โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ 5 สถานที่ที่ต้องไปเยือน

Hello Magazine Thailand

อัพเดต 24 พ.ค. 2560 เวลา 03.16 น. • เผยแพร่ 24 พ.ค. 2560 เวลา 03.16 น. • hellomagazinethailand.com

1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณอย่าง"PYRAMID OF GIZA"พีระมิดแห่งเมืองกีซา ตั้งอยู่บนที่ราบสูงหินปูนบริเวณปลายปากแม่น้ำไนล์ในเมืองกีซาซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันตกของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์แม้จะมีเพียงมหาพีระมิดแห่งกีซาหรือที่รู้จักกันในชื่อ"พีระมิดคูฟู"ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณอย่าง"PYRAMID OF GIZA"

ดินแดนอันประกอบด้วยพีระมิด 3 กษัตย์,พีระมิดราชิน"สฟิงซ์"และสิ่งก่อสร้างในบริเวณสุสานกีซาทั้งหมดก็ได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979 ที่ราบสูงแห่งกีซาได้รับเลือกจากฟาโรห์คูฟู กษัตย์พระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ของอียิปต์ให้เป็นสถานที่ฝังพระศพเพื่อรอการกลับมาเกิดใหม่ตามความเชื่อโบราณอีกด้วย โดยเริ่มสร้างครั้งแรกเมื่อราว 2,550 ปีก่อนคริสตกาล หากกล่าวถึงมหาพีระมิดแห่งกีซานั่นหมายถึงพีระพีระมิดคูฟูอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในบรรดาพีระมิดทั้ง 3 แห่งส่วนพีระมิดคาเฟรสร้างไว้ตรงกลางบนที่สูงกว่า บางครั้งจึงอาจถูกมองว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด และพีระมิดเมนคูเร ซึ่งมีขนาดเล็กและใหม่สุด พีระมิดคูฟูสร้างด้วยหินน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 ตันวางเรียงอย่างเป็นระบบสูงขึ้นไปราว 200 ชั้น วัดความสูงได้ถึง 147 เมตร แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 137 เมตรเนื่องจากสึกกร่อนไปตามกาลเวลา แต่รัฐบาลอียิปต์ก็ได้ใช้เหล็กต่อความสูงไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นความสูงจริงๆของตอนแรกสร้างเอาไว้ พีระมิดเมนคูเร สร้างไว้เก็บพระศพหลานชายของฟาโรห์คูฟู ผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์คาเฟร ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุด ถัดจากพีระมิดเมนคูเรเป็นที่ตั้งของพีระมิดราชินีพีระมิดเล็กๆ 3 แห่งสร้างขึ้นเพื่อราชินีของฟาโรห์ทั้งสามพระองค์ แต่ในอดีตชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหล่าราชินีมากนักพีระมิดทั้งสามจึงดูคล้ายภูเขาหิน ไม่สง่างามดั่งพีระมิดแห่งฟาโรห์สถาน

"สฟิงซ์"หินก้อนใหญ่แกะสลักเป็นรูปสิงโตหมอบ

ที่อีกแห่งที่ดึงดูดช่างภาพให้ไปรวมตัวกันมากมาย คือ"สฟิงซ์"หินก้อนใหญ่แกะสลักเป็นรูปสิงโตหมอบเชื่อกันว่าใบหน้าของสฟิงซ์ก็คือ ใบหน้าของฟาโรห์คาเฟรนั่นเอง หมอบเฝ้าทางเข้าพีระมิดแห่ง คาเฟร ซึ่งไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปใกล้ฐานมากนักก่อนเข้าสำรวจภายในมหาพีระมิด 

ใบหน้าของฟาโรห์คาเฟร

ด้านในมหาพีระมิดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปจึงต้องฝากกล้องถ่ายรูปไว้ที่ทางเข้า ซึ่งที่นี่ไม่ใช่ทางเข้าดั้งเดิมแต่เป็นทางเข้าที่เรียกว่า Al Mamoun’s forced Entrance ซึ่งอยู่ต่ำกว่าทางเข้าจริงๆ ซึ่งตั้งชื่อตามสุลต่านกาหลิบอัล มามูน(Caliph Al Mamoun)ผู้ที่ขุดค้นพีระมิดแห่งกีซาเป็นคนแรก แม้อากาศจะเริ่มร้อนอบอ้าวแต่ภายในกลับมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากมาย เพราะมีห้องที่เป็นไฮไลต์อยู่หลายห้อง และคงหนีไม่พ้น King’s Chamber ห้องเก็บพระศพของฟาโรห์คูฟู ซึ่งมีเพียงโลงศพหินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่บรรจุมัมมี่แห่งฟาโรห์และมีเครื่องเพชรพลอยสิ่งของจำเป็นที่ชาวอียิปต์โบราณคิดว่าฟาโรห์จำเป็นต้องใช้เมื่อได้ฟื้นคืนชีพ แต่ปัจจุบันมีเพียงรูปปั้นของฟาโรห์คูฟูขนาดไม่ใหญ่ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ ณ กรุงไคโร อีกห้องที่พลาดไม่ได้ก็คือ Queen’s Chamber ห้องโถงราชินี หลายคนเข้าใจผิดว่าอาจเป็นห้องเก็บพระศพราชินี แต่จริงๆแล้วในประวัติศาสตร์อียิปต์ไม่มีการสร้างที่ฝังพระศพของฟาโรห์และราชินีไว้ในพีระมิดเดียวกัน แต่ที่เรียกชื่อแบบนี้เนื่องจากลักษณะการตกแต่งห้องที่ดูคล้ายการตกแต่งสุสานของผู้หญิงด้วยเพดานแบบจั่วแต่ก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งทางเดินภายในพีระมิดบางครั้งก็แคบและเตี้ยจนต้องย่อเข่ากลั้นหายใจเดินกันเลยทีเดียว บางครั้งก็ลาดเอียงให้ได้เกร็งขากัน

การเที่ยวชมมวลหมู่พีระมิดแห่งกีซาอาจต้องใช้เวลากันถึง 1 วันเต็ม เพื่อดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่และความน่าอัศจรรย์ของมรดกโลกซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่หากต้องการค้นหาปริศนาแห่งความอมตะในดินแดนลึกลับนี้ การรอชมการแสดงแสงสีเสียงที่จะพาย้อนอดีตกลับไปดูชีวิตของชาวอียิปต์นับพันปีก่อน ก็เป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย

 สะพานชิงหลงที่ข้ามแม่น้ำสายนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นสะพานโค้งที่สร้างด้วยหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตลี่เจียง

เมืองแห่งเสน่ห์มนตรา ‘ลี่เจียง’ เมืองเก่ามากด้วยเสน่ห์ของบ้านเรือนสไตล์จีนโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นอันมีเอกลักษณ์ จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1997 จากองค์การยูเนสโก ลี่เจียงเป็นเขตการปกครองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานหลายร้อยปี และเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าหน่าซีที่มีการอพยพมาจากทิเบตตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาทางตอนเหนือของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเขตเมืองและเขตชนบท ย่านเมืองเก่าลี่เจียง มีชื่อเสียงมากซึ่งชื่อที่เรียกอย่างเป็นทางการคือ"เมืองเก่าต้าเหยียน"ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของลี่เจียงเลยก็ว่าได้ 

เมืองเก่าต้าเหยียน ที่เป็นไฮไลต์ของลี่เจียง

เพียงก้าวเท้าผ่านประตูทางเข้าเมืองเก่าต้าเหยียนก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง คล้ายย้อนเวลากลับไปในอดีต เพราะที่นี่ยังคงรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างเข้มแข็งเคียงคู่กับการอนุรักษ์บ้านเรือนที่มีรูปทรงโบราณโอบล้อมด้วยธรรมชาติงดงามตระการตาจนทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดกับภาพความงดงามของมรดกโลกอันล้ำค่าแห่งนี้ 

ถนนภายในเมืองเก่าต้าเหยียนปูด้วยหินเรียบลื่นก้อนใหญ่ 

ถนนภายในเมืองเก่าต้าเหยียนปูด้วยหินเรียบลื่นก้อนใหญ่ สองข้างทางเรียงรายด้วยบ้านแบบโบราณอันเลื่องลือขนานไปกับลำธารเล็กๆ ที่ละลายไหลมาจากหิมะบนเทือกเขามังกรหยก มีต้นหลิวเป็นทิวแถวพลิ้วไหวตามสายลมชวนให้รู้สึกสดชื่นตลอดเส้นทางบ้านเรือนแต่ละหลังมีสะพานไม้เล็กๆ ทอดตัวข้ามจากถนนเส้นกลางมาถึงหน้าบ้านว่ากันว่าเมืองนี้มีสะพานหลากรูปแบบกว่า300 สะพานจึงไม่น่าแปลกใจถ้าจะถูกเรียกขาน ว่า‘เวนิสแห่งตะวันออก

ต้นหลิวเป็นทิวแถวพลิ้วไหวตามสายลม ชวนให้รู้สึกสดชื่นตลอดเส้นทาง  

ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองเก่าต้าเหยียนคือไม่มีกำแพงล้อมรอบโครงสร้างของเมืองเป็นแบบยืดหยุ่นบ้านเรือนปลูกติดๆกันมีถนนแคบๆพาดผ่าน โดยถนนแต่ละสายของเมืองจะมารวมกันที่ตลาดสี่เหลี่ยมหรือซื่อฟางเจีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าขายคลาคล่ำไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกละลานตา สามารถเดินเที่ยวได้ทั้งกลางวันและกลางคืนซึ่งจะได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป

เป็นสิ่งก่อสร้างล้ำค่าอันเป็นแบบฉบับสถาปัตยกรรมของจีนสมัยโบราณ

ผู้คนเมืองลี่เจียงกับการแสดงโชว์สุดพิเศษที่มีมาแต่โบราณ

เสน่ห์ของลี่เจียงไม่ได้มีเพียงวิถีชีวิตของผู้คนและบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น หากแต่ทิวทัศน์ธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงาม เทือกเขาเรียงรายโอบรอบสี่ทิศผืนน้ำที่เป็นเวิ้งกว้างทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดสายตาก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดผู้คนทั่วโลกให้เดินทางมาที่นี่เช่นกัน

 สรวงสวรรค์บนผืนดิน BANFF NATIONAL PARK

ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขา"ร็อกกี"ทางตอนใต้ของรัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา อุทยานแห่งชาติ”แบมฟ์”บนเนื้อที่กว้างใหญ่ ภายในอุทยานแห่งชาติของทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งมีทิวทัศน์ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกต,ธารน้ำแข็ง และน้ำพุร้อน รวมถึงเหล่าสัตว์ต่างๆ เช่น นกอินทรีสีทอง,หมีกริซลี,หมีดำ,กวางมูส และ แพะภูเขา เป็นต้น อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ยังได้เป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในแคนาดา และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเทือกเขาร็อกกีของแคนาดา โดยเชื่อมต่อเข้าทะลุได้กับอีกหลายอุทยาน ซึ่งในแต่ละปีนักท่องเที่ยวนับล้านคนต่างต้องตื่นตาตื่นใจไปกับการพายเรือในทะเลสาบสีฟ้ามรกต หรือ เดินอยู่ในท่ามกลางสวรรค์ที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ในทุ่งหญ้าซันไชน์ และขับรถไปชมความสูงตระหง่านของภูเขาที่สวยงามตามเส้นทาง Icefields Parkwayโดยเส้นทางนี้ที่รู้จักกันในชื่น Highway 93 ตัดผ่านอุทยานแห่งชาติเทือกเขาร็อกกี โดยเราจะได้เห็นส่วนที่สวยงามที่สุดขณะกำลังเดินทางบนเส้นทาง Icefields Parkway เพราะเราสามารถเห็นวิวทะเลสาบ ธารน้ำแข็ง รวมถึงยอดเขาเส้นทางนี้เป็นหนึ่งในการเดินทางที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเลยก็ว่าได้

ธารน้ำแข็งที่สามารถมองได้จาก Highway 93

เนื่องจากเราจะเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ธารน้ำแข็งขาวโพลน วาววับเมื่อแสงอาทิตย์ส่อง และทิวทัศน์ป่าสนอันกว้างไกล นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเสน่ห์อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากรอให้เราไปสัมผัส เช่น การพายเรือแคนู,ล่องแพ,ปีนเขา,ขี่ม้า,เดินป่า,ดูนก,ตกปลา,เล่นสกี ฯลฯ สำหรับอุทยานแห่งชาติเทือกเขาร็อกกีนั้น องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วยภูมิทัศน์อันสวยงามราวกับภาพวาด และธรรมชาติที่ยังคงความบริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งค้นพบซากฟอสซิลที่สำคัญของโลกที่บันทึกเรื่องราวชีวิตสัตว์โลกเมื่อ 500 ล้านปีก่อน ความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล และความหลากหลายของชุมชนในยุคโบราณ จึงสามารถบ่งบอกถึงวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของโลกได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงทะเลสาบ,น้ำตก,ธารน้ำแข็ง,ยอดเขาอันขรุขระที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แต่ก็มีน้ำพุร้อนและทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความแตกต่างแต่ลงตัวอย่างงดงามนี้เอง จึงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่มรดกโลก และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกนับล้านคนต่อปี

กิจกรรมอย่างเรือแคนูที่จะสามารถพายไปชมวิวไปได้แบบไม่รู้จักเบื่อ

ใครที่อยากมาสัมผัสความงดงามดุจภาพวาดของอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ รวมถึงอุทยานแห่งชาติอื่นๆในเทือกเขาร็อกกีแห่งนี้ ควรเตรียมกล้องถ่ายรูป,กล้องส่องทางไกล และรองเท้าเดินป่าให้พร้อม แล้วออกเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแบมฟ์กันเลย จะไปตามเส้นทาง Icefields Parkway แบบไปเช้าเย็นกลับด้วยรถโดยสารก็ได้ แต่ถ้าอยากท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์เราขอแนะนำให้เช่ารถขับเองอาจพักที่รีสอร์ทบนภูเขาหรือจะกางเต็นท์ตามทางก็ได้เช่นเดียวกันโดยค้างสักคืนสองคืนที่ทะเลสาบ Louiseเพื่อเล่นสกีหรือ สโนว์บอร์ด เมื่อออกเดินทางต่อเราก็จะเห็น Castle Mountain ที่ตั้งตระหง่านอยู่หรือ แวะไปที่ Vermillion Lakes เพื่อถ่ายภาพMount Rundle ที่สะท้อนบนผืนน้ำเมื่อมาถึงอุทยานแห่งชาติแบมฟ์แล้ว ลองขึ้นกระเช้าไปให้ถึงยอดเขา Sulphur Mountain เพื่อชมวิวแบบพาโนราม่าของอุทยานแห่งชาติ แต่ก่อนจะออกเดินทางขอแนะนำให้เช็กข้อมูลที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการเพื่อดูรายงานถนนและความปลอดภัยเสียก่อน เพราะบางช่วงหิมะอาจจะตกหนักจนไม่สามารถขับรถฝ่าไปได้ อีกทั้งควรศึกษาว่าทำอย่างไรเมื่อเจอหมีป่า โดยเส้นทาง Icefields Parkway จะสวยงามที่สุดระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม

ที่นี่มีหิมะตกตลอดทั้งปีจึงไม่น่าแปลกที่ที่นี่จะเคยเป็นฉากในหนังรักเกาหลีที่ทำให้สาวทุกคนหลั่งใหลไปอุทยานแห่งชาติแบมฟ์เพื่อชมของจริงด้วยตาตนเอง

 เมื่อ’มังกรร่อนลง’ที่ HALONG BAY

นิทานปรัมปราของชาวเวียดนามเล่าว่า"นานมาแล้วครั้งที่เวียดนามทำการรบกับจีนเทพเจ้าได้ส่งมังกรลงมาช่วยชาวเวียดนามที่ถูกกองทัพจีนรุกรานมังกรบินตรงลงมาจากสวรรค์มุ่งสู่บริเวณที่เป็นอ่าวฮาลองในปัจจุบันเกิดเป็นอัญมณีปรากฏลอยขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วกลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่รายรอบอ่าวซึ่งเปรียบเสมือนเป็นป้อมปราการพิทักษ์เวียดนามจากข้าศึกกระทั่งกองทัพจีนหนีพ่ายกลับไป"ชาวเวียดนามเลยเริ่มสร้างบ้านเมืองขึ้นเป็นประเทศเวียดนามในปัจจุบันอ่าวแห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าอ่าวฮาลอง (Halong) อันมีความหมายว่า ‘มังกรร่อนลง’ เรื่องเล่านี้เองที่ได้พ้องกับประวัติศาสตร์ตามตำราว่าเดิมบริเวณอ่าวแห่งนี้ไม่เคยปรากฏชื่อจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จึงมีการจดบันทึกในแผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส และเรียกบริเวณนี้ว่าอ่าวฮาลองต่อมาได้มีข่าวในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสว่ามีผู้พบเห็นงูยักษ์โผล่ขึ้นกลางอ่าวฮาลอง อีกด้วย ในบริเวณ อ่าวตังเกี๋ย ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออกเพียง170กิโลเมตรที่รายล้อมไปด้วยเกาะหินปูนจำนวนมากมาย เกาะส่วนใหญ่ยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่

บรรดาเกาะน้อยใหญ่ของฮาลองเบย์

มีเกาะขนาดใหญ่ที่ผู้คนตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่และมีโรงแรมไว้รองรับนักท่องเที่ยวถึง 2 เกาะด้วยกัน คือ เกาะกั๊ตบา ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด และเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1970 ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังทำประมงและเลี้ยงปลาในกระชัง นอกจากต้นไม้ร่มรื่นที่ทอดตัวเป็นแนวยาวยังมีภูเขาเรียงรายติดๆกันแต่มีความหลากหลายทางธรรมชาติค่อนข้างมาก เกาะใหญ่รองลงมาคือเกาะต่วนเจิว ปัจจุบันมีการตัดถนนและสร้างโรงแรมไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเนื่องจากเป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวงดงามมากที่สุด แม้จะมีพื้นที่เพียง 2.2 ตารางกิโลเมตรก็ตาม ในฮาลองเบย์อีกหลายเกาะยังมีถ้ำขนาดใหญ่ให้เข้าไปเยี่ยมชม ถ้ำใหญ่ที่สุดและขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม คือ ถ้ำเต๋าโกอันมีความหมายว่าถ้ำเสาไม้ ซึ่งภายในถ้ำมีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่ที่ยังสมบูรณ์ และสวยงามอยู่มาก บางเกาะก็มักจะมีบ้านชาวประมงอาศัยอยู่ บางเกาะก็มีเพียงหาดทรายที่ให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมกัน บางเกาะก็มีรูปร่างชวนมองทำให้การล่องเรือเที่ยวรอบๆ อ่าวกิจกรรมน่าสนใจ ซึ่งตัวเรือเองก็มีให้เลืองหลากหลายแบบทั้งแบบเป็นเรือนอนค้างคืนเหมาลำ เป็นเรือนักท่องเที่ยวพาชมเกาะแก่ง และเรือร้านอาหารล่องชมวิวพร้อมอาหารทะเลสด หลายลำสร้างหัวเรือเป็นรูปมังกรเพื่อให้เข้ากับตำนานที่เล่าขาน บางลำก็มีใบแบบเรือโบราณให้ได้กลิ่นอายแห่งการเดินเรือในอดีต

เกาะเล็กเกาะน้อยที่แบ่งตัวกันเป็นกลุ่มๆ ของอ่าวฮาลอง

นอกจากนี้ยังมีชาวประมงแวะเวียนมาขายของสำหรับเรือนอนสามารถซื้อหาของสดไว้ให้พ่อครัวปรุงสดๆ ได้เรือบางลำมีการจอดให้ลงเล่นน้ำตามหาดทรายต่างๆจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นอกจากจะมีเกาะเล็กเกาะน้อยให้เห็นมากมาย ยังมีเรือขนาดต่างๆให้ชมไปพร้อมๆซึ่งทำให้เพลินตาไปกับความงดงามของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอันน่าอัศจรรย์นี้เอง ทำให้ฮาลองเบย์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1994

อัญมณีแห่งเมดิเตอร์เรเนียน VALLETTA

มาถึงมรดกโลกที่สุดท้ายกันแล้วที่เราขอแนะนำให้ไปกันในช่วงเทศกาลหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงนี้ อย่าง"อัญมณีแห่งเมดิเตอร์เรเนียน VALLETTA"เราอาจไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากับประเทศเล็กๆ ทางตอนใต้ของทวีปยุโรปอย่างประเทศมอลตานัก แต่ประเทศเล็กๆที่ประกอบด้วยเกาะ 2 เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในโลกเนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ 20 - 21องศาตลอดทั้งปีเป็นประเทศที่ไม่มีหิมะตกเหมือนอย่างประเทศแถบยุโรปอื่นๆ และ‘วัลเลตตา’ก็เป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ โดยเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกโลกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการ มีกำแพงเมืองสูงเด่นเป็นที่สังเกตุ ชื่อวัลเลตตา มาจากการตั้งชื่อตาม'St. John,Jean Parisot de la Valette' อัศวินผู้สร้างเมือง โดยเป็นที่รู้จักกันว่าวัลเลตตาเป็น"เมืองที่สร้างขึ้นโดยสุภาพบุรุษเพื่อสุภาพบุรุษ"นอกจากนี้วัลเลตตายังเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดเล็กที่สุดในทวีปยุโรป โดยมีพื้นที่เมืองเพียง 0.55 ตารางกิโลเมตร แต่ถึงจะเล็กก็เล็กพริกขี้หนู เพราะเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของยุโรป เนื่องจากมีท่าเรือธรรมชาติถึง 2 ท่าซึ่งท่าเรือที่สำคัญของเมืองคือท่าเรือ Grand Harbour แถมยังมีอนุสาวรีย์มากถึง 320 แห่งสถาปัตยกรรมต่างๆ ภายในเมืองวัลเลตตาเป็นศิลปะบาโรกปลายยุคเรอเนอซองส์ ทั้งโบสถ์ วิหารอาคารต่างๆ ซึ่งมีให้เราเดินชมได้แบบไม่รู้เบื่อ

ป้อมปราการของเมืองก็เป็นจุดชมวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยที่สุด 

นอกจากนี้บริเวณป้อมปราการของเมืองก็เป็นจุดชมวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยที่สุด โดยภายในเมืองนั้นสถานที่แต่ละแห่งอยู่ไม่ห่างไกลกันมากเราจึงสามารถเดินชมเมืองแบบไม่ต้องกลัวเสียเวลาเลยเพราะสวยทุกจุดจริงๆ

มหาวิหารโรมันคาทอลิก Saint John’s Co-Cathedral

สถานที่แรกที่จะพาไปเที่ยวก็คือ มหาวิหารโรมันคาทอลิก Saint John’s Co-Cathedral สถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวมอลตา Girolamo Cassar ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นหลายแห่งของเมืองวัลเลตตา ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 17ได้มีการตกแต่งภายในใหม่ให้เป็นสไตล์บาโรก นับว่าที่นี่เป็นต้นแบบที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมบาโรกชั้นสูงในยุโรปด้วยงานแกะสลักที่สวยงาม ภายในจัดแสดงนิทรรศการ "ประวัติศาสตร์การสร้างเมืองรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ของชาวมอลตาในอดีต" โดยมีไฮไลต์คือ รูปปั้นดินเผาที่เป็นรูปผู้หญิงกำลังนอนหลับ

อาคารบ้านเรือนในเมืองเล็กๆแห่งนี้ที่ยังมีมุมน่ารักและความอบอุ่นของกลิ่นอายความเก่าอยู่

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน อาทิ ภาพวาดจากศิลปินชื่อดังต่างๆ ของยุโรป National Museum of Fine Arts พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สำคัญอย่างมากในวัลเลตตา เป็นสถานที่รวบรวมผลงานของศิลปินต่างๆ มากมาย ทั้งชาวมอลตาและชาวต่างชาติ ที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สำคัญของยุโรป ในศตวรรษที่ 18 ที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่พักของผู้บังคับการกองทัพเรือแห่งเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้จะปิดตัวลงในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ เพื่อปรับปรุงและจะเปิดอีกครั้งในนามของ MUZA(from the Maltese acronym Muzew tal-Arti)National War Museum อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองวัลเลตตา ตั้งอยู่ที่ป้อม"Saint Elmo"ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ประจำเมืองและเอาไว้จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์

 มุมบ้านเรือน่ารักๆในVALLETTA

นับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้เป็นจำนวนมากด้วยความงดงามของศิลปะแบบบาโรคที่น่าจดจำ และควรค่าแก่การเก็บรักษาเพื่อให้รรุ่นหลังพร้อมผู้สนใจไปเยี่ยมชมประเทศเล็กๆอย่างวัลเลตตาที่กลิ่นอายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความคลาสิคของบ้านเรือนที่ยังคงแฝงอยู่ทุกมุมรอสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ไปเยือนกันอย่างมากแน่นอน

เทศกาลวันหยุดยาวที่กำลังมาถึงอย่างคริสต์มาส และ ปีใหม่ใครหลายๆคนอาจยังคิดไม่ตกไม่รู้ว่าจะพาคนพิเศษไปเฉลิมฉลองที่ไหนดี "เมืองมรดกโลก"ทั้ง 5 แห่งนี้อาจจะเป็นตัวเลือกน่าสนใจของใครหลายคนที่จะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมพร้อมกับรอยยิ้มของคนในครอบครัว และ คนพิเศษในคืนวันส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวค่ะ

ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกที่น่าสนใจ ได้ใน HELLO! Travel ฉบับ World Heritage วางแผงแล้ววันนี้ !

สนับสนุนเรื่องราวการเดินทางสุดพิเศษโดย การบินไทย