วายแอลจีเผย ราคาทอง ปีนี้พุ่งแรงทะลุแนวต้านแรกที่เคยคาดไว้ มองเป้าหมายต่อไป หลังผ่านบริเวณ1,616 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีสิทธิ์ทะยานต่อยังเป้าถัดไปที่1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ25,500 บาทต่อบาททองคำ ชี้ปัจจัยหนุนราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งแรงมาจากความกังวลการระบาดไวรัสCOVID19 ที่จะกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง ปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ยังยืดเยื้อ และเงินบาทที่อ่อนค่าจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมแนะจังหวะเข้าลงทุน ที่แนวรับ1,545 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,100 บาทต่อบาททองคำ
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ ราคาทอง ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ7 ปีว่า ภาพรวมในปีนี้ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น หลังจากผ่านบริเวณ1,616 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของราคาทองคำในเดือน มี.ค. ปี2556 และเป็นกรอบแนวต้านแรกของปีนี้ที่YLG เคยประเมินไว้ ทำให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อโดยจะมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
หากผ่านได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ในโซน1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนระดับสูงสุด ของราคา ช่วงเดือน ก.พ. ,ก.ย. และ ต.ค. ปี2555 และเป็นจุดที่ราคาทดสอบหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถผ่านได้
ส่วน ราคาทอง ในประเทศคาดว่าจะยังคงได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท เนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่กระทบต่อกำลังซื้อของเกษตรกร การระบาดของไวรัสCOVID-19 ที่กระทบต่อภาคท่องเที่ยงหลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหายไป ซึ่งส่งผลให้ GDP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบของการอ่อนค่า จึงเพิ่มโอกาสที่ราคาทองคำในประเทศจะแตะระดับ 25,500-27,000 บาทต่อบาททองคำภายในปีนี้
“ปีนี้เป็นปีที่ราคาทองคำทะยานขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี โดยราคาทองคำในตลาดโลก หรือ Gold Spot ปรับตัวสูงขึ้น118 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น7.78 % จากราคาเปิด1,517 สู่ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ1,635 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ7 ปี โดยทองคำได้รับปัจจัยบวกหลายเรื่องในปีนี้ ได้แก่ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านในช่วงต้นปี
ล่าสุดเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือCovid 19 ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก กระตุ้นการคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ยปีนี้ ส่วนตลาดบอนด์กลับมาเกิดภาวะinverted yield curve ระหว่างบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ3 เดือน และอายุ10 ปี ซึ่งยิ่งสร้างความวิตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญภาวะถดถอย(Recession)ในอนาคต
ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ ราคาทอง ในตลาดโลกที่พุ่งขึ้น แต่ราคาทองคำในประเทศได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเนื่องจาก กนง. ลดดอกเบี้ย0.25% สู่ระดับ1.00% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์หลังเศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน จึงมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีกในอนาคต จากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทจึงทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้น2,800 บาทต่อบาททองคำ หรือ +12.93% จากราคาเปิดที่21,650 บาทต่อบาททองคำ สู่ระดับ24,450 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่2 ม.ค.ปี2556 หรือสูงสุดในรอบกว่า7 ปี” นางพวรรณ์ กล่าว(อัพเดทราคา ณ วันที่21 ก.พ. 2020 เวลา14.43 น.)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี2563 สามารถหาจังหวะเข้าซื้อใกล้บริเวณแนวรับ1,545 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,100 บาทต่อบาททองคำ และทยอยแบ่งพอร์ตเพื่อขายทำกำไรเป็นระยะ โดยขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน1,700-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ25,500-27,000 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ดี หากหลุดแนวรับ1,545 ดอลลาร์ต่อออนซ์ควรตัดขาดทุบางส่วน แล้วถอยจุดซื้อไปยังแนวรับถัดไปบริเวณ1,445 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,600 บาทต่อบาททองคำ
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง :หุ้นชิ้นส่วนรถยนต์ ทรุดหนักสิ้นสภาพ Detroit แห่งเอเชีย