โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เด็กตาเหล่ ตาเข เกิดจากอะไร

Motherhood.co.th

เผยแพร่ 08 ม.ค. 2563 เวลา 03.00 น. • Motherhood.co.th Blog

เด็กตาเหล่ ตาเข เกิดจากอะไร

หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกน้อยที่มีอายุต่ำกว่า 3 เดือน มีอาการตาเหล่เข้าหากันหรือเหล่ออก ตาสองข้างทำงานไม่ค่อยสอดคล้องกัน ก็อาจกังวลว่าลูกจะเป็น "เด็กตาเหล่" หรือเปล่า เมื่อเขาโตขึ้นไปแล้วอาการจะยังติดอยู่กับเขาหรือไม่ หากยังมีอาการอยู่ จะทำการรักษาได้อย่างไร วันนี้เราจะมาติดตามความรู้เรื่องอาการตาเหล่และตาเขกันค่ะ

อาการตาเหล่คืออะไร

ตาเหล่ หรือ ตาเข (Strabismus, Squint) เป็นภาวะหรือโรคที่พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก โดยจะมีอาการที่ตาทั้ง 2 ข้างไม่อยู่ในแนวตรงตามธรรมชาติ อันสืบเนื่องมาจากการมีภาวะผิดปกติที่ทำให้การเคลื่อนไหวของลูกตาทั้ง 2 ข้างขาดการประสานงานกันเช่นคนที่มีตาปกติ โดยตาดำข้างใดข้างหนึ่งจะมีการเขเข้าด้านในทางหัวตาเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจพบได้บ้างที่ตาเขออกด้านนอกทางหางตา ตาเขขึ้นด้านบน หรือตาเขลงด้านล่าง ทำให้ไม่สามารถมองวัตถุด้วยตาทั้งสองข้างพร้อมกัน

ภาวะนี้คืออาการที่ตาสองข้างทำงานไม่ประสานกัน

กับคนที่ตาปกติ ลูกตาจะเคลื่อนไหวในลักษณะที่ประสานงานสอดคล้องกันเสมอ เพื่อให้มองเห็นภาพเป็น 3 มิติ โดยมีสมองเป็นตัวสั่งการมาที่กล้ามเนื้อสำหรับกลอกตาทั้ง 2 ข้าง เป็นการทำงานไปพร้อมกัน ขยับมองเป็นแนวขนานกันไป ถ้าตาขวาจะมองไปทางขวา ตาซ้ายก็ต้องมองไปทางขวาด้วย หรือถ้าตาซ้ายมองลงล่าง ตาขวาจะมองขึ้นบนหรือมองไปทางอื่นไม่ได้ นอกจากมองลงล่างตามตาซ้ายด้วย ยกเว้นในเวลาที่มองใกล้ ๆ ซึ่งตาทั้ง 2 ข้างจะหมุนเข้าหากันเพื่อจับโฟกัสภาพที่อยู่ใกล้ และเวลามองตรงไปข้างหน้า ตาทั้ง 2 ข้างก็จะต้องอยู่ตรงกลาง

จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 5% ของเด็กทั้งหมดที่เกิดมาจะตรวจพบภาวะนี้ อาจจะเป็นน้อยหรือมากและเป็นตาเขชนิดต่าง ๆ กันไป และมากกว่าครึ่งหนึ่งจะตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดหรือภายในอายุ 6 เดือน

ประเภทของอาการตาเข

  • ตาเขชนิดเห็นได้ชัด (Manifest strabismus) เป็นตาเขที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตาเข โดยจะมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะ คือ

  • ตาเขเข้าด้านใน (Esotropia) ตาดำข้างที่เขจะเบนเข้าด้านในหรือมุดเข้าหาหัวตา ตาเขชนิดนี้จะพบได้มากกว่าชนิดอื่น ๆ และมักพบได้ในเด็กแรกเกิดอายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป อาจเรียกว่าเป็นตาเขเข้าด้านในชนิดแรกเกิด (Infantile esotropia) หรือ "ตาไขว้" (Crossed eye) สาเหตุที่เกิดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา เมื่อมองภาพระยะใกล้จำเป็นต้องเพ่งมากเกินไปทำให้ตาดำมุดเข้าหากัน หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อกลอกลูกตา หรือประสาทบังคับการทำงานกล้ามเนื้อตาไม่สมดุลกัน และสาเหตุตามกรรมพันธุ์

  • ตาเขออกด้านนอก (Exotropia) ตาดำข้างที่เขจะเบนหรือเฉียงออกด้านนอกหางตา เป็นชนิดที่พบได้น้อยกว่าชนิดตาเขเข้าด้านใน ไม่ค่อยพบในเด็ก ๆ ซึ่งตาเขชนิดนี้มักจะเกิดร่วมกับภาวะสายตาสั้น อาจเป็นเพราะโรคกระจกตาดำเลนส์ตาขุ่น วุ้นลูกตาขุ่น รูม่านตาตีบ และประสาทจอรับภาพผิดปกติ เป็นผลให้ตาข้างนั้นไม่สามารถจับจ้องภาพได้ จึงเบนออกด้านนอก

  • ตาเขขึ้นด้านบน (Hypertropia) ตาดำข้างที่เขจะลอยขึ้นด้านบน อาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อกลอกตา เป็นชนิดที่พบได้น้อย

  • ตาเขลงด้านล่าง (Hypotropia) ตาดำข้างที่เขจะมุดลงด้านล่าง เป็นตาเขชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อสำหรับกลอกตาหรือมีแผลเป็นที่กล้ามเนื้อตาหลังได้รับอุบัติเหตุ แผลเป็นจึงดึงรั้งให้ลูกตามุดลงด้านล่าง ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้น้อยเช่นกัน

  • ตาเขเทียม (Pseudostrabismus) เป็นตาเขที่พบได้ในเด็กที่สันจมูกยังแบนราบกับผิวหนังและบริเวณหัวตากว้าง จึงแลดูคล้ายตาเหมือนอยู่ชิดหัวตา เหมือนลักษณะตาเขเข้าด้านใน แต่เมื่อเด็กโตขึ้นสันจมูกมีดั้งสูงขึ้น ภาวะนี้จะหายไปเอง อีกประเภทคือ มีรูปหน้าแคบ ทำให้ตาทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก แม้จมูกจะโด่ง แต่ก็ทำให้ดูเหมือนคนตาเขเข้าในได้เช่นกัน หรืออีกประเภทคือ มีใบหน้ากว้าง ทำให้ลูกตาอยู่ห่างกันมากกว่าปกติ จนดูคล้ายกับคนตาเขออกด้านนอก

  • ตาเขชนิดซ่อนเร้น (Phoria) หรือที่เรียกว่า "ตาส่อน" เป็นภาวะที่ถ้าลืมตาแล้ว ตาทั้ง 2 ข้างจะอยู่ตรงกลางเป็นปกติดี แต่เวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย หรือเมื่อเอาอะไรมาบังตาข้างใดข้างหนึ่ง ตาข้างนั้นจะเบนออกจากตรงกลาง ถ้าเอาที่บังตาออก ตาข้างนั้นก็จะกลับมาตรงใหม่ ภาวะนี้มักจะไม่มีปัญหาอะไร แต่อาจเป็นสาเหตุให้มีอาการเมื่อยล้าตาได้ง่ายกว่าคนทั่วไปเมื่อต้องใช้สายตามาก ๆ

  • ตาเขชนิดอัมพาตของประสาทกล้ามเนื้อตาหรือจากโรคทางร่างกายอื่น เป็นตาเขชนิดที่มักพบได้ในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กพบได้น้อย และเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อกลอกลูกตาอ่อนตัวหรือเป็นอัมพาต หรือเกิดตามหลังภาวะโรคระบบอื่นของร่างกาย เช่น เป็นโรคเบาหวานนาน ๆ ตาอาจเขออกนอกได้

สามารถพบอาการได้ 5% ในเด็กที่มาตรวจ

สาเหตุของอาการตาเข

ทารกแรกเกิดสายตาจะยังเจริญไม่เต็มที่ ทำให้อาจเกิดอาการตาเขได้บ้าง แต่หากเด็กอายุเลย 6 เดือนไปแล้วยังมีอาการตาเขอยู่อีกก็ถือว่าผิดปกติ ซึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อย คือ

  • สายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ซึ่งอาจจะเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ที่พบได้บ่อยคือ ในเด็กที่มีสายตายาวปานกลางจะมีตาเขเข้าด้านใน เพราะเด็กต้องเพ่งเพื่อปรับสายตาให้เห็นชัดขึ้น ซึ่งการเพ่งบ่อย ๆ นี้อาจเป็นสาเหตุทำให้ตาเขเข้าในได้ หากพบแต่เนิ่น ๆ การแก้ไขสายตายาวด้วยแว่นก็อาจทำให้ภาวะตาเขหายไปได้ ส่วนในเด็กที่มีสายตาสั้นหรือสายตาเอียงบางราย อาจทำให้กล้ามเนื้อขาดความสมดุลจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดตาเขได้เช่นกัน
  • เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม
  • เกิดจากความพิการของกล้ามเนื้อกลอกลูกตา
  • เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เด็กปัญญาอ่อนหรือเด็กที่มีพัฒนาการทางร่างกายช้า
  • เกิดจากการมีโรคในตาข้างใดข้างหนึ่งจนทำให้สายตาข้างนั้นมัวลงมากกว่าอีกข้าง เป็นผลทำให้กล้ามเนื้อตาไม่สมดุลจึงเกิดภาวะตาเข
  • เกิดจากมะเร็งจอตาในเด็ก (Retinoblastoma) เป็นผลทำให้ตาข้างที่เป็นโรคอาจมีระดับสายตาลดลงมากเนื่องมีจากมีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่มาบดบังจุดภาพชัด (Macula) ทำให้เกิดภาวะตาเขตามมา และหากไม่รีบรักษาก็อาจทำให้เด็กเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้
ต้องรีบพาลูกไปตรวจหากพบอาการต้องสงสัย

วิธีการรักษา

  • ถ้าพบอาการตาเขเป็นครั้งคราวในทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน แพทย์จะเฝ้าติดตามดูอาการไปเรื่อย ๆ ก่อน เพราะถ้าไม่มีสาเหตุที่ผิดปกติ อาการก็มักจะหายไปได้เมื่ออายุได้ 6 เดือน แต่ถ้าอายุเลย 6 เดือนไปแล้วยังไม่หาย ควรรีบพาไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดูภายในลูกตาอย่างละเอียด ดูว่ามีโรคอื่น ๆ ที่เป็นต้นเหตุของตาเขหรือไม่ มีภาวะตาขี้เกียจหรือไม่ และวัดดูว่าความเขมีมากน้อยเพียงใด เพื่อใช้ประเมินในการรักษาต่อไป
  • เด็กที่มีสายตายาวมากกว่า + 2.50 D หรือมีสายตา 2 ข้างต่างกันมากกว่า + 1.50 D หรือมีสายตาเอียงมากกว่า + 0.50 D ควรได้รับการแก้ไขด้วยแว่นตา หรือคอนแทคเลนส์ หากไม่แก้ไขปัญหาสายตาดังกล่าวจะมีโอกาสเกิดภาวะตาขี้เกียจได้
  • หากต้องต้องได้รับการผ่าตัด บางรายอาจต้องได้รับการผ่าตัดซ้ำ เพราะการผ่าตัดครั้งเดียวอาจแก้ไขอาการตาเขได้ไม่หมด และหลังการผ่าตัดเด็กยังคงต้องมาตรวจรักษาเป็นระยะ และถ้ามีปัญหาสายตาร่วมด้วย แม้ผ่าตัดตาเขแล้วยังคงต้องใส่แว่นต่อไป
  • แพทย์จะนัดมาตรวจเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับค่าแว่นแก้ไขสายตา เนื่องจากเมื่อเด็กโตขึ้น สายตาก็จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงติดตามเรื่องการพัฒนาการมองเห็นสามมิติ เพื่อติดตามดูว่ามีปัญหาเรื่องตาเขกลับเป็นซ้ำอีกหรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้นซ้ำก็จะต้องทำการรักษาโดยเร็ว

คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของลูกหลังจากที่เขาอายุมากกว่า 3 เดือน หากพบอาการที่น่าสงสัยให้พาไปพบจักษุแพทย์โดยเร็วเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไปค่ะ

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...