กรณีที่เฟซบุ๊ก “ภาคย์ โลหารชุน” โพสต์ภาพคู่ระหว่างนายณัฐพล เสมสุวรรณ หรือแซม ขณะเจอกันในงานวิ่งโครงการก้าวคน พร้อมเขียนเล่าถึงหัวใจที่แข็งแกร่งของคุณแซม ในทำนองว่า คุณแซมเป็นรุ่นน้องของเขาสมัยเรียนมัธยมตอนต้น ซึ่งคุณแซมป่วยเป็น “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” ได้รับเคมีบำบัดถึง 36 ครั้ง ทำให้สภาพร่างกายทรุดโทรม ต้องกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงกว่า 1 ปี จนสุดท้ายสามารถเอาชนะได้
วันที่ 17 มิ.ย.62 นายณัฐพล เสมสุวรรณ หรือ แซม เปิดเผยแผลคล้ายกับรอยไหม้ที่แขน ซึ่งเป็นอาการของโรคแพ้ยารุนแรงที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ พร้อมเล่าว่า ตอนที่ตนอายุ 20 ปี เริ่มมีอาการไข้ขึ้น เบื่ออาหาร อาเจียน เมื่อไปพบแพทย์จึงทราบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตอนนั้นยอมรับว่ารู้สึกท้อ เนื่องจากปกติแล้วเป็นคนชอบเล่นกีฬา ว่ายน้ำ หรือแม้กระทั่งชกมวย จนเป็นนักมวยมืออาชีพ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลับกลายเป็นบีบบังคับให้ตนทำกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้
โดยระยะเวลาที่ตนรักษาโรคดังกล่าวต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีถึงจะหาย แต่ในช่วงระยะเวลา 1 ใน 2 ปีนั้น ก็มีช่วงที่ร่างกายขยับไม่ได้ต้องนอนติดเตียง ให้อาหารผ่านทางสายยาง เข้าห้องน้ำเองไม่ได้ จนเมื่ออาการเริ่มดีขึ้น ตนก็มาป่วยเป็นอีกโรคหนึ่งคือ “โรคแพ้ยาอย่างรุนแรง” ซึ่งโรคนี้จาก 1 ล้านคนเป็นได้แค่ 7 คน อาการของโรคนี้คือ ผิวหนังไหม้, ตาแห้ง, ปากแห้ง, ลิ้นแข็งพูดไม่ค่อยชัด ปัจจุบันก็ยังเป็นโรคนี้อยู่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ตนเป็นโรคนี้ เวลาเดินทางไปไหนก็จะมีแต่คนชี้ มีครั้งหนึ่งเคยไปซื้อก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าก็ไม่ยอมขายอาหารให้ เพราะคิดว่าตนจะมาขออาหาร หรือบางครั้งเวลาไปนั่งกินอาหารที่ร้านร่วมโต๊ะกับคนอื่น คนอื่นก็จะลุกหนีไปหมด ตอนนั้นจึงคิดว่าตนเป็นคนที่สังคมเกลียดและกลัว เลยคิดว่าสังคมที่อยู่เป็นสังคมที่เลวร้าย ทำให้เก็บตัวอยู่ที่บ้านเป็นระยะเวลา 9 ปี จนสุดท้ายมาคิดได้ว่าเราควรเข้าใจคนกลุ่มนั้น และมองย้อนกลับไปถ้าเราเป็นเขาเราจะคิดอย่างไร จนสุดท้ายตนตัดสินใจออกไปสู่โลกภายนอกอีกครั้ง
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ตนมารักสุขภาพแล้วออกกำลังกายอีกครั้ง คือตอนเห็นพี่ตูน บอดี้สแลมวิ่งจากบางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ แล้วพูดว่า “อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพแข็งแรง” เลยมองย้อนมาหาตัวเองว่าทำไมเราไม่เคยทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่กลับไปหาแพทย์เพื่อจะให้เขาเหล่านั้นจัดยาให้ถูกโรคกับเรา โดยที่ตัวเราไม่เคยคิดจะสู้เพื่อตัวเองเลย ตอนนั้นตนไม่ได้มองเรื่องยอดเงินบริจาคเลย แต่มองว่าพี่ตูนออกวิ่งเพื่อให้คนไทยหันมาออกกำลังกายเพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดี แล้วเมื่อตนวิ่งโครงการก้าวคนละก้าวกับพี่ตูน ก็รู้สึกอิ่มเอมใจ และรู้สึกว่าทุกคนพยายามทำอะไรเพื่อสังคมจริง ๆ โดยทุกคนที่มาร่วมโครงการก็มาด้วยใจ ไม่ได้มาด้วยเงิน รวมทั้งร่างกายตนก็เริ่มแข็งแรงขึ้น
นอกจากนี้ ตนเคยเดินทางไปโรงพยาบาลที่โครงการก้าวได้มอบเครื่องมือการแพทย์ให้ แล้วได้รักษาคนจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้ตนยิ่งคิดว่าเงินทุกบาทที่ประชาชนบริจาคคนละเล็กน้อย เมื่อรวมกันก็เป็นเงินก้อนใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือคนได้อีกหลายชีวิต ตนจึงอยากให้ทุกคนพยายามออกกำลังกายเพื่อลดภาระของโรงพยาบาล และสุดท้ายร่างกายก็จะดีขึ้น สุดท้ายนี้ตนอยากบอกพี่ตูนว่า ตอนแรกตนกลายเป็นคนที่หมดหวังและสิ้นหวังในการมีชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคของพี่ตูนก็ทำให้คิดว่าเราควรรักและดูแลสุขภาพตัวเอง ตนจึงอยากขอบคุณพี่ตูนและทีมงานก้าวคนละก้าวที่ทำโครงการนี้ด้วยใจจริง ๆ
https://youtu.be/7Nphh5MLJuc