การมีหน้าท้องแบนราบคงเป็นความฝันของใครหลายๆคน ยิ่งอายุเยอะการมีหน้าท้องแบนราบก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากหากไม่มีวินัยในตนเอง นอกจากการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันหน้าท้อง การรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเช่นกันค่ะ
1.เคี้ยวนานๆ
เมื่อเริ่มต้นรับประทานอาหาร ให้โฟกัสไปที่การทานอาหารช้าๆ เคี้ยวอาหารให้ละเอียดที่สุด เพื่อช่วยลดแก๊สในกระเพาะและลดอาการท้องอืด
2.ควบคุมอาหารสำคัญกว่าการออกกำลังกาย
การควบคุมอาหารจะทำให้หน้าท้องแบนราบตลอดเวลา งดการทานแป้ง เกลือ น้ำตาล คาเฟอีน น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ และหันมาทานอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ลีน โปรตีน ถั่ว และธัญพืช ไข่ และอาหารที่ดีต่อร่างกายอื่นๆ แทนดีกว่าค่ะ
3.ดื่มน้ำมากๆ
ไม่ได้มีเทคนิคไหนบอกเอาไว้ว่าการขาดแคลนน้ำจะช่วยลดน้ำหนักได้มากกว่าเดิม กลับกันการดื่มน้ำมากๆจะทำให้หน้าท้องของคุณแบนราบ เพราะน้ำจะช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำ และยังช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
4.คาร์ดิโอ
ถ้าคุณต้องการขจัดหน้าท้องให้หมดไป ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัย Duke ยืนยันแล้วว่า การเต้นแอโรบิกช่วยเบิร์นไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งการแอโรบิกสามารถเบิร์นด้วยไขมันมากกว่า 60% ของแคลอรีทั้งหมด
5.ทานโปรตีนเยอะๆ
โปรตีนจากสัตว์ (ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน สัตว์ปีก และปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารย่างและนึ่ง) โฮลเกรน ถั่ว ผักใบเขียว รากผัก (แครอท แอปเปิล หัวไชเท้า) ผักดอก (กะหล่ำปลี) ดาร์กช็อกโกแลต น้ำเปล่า ชา และชาสมุนไพร
6.ทานเกรปฟรุต
นักวิจัยพบว่าคนที่รับประทานเกรปฟรุตเพียงครึ่งลูก เป็นเวลา 3 ครั้งต่อวันจะช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอาหารการกินของตัวเอง มีเป็นไปได้ว่าความเป็นกรดของเกรปฟรุต อาจทำให้การย่อยอาหารช้าลง ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น
7.หันไปพึ่งชาเขียว
ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่เรียกว่า EGCG ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารภายในร่างกาย และช่วยให้ร่างกายได้ประโยชน์จากมัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้ดื่มชาเขียว 2-3 แก้วต่อวัน หรือทำก้อนน้ำแข็งชาเขียว ด้วยการเทชาเขียวใส่ช่องทำน้ำแข็ง แล้วทิ้งไว้ในตู้เย็นไม่กี่ชั่วโมง
8.อะโวคาโด
อะโวคาโดอุดมไปด้วยเส้นใย และให้สารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ โพแทสเซียม แมกนีเซียม โฟเลต และวิตามินซี คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลต่ำ อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง และมีกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ลดความอยากกินอาหารว่างในระหว่างวัน เพียงแค่ทานอะโวโด ¼ ถ้วย ก็สามารถขจัดไขมันหน้าท้องได้แล้วค่ะ
9.ทานไข่
ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน รับประทานไข่เป็นอาหารเช้าช่วยเพิ่มพลัง ไข่ยังมีคุณสมบัติช่วยขจัดไขมันหน้าท้อง เนื่องจากไข่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 มีประโยชน์ช่วยสลายเซลล์ไขมันได้เป็นอย่างดี ยังมีวิตามินดีที่ช่วยเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร จึงเป็นที่ทราบกันดีว่าไข่มีบทบาทสำคัญในเรื่องการเผาผลาญไขมัน
10.อย่าลืมทานเส้นใย
เมื่อคุณทานไฟเบอร์ปริมาณ 10 กรัมทุกวัน หน้าท้องของคุณก็จะมีไขมันน้อยลงไป 4% ถ้าคุณสนุกกับการทานอาหารแต่เพิ่มการทานเส้นใยเข้าไปในร่างกายด้วย: แอปเปิล 2 ลูก, ถั่วพินโต ½ ถ้วย, อาร์ติโชค (Artichoke) 1 หัว หรือบล็อกโคลี่ 2 ถ้วย ก็จะทำให้คุณได้รับไฟเบอร์ในปริมาณ 10 กรัมแล้วค่ะ
11.ถั่วและเมล็ดพืช
ถั่วมีโปรตีนมากและมีประโยชน์เพื่อสุขภาพสำหรับการสร้างร่างกายให้แข็งแรง คุณสามารถทานได้ทั้ง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วพีแคน ถั่ววอลนัท เมล็ดสน ถั่วเฮเซลนัท ถั่วลิสง ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วลันเตา และเม็ดมะม่วงหิมพานต์แห้ง หรือเลือกเมล็ดฟักทอง และเมล็ดทานตะวันได้เช่นกัน
12.ลดการทานเค็ม
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือ เพราะโซเดียมที่อยู่ในเกลือ จะดูดของเหลวเข้ามาเก็บไว้ในตัวมันเอง เป็นสาเหตุทำให้ตัวบวม โดยเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือน ลองเปลี่ยนจากการทานเกลือเป็นเครื่องเทศอื่นๆอย่างเช่น พริกไทย สมุนไพร น้ำส้มสายชู และมะนาวแทนจะดีกว่าค่ะ
13.อย่ากิน..!!!
อาหารทอด ผลิตภัณฑ์นมจากแลกโทส (นม โยเกิร์ต คอทเทจชีส) ขนมปังขาว น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ผลไม้กระป๋อง ผักแห้ง หมากฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมอบ พาสต้า ข้าวขาว และแป้งข้าวสาลีซีโมลินา (Semolina)
14.งดทานขนมกรุบกรอบ
เลือกทานอาหารที่จำเป็นต่อการเผาผลาญแคลอรีตลอดทั้งวัน แล้วให้เลี่ยงขนมระหว่างมื้ออาหาร หากมีแนวโน้มว่าจะทานอาหารมากเกินไปเวลาที่ทานอาหารในแต่ละมื้อ
15.อย่าเครียด
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าความเครียดมีผลกระทบเชิงลบต่อร่างกายของเรา เวลาที่เราเครียด เรามักจะกินมากขึ้นตามไปด้วย
16.เดิน
พยายามเดินให้ได้วันละ 30 นาที เพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารไขมันรอบเอวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
17.วิ่ง
ถ้าคุณต้องการหลุดพ้นจากความน่าเบื่อในการออกกำลังกายแบบเดียวกันทุกครั้ง คุณสามารถลองเพิ่มการออกกำลังกาย หรือเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกาย อย่างเช่น “วิ่ง” เพื่อให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น และขจัดไขมันส่วนเกิน ได้มากกว่าการเดิน
18.อย่าทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนนอน
เวลาที่คุณหลับร่างกายจะไม่สามารถเผาผลาญร่างกายได้อย่างเต็มที่ อาหารที่คุณเพิ่งทานก่อนนอนไปจะถูกเก็บสะสมกลายเป็นไขมัน