ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลายประเทศยังคงลังเลที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยเกรงว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือเป็นอุปสรรคต่อการเงินของประเทศ นอกจากนี้ อิทธิพลจากนโยบายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่กลับลำมาให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายประเทศยังคงต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานแบบดั้งเดิมและชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดจาก The Guardian สหราชอาณาจักร ซึ่งอ้างอิงงานวิจัยของ ‘องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ’ (OECD) และ ‘โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ’ (UNDP) ได้เผยให้เห็นว่า หากรัฐบาลทั่วโลกตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและเดินหน้าปฎิบัติอย่างจริงจัง จะส่งผลให้ GDP โลกเพิ่มขึ้นสุทธิ 0.23% ภายในปี 2040 และจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายในปี 2050
นั่นหมายความว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น ประเทศไทยเองก็จำเป็นจะต้องปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อไม่ให้ตกขบวนเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังคาดการณ์ว่า ในระยะสั้น การลงทุนในนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะช่วยให้ประชากรกว่า 175 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศกำลังพัฒนา ส่วนในระยะยาว GDP ต่อหัวของประเทศที่พัฒนาแล้วอาจเพิ่มขึ้นถึง 60% ภายในปี 2050 ขณะที่ประเทศรายได้ต่ำอาจเติบโตถึง 124% เมื่อเทียบจากปี 2025
ในทางกลับกัน หากไม่ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบที่ตามมาอาจทำให้ GDP โลกหดตัวลงถึงหนึ่งในสาม ภายในศตวรรษนี้
“หลักฐานที่เรามีตอนนี้ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจถดถอย ตรงกันข้าม เรายังเห็นการเติบโตของ GDP อย่างต่อเนื่อง แม้จะดูเล็กน้อยในตอนแรก แต่จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะยาว” ‘อัคคิม สไตเนอร์’ (Achim Steiner) เลขาธิการบริหารของ UNDP กล่าว
เช่นเดียวกันกับ ‘ไซมอน สติเอลล์’ (Simon Stiell) หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ ที่ได้ออกโรงเตือนว่า หากยุโรปยังคงเพิกเฉยต่อการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น เศรษฐกิจของภูมิภาคอาจต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยสภาพอากาศที่แปรปรวนจะส่งผลให้ GDP ของยุโรปลดลง 1% ภายในช่วงกลางศตวรรษ และอาจร่วงลงถึง 2.3% ต่อปีภายในปี 2050 ซึ่งเทียบได้กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกปี โดยสติเอลล์ย้ำว่า หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาสองทศวรรษ เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปอาจล่มสลาย
ในอีกแง่มุมหนึ่ง แม้ว่านโยบาย Net Zero และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก ทว่าข้อมูลจากองค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (Irena) กลับแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการลงทุนในพลังงานสะอาด โดยในปี 2023 ความสามารถในการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 15% ซึ่งสองในสามของการเติบโตที่ว่านี้ มาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตพลังงานสีเขียว
สำหรับประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา และได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไม่มีมาตรการเชิงรุกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ประเทศอาจเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งรัฐและเอกชนควรมองหาแนวทางในการปรับตัว เช่น
- กำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจน
รัฐบาลต้องตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกำหนดมาตรการที่สอดคล้องกับแนวโน้มโลก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน - ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด
ข้อมูลจากองค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (IRENA) ระบุว่า ในปี 2023 การผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 15% โดยจีนเป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว หากไทยต้องการแข่งขันในตลาดพลังงานโลกได้อย่างทัดเทียม จำเป็นต้องเร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล - สนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมให้ปรับตัว
การปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากภาครัฐเป็นสำคัญ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจที่ใช้พลังงานสะอาด หรือการออกมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม - พัฒนาทักษะแรงงานและสร้างงานใหม่
งานวิจัยระบุว่า ในปี 2023 อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมีการจ้างงานลดลง หากไทยต้องการเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่ จำเป็นต้องพัฒนาแรงงานให้มีทักษะที่สอดคล้องกับตลาดงานแห่งอนาคต - เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศสุดขั้ว
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง รัฐบาลจึงต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ทั้งหมดนี้ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวถือเป็นโอกาสสำคัญที่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว หากประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเอง สามารถปรับตัวและดำเนินนโยบายที่เหมาะสม จะสามารถลดความเสี่ยงจากวิกฤตภูมิอากาศและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจในวันนี้ ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า