โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

รายงานล่าสุดเผย! ลงทุนพลังงานสะอาดดัน GDP โลกโต 0.23% ไทยคว้าโอกาสอย่างไร-พร้อมแค่ไหน?

เดลินิวส์

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว • เดลินิวส์
รายงานล่าสุดเผย! ลงทุนพลังงานสะอาดดัน GDP โลกโต 0.23% ไทยคว้าโอกาสอย่างไร-พร้อมแค่ไหน?
รายงานล่าสุดจาก OECD ชี้ GDP โลกอาจโต 0.23% ภายในปี 2040 หากหนุนพลังงานสะอาด-เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลายประเทศยังคงลังเลที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยเกรงว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือเป็นอุปสรรคต่อการเงินของประเทศ นอกจากนี้ อิทธิพลจากนโยบายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่กลับลำมาให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายประเทศยังคงต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานแบบดั้งเดิมและชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดจาก The Guardian สหราชอาณาจักร ซึ่งอ้างอิงงานวิจัยของ ‘องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ’ (OECD) และ ‘โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ’ (UNDP) ได้เผยให้เห็นว่า หากรัฐบาลทั่วโลกตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและเดินหน้าปฎิบัติอย่างจริงจัง จะส่งผลให้ GDP โลกเพิ่มขึ้นสุทธิ 0.23% ภายในปี 2040 และจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น ประเทศไทยเองก็จำเป็นจะต้องปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อไม่ให้ตกขบวนเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังคาดการณ์ว่า ในระยะสั้น การลงทุนในนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะช่วยให้ประชากรกว่า 175 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศกำลังพัฒนา ส่วนในระยะยาว GDP ต่อหัวของประเทศที่พัฒนาแล้วอาจเพิ่มขึ้นถึง 60% ภายในปี 2050 ขณะที่ประเทศรายได้ต่ำอาจเติบโตถึง 124% เมื่อเทียบจากปี 2025

ในทางกลับกัน หากไม่ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบที่ตามมาอาจทำให้ GDP โลกหดตัวลงถึงหนึ่งในสาม ภายในศตวรรษนี้

“หลักฐานที่เรามีตอนนี้ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจถดถอย ตรงกันข้าม เรายังเห็นการเติบโตของ GDP อย่างต่อเนื่อง แม้จะดูเล็กน้อยในตอนแรก แต่จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะยาว” ‘อัคคิม สไตเนอร์’ (Achim Steiner) เลขาธิการบริหารของ UNDP กล่าว

เช่นเดียวกันกับ ‘ไซมอน สติเอลล์’ (Simon Stiell) หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ ที่ได้ออกโรงเตือนว่า หากยุโรปยังคงเพิกเฉยต่อการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น เศรษฐกิจของภูมิภาคอาจต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยสภาพอากาศที่แปรปรวนจะส่งผลให้ GDP ของยุโรปลดลง 1% ภายในช่วงกลางศตวรรษ และอาจร่วงลงถึง 2.3% ต่อปีภายในปี 2050 ซึ่งเทียบได้กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกปี โดยสติเอลล์ย้ำว่า หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาสองทศวรรษ เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปอาจล่มสลาย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ในอีกแง่มุมหนึ่ง แม้ว่านโยบาย Net Zero และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก ทว่าข้อมูลจากองค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (Irena) กลับแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการลงทุนในพลังงานสะอาด โดยในปี 2023 ความสามารถในการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 15% ซึ่งสองในสามของการเติบโตที่ว่านี้ มาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตพลังงานสีเขียว

สำหรับประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา และได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไม่มีมาตรการเชิงรุกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ประเทศอาจเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งรัฐและเอกชนควรมองหาแนวทางในการปรับตัว เช่น

  • กำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจน
    รัฐบาลต้องตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกำหนดมาตรการที่สอดคล้องกับแนวโน้มโลก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน
  • ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด
    ข้อมูลจากองค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (IRENA) ระบุว่า ในปี 2023 การผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 15% โดยจีนเป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว หากไทยต้องการแข่งขันในตลาดพลังงานโลกได้อย่างทัดเทียม จำเป็นต้องเร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • สนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมให้ปรับตัว
    การปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากภาครัฐเป็นสำคัญ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจที่ใช้พลังงานสะอาด หรือการออกมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • พัฒนาทักษะแรงงานและสร้างงานใหม่
    งานวิจัยระบุว่า ในปี 2023 อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมีการจ้างงานลดลง หากไทยต้องการเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่ จำเป็นต้องพัฒนาแรงงานให้มีทักษะที่สอดคล้องกับตลาดงานแห่งอนาคต
  • เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศสุดขั้ว
    ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง รัฐบาลจึงต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ทั้งหมดนี้ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวถือเป็นโอกาสสำคัญที่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว หากประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเอง สามารถปรับตัวและดำเนินนโยบายที่เหมาะสม จะสามารถลดความเสี่ยงจากวิกฤตภูมิอากาศและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจในวันนี้ ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า