแววตาที่เด็ดเดี่ยวภายในนั้น

แววตานี้ ช่างเหมือนข้ายามสาวนัก!

ฟางลู่เซียนตระหนักชัดถึงสิ่งที่บุตรสาวต้องการจะสื่อ ถึงแม้ยามนี้ภายในอกจะปวดร้าวจนเกินจะทน ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่บ้านสำหรับนางอีกต่อไป ลึกลงไปภายในใจฟางลู่เซียนมีความต้องการบางอย่างอยู่แต่ก็ต้องยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน เพราะว่าตนไม่ใช่ตัวคนเดียวแต่ยังมีบุตรสาวด้วยอีกคน

ทว่าเมื่อได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ฟางลู่เซียนก็ราวกับรับรู้ถึงสิ่งที่บุตรสาวอยากจะสื่อได้เป็นอย่างดี ในเมื่อทั้งสองคิดตรงกันเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพะวง หลังจากนี้จะสุขทุกข์หิวหรืออิ่มท้อง พวกนางก็จะเผชิญหน้าไปด้วยกัน

หานมู่ที่ได้ฟังถ้อยคำประหลาดเริ่มบังเกิดความไม่สบายใจ สีหน้าของสองแม่ลูกที่ยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนราวกับใบหน้าของคนที่หมดห่วงทำเอาใจเขาเริ่มไม่เป็นสุข ที่สุดแล้วก็ไม่อาจเก็บกดความไม่สบายใจนี้เอาไว้ได้อีกต่อไป หานมู่จึงได้ตะโกนออกมาอย่างเหลืออด

“พวกเจ้าสองคนคิดจะทำอะไรกันแน่!”

ฟางลู่เซียนและรั่วหลิงหันมาทางต้นเสียง พร้อมทั้งเอ่ยคำพูดออกมาราวกับนัดกันไว้

“ข้ากับท่านแม่จะไม่กลับมาที่นี่อีก พวกข้าจะไปอยู่ที่อื่น”

“ข้าต้องการหย่ากับท่านอย่างไรเล่าหานมู่”

หานมู่ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน แม้เมื่อสักครู่เขาจะรู้สึกตงิดใจกับถ้อยคำที่บุตรสาวเอ่ย ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ สองแม่ลูกจะพร้อมใจกันพูดออกมาเช่นนี้

เดิมทีหานมู่ถึงแม้จะต้องการรับสวี่เจินจูเข้ามาเป็นภรรยาเอก แต่ในใจของเขาก็ยังคงต้องการเก็บฟางลู่เซียนเอาไว้ข้างกายด้วยเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาฟางลู่เซียนนั้นเป็นคนขยัน ทำงานบ้านดูแลงานทุกอย่างไม่มีตกหล่น เขายอมรับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาตัวเขานั้นสุขกายและสบายใจอย่างดียิ่งเมื่อได้รับการปรนนิบัติจากนางอยู่ทุกวัน

ดังนั้นถึงแม้หานมู่จะพูดว่าเขาต้องการรับสวี่เจินจูเข้ามาเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว ทว่านั่นก็เป็นสิ่งที่เขาแกล้งทำเพื่อบีบคั้นจิตใจนาง ไม่คาดคิดเลยว่านางจะใจเด็ดถึงขั้นกล้าเอ่ยปากขอหย่ากับเขาเองเช่นนี้ โดยเฉพาะตัวเขาเองรู้ดีอยู่แล้วว่านางไม่มีสมบัติหรือเงินทองอะไรติดตัวเลยด้วยซ้ำ

“ลู่เซียน เจ้าใจเย็นๆ คิดดูให้ดีก่อน หากหย่ากับข้าไปแล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกจะทำอย่างไร” น้ำเสียงของหานมู่อ่อนลงหลายส่วน ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นเพียงการแสดงหรือเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริง ทว่าไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ บนใบหน้าของฟางลู่เซียนได้เลย

“นั่นมันเรื่องของพวกข้าสองคน ท่านไม่จำเป็นต้องรับรู้” ฟางลู่เซียนตอบกลับเสียงแข็ง

---------------------------------------

ขุ่นแม่ก็สายสตรองเน่อ :)

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0