โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา! รัฐแก้ปัญหา “ฝุ่น” ยังไงก็โดนด่า แล้วตกลงต้องทำยังไง?

Another View

เผยแพร่ 07 ก.พ. 2562 เวลา 01.00 น.

โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา! รัฐแก้ปัญหา “ฝุ่น” ยังไงก็โดนด่า แล้วตกลงต้องทำยังไง?

เรื่องฝุ่นยังไม่หายชาวเน็ตก็ตีกันวุ่นวายไม่จบนอกจากฝุ่นพิษที่ถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆรัฐบาลไทยก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงไม่แพ้กันในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษชนิดที่ผู้เขียนเองแม้ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของรัฐบาลยังออกจะสงสารว่าเกิดเป็นนายกบ้านเรานี่มันยากเหมือนกัน! อยากจะขยับแก้ปัญหาอะไรยากที่จะมีคนเห็นใจสุดท้ายก็จะถูกขุดเรื่องที่เคยทำแล้วไม่ถูกใจขึ้นมาพูดอยู่ดี  เรียกได้ว่าโดนด่าตั้งแต่ยังไม่ได้ลอง ทั้งที่หลาย ๆ นโยบายก็ฟังดูเข้าท่า ถ้าได้ดำเนินการอย่างสม่ำเสมออาจจะดีก็ได้ แต่หลาย ๆ ฝ่ายก็ดูจะไม่ฟังสักเท่าไหร่

เครดิตภาพ: https://www.thaipost.net/main/detail/28420
ปิดโรงเรียน = โอ้ย!ใครจะเลี้ยงลูก?
ทั้งที่นโยบายนี้ดีทั้งในแง่ลดความตึงเครียดของการจราจรที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกรูกันขับรถไปรับไปส่งลูก ซึ่งนี่คือสาเหตุอย่างหนึ่งที่มีส่วนอย่างมากต่อปัญหาฝุ่นพิษในกรุงเทพ  ทั้งในแง่สุขภาพพลานามัยของเด็ก ๆ ที่อ่อนแอกว่าเราและยังระมัดระวังน้อย ดูแลตัวเองได้ไม่ดี  หากต้องมาเผชิญสภาพฝุ่นที่รุนแรงก็อาจเจ็บป่วยและส่งผลกระทบไปยังผู้ใหญ่ที่ต้องมาดูแล พร้อมกันนั้น  นายกฯ ก็กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด กระทรวงศึกษาธิการเองก็ตั้งคณะกรรมการศูนย์ประสานงานเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขึ้นมาเพื่อเกาะติดวิกฤติฝุ่นของโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงทุกวันโดยมีภารกิจจะต้องให้โรงเรียนรายงานสถานการณ์ฝุ่นไม่เกิน 15.00 น. ของทุกวัน ซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมทุกด้านและทันใจ ปลอดภัยกับเด็ก ๆ ถ้าหากทำได้จริง ถือได้ว่าเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาจุดนี้

นอกจากนี้อาจกล่าวได้ง่าย ๆ ว่า การหยุดการเรียนการสอน ยังช่วยลดระยะเวลาที่ประชาชนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่จะต้องออกจากบ้านมาสู้ฝุ่นในช่วงเวลาเช้าซึ่งความหนาแน่นของฝุ่นรุนแรงมากที่สุด
ฟังแล้วก็ดูจะดีกว่าเสีย  แต่อย่างที่บอกนายกไทยทำอะไรก็โดนด่า ไม่เกิน 2 วันหลังจากนั้นก็มีผู้ปกครองบางส่วนออกมาโวยว่าแบบนี้ ใครจะเลี้ยงลูก! เพิ่มภาระ! ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกว่า ฝุ่นเนี่ยมันหน้าที่รัฐบาลเขาก็รับผิดชอบ แต่ลูกหลานมันคือหน้าที่ของคุณอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมเรื่องนี้รัฐบาลกลายเป็นคนรับเคราะห์ล่ะ?
ปิดโรงงาน = ไหนบอกไม่เจอควันดำ?

โรงงานอุตสาหกรรม คือ ต้นกำเนิดใหญ่อีกอย่างของฝุ่นพิษ ถ้าได้พักการทำงานไปซะบ้าง ก็น่าจะดีกับสถานการณ์โดยรวม เพราะควันนั้นมากเหลือเกิน มากจนช่วงแรกที่มีการลงพื้นที่ไปตรวจกันยันโรงงานแล้วมีข่าวว่าไม่เจอควัน ก็โดนด่าจนหนาหูว่า ไม่เจอได้ยังไงกัน
พอวันนี้รัฐบาลออกมาประกาศว่าหลังจากตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100,000 โรงงาน พบโรงงานที่มีความเสี่ยง 1,700 โรงงาน และโรงงานที่ต้องปิดปรับปรุงมาตรฐาน จำนวน 600 โรงงาน ส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่ต้องใช้ทั้งแก๊สและถ่านหิน ซึ่งก็ขอให้หยุดดำเนินงานไปก่อนและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

ผู้เขียนเห็นด้วยกับนโยบายนี้เป็นอย่างมาก เพราะฝุ่นควันที่โรงงานปล่อยสู่อากาศมีจำนวนมาก หากหยุดดำเนินการเป็นหลักร้อยแน่นอนว่าสถานการณ์เรื่องฝุ่นน่าจะดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเพราะแหล่งกำเนิดคือโรงงานซึ่งอยู่กระจาย ๆ กันออกไปหยุดสร้างกันฝุ่นสักพัก 

แต่ก็นั่นล่ะ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านคอมเมนต์การเมืองในบ้านเราก็มาออกตัวแรงกันตามช่องทางต่าง ๆ อย่างอุ่นหนาฝาคั่งว่า นี่ไงสุดท้ายก็ออกมายอมรับว่าเจอแล้ว ไหนบอกไม่มีควันดำ จะปิดทำไม!

ก็สุดท้ายเจอแล้ว สั่งปิดแล้ว ปิดพร้อมกันตั้งครึ่งพันโรงงานทีเดียวด้วย ยังไม่ถือว่าแก้ปัญหาอีกหรือ?

มิหนำซ้ำ คนโรงงานบางส่วนยังออกโรงด่ากันเต็มสูบว่า ฉันเสียรายได้!  เขียนมาถึงตรงนี้ก็เหนื่อยอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่นายก ก็หน้ามืดจนต้องร้องหายาดมยาหอมแล้ว

เครดิต: https://workpointnews.com/2019/02/06

ทุกภาคส่วนล้วนต้องช่วยกันสิ

จริงอยู่ในช่วงแรกรัฐบาลดูนิ่งเฉย ยังขยับตัวช้าไม่แน่ใจว่าเกิดจากเรื่องข้อมูลหรือประเด็นไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหมือนภาครัฐขยับ ภาคเอกชนและประชาชนก็ควรจะรับลูกหรือทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ทำเท่าที่เราทำได้เหมือนกัน แล้วก็ต้องพิจารณานโยบายของภาครัฐอย่างเป็นกลางบ้าง อะไรที่มันขัดใจอาจจะต้องเปิดใจหน่อย เพราะสุดท้ายปลายทางคือความอยู่รอดของเราทุกคน   เพราะหากฝุ่นก่อนนี้มันกระทบไปมาก ๆ เข้า  ไม่ใช่แค่นายกจะอยู่ให้เราไล่หรือไม่ เราเองก็อาจจะไม่มีเรี่ยวแรงไปไล่นายกแล้ว 

พอเกิดวิกฤติขึ้นมา ทางรอดทางเดียวคือเราต้องจับมือกัน ถึงเวลานั้นจะมาวิพากษ์วิจารณ์กันยังไม่สาย เพราะอย่างน้อยก็ยังรักษาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่โดยรวมไว้อยู่

ยอมรับเถิดว่าปัญหานี้ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ได้ฝ่ายเดียว และการเอาแต่วิจารณ์ด้วยอารมณ์มักไม่นำไปสู่การแก้ไขอะไรเลย 

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://mgronline.com/politics/detail/9620000004843
http://www.newtv.co.th/news/27649

https://www.thaipost.net/main/detail/28420

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0