"จีน" เตรียมลดเป้าหมายเงินเฟ้อสู่ระดับต่ำสุดรอบ 20 ปี พร้อมเปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐ
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2658 สำนักข่าว CNBC รายงานว่า จีนเตรียมประกาศแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางความต้องการภายในประเทศที่ลดลง และแรงกดดันจากสงครามการค้ากับสหรัฐ โดยจีนคาดว่าจะยอมรับการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รอคอยมานาน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น
การประชุมใหญ่ประจำปีของจีน หรือ "สองสภา" (Two Sessions) จะเริ่มขึ้นในวันอังคาร โดยจะเปิดด้วยการประชุมของสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (Chinese People’s Political Consultative Conference) ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาระดับสูงของประเทศ จากนั้นจึงเป็นการประชุมของสภานิติบัญญัติ สภาประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress - NPC)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประชุมนี้มักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และมักจะปิดท้ายด้วยการแถลงข่าวโดยรัฐมนตรีต่างประเทศและหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ
จีน เตรียมปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี
ในการประชุมเปิดของ NPC คาดว่า จีนจะปรับลดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภครายปีลงเหลือประมาณ 2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี จากเดิมที่อยู่ที่ 3% หรือมากกว่า ในปีก่อน ๆ ตามข้อมูลจาก Asia Society Policy Institute ซึ่งการปรับลดดังกล่าวสะท้อนถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา โดยเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่นี้ จะถูกใช้เป็นเพดานมากกว่าการตั้งเป้าหมายให้บรรลุได้จริง
แลร์รี ฮู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก Macquarie กล่าวว่า จีนเผชิญกับแรงกดดันด้านภาวะเงินฝืด โดย Real GDP เติบโตเร็วกว่าตัวเลขที่เป็นมูลค่าทางการเงิน (Nominal GDP) เป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกันจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567
ในปี 2566 และ 2567 อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในขณะที่ราคาผู้ผลิตลดลงต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ปี
นักวิเคราะห์คาด "ภาวะเงินฝืด" จะคงอยู่ต่อไป
โรบิน ซิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก Morgan Stanley กล่าวเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ว่า "สมมติฐานของเราคือ ภาวะเงินฝืดจะยังคงอยู่ต่อไป" โดยเสริมว่า จีนอาจไม่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจนกว่าจะถึงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจากความไม่พอใจของประชาชนต่อภาวะเศรษฐกิจอาจทวีความรุนแรงขึ้น
ในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สร้างความเซอร์ไพรส์ ซึ่งนำไปสู่การฟื้นตัวของตลาดหุ้น นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกระตุ้นอีกครั้งหลังจากที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้จัดประชุมกับผู้ประกอบการ รวมถึง แจ็ค หม่า แห่ง Alibaba และเหลียง เหวินเฟิง จาก DeepSeek เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
Macquarie คาดว่าจีนจะตั้งงบประมาณขาดดุลที่ 4% ของ GDP ในปีนี้ ซึ่งสูงขึ้นจาก 3% ในปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่สำคัญ เนื่องจากรัฐบาลจีนหลีกเลี่ยงการขาดดุลเกิน 3% มานานหลายปี
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าจีนจะเพิ่มโควตาการออกพันธบัตรอธิปไตยพิเศษ (Special Sovereign Bonds) เป็น 3 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 410,000 ล้านดอลลาร์) จากเดิมที่ 1 ล้านล้านหยวนในปี 2567 รวมถึงเพิ่มโควตาการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นพิเศษจาก 3.9 ล้านล้านหยวน เป็น 4.5 ล้านล้านหยวน
เป้าหมาย GDP ที่ 5% และแรงกดดันจากสหรัฐ
ทั้งนี้คาดว่าจีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ไว้ที่ประมาณ 5% เช่นเดียวกับสองปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของสี จิ้นผิง ที่ต้องการให้ขนาดเศรษฐกิจจีนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2563 ภายในปี 2578 อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เตือนว่าจีนจะไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐ
ในขณะที่รัฐบาลจีนต้องรับมือกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มภาษีสินค้าจีนอีก 10% และอาจมีมาตรการภาษีเพิ่มเติมภายในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของจีนที่ยังคงเป็นจุดแข็งเดียวที่เหลืออยู่ของเศรษฐกิจจีน
โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัว 5% ในปี 2567 แต่การเติบโตของยอดค้าปลีกลดลงอย่างมาก จาก 7.1% ในปี 2566 เหลือ 3.4% นอกจากนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีปัญหา โดยการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ลดลง 10.6%
เต๋า หวัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก UBS Investment Bank กล่าวว่า รัฐบาลจีนมีแนวโน้มจะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภค เป็นนโยบายหลักในการประชุม NPC
โดยแนวทางกระตุ้นการบริโภคของจีน ได้แก่ โครงการเปลี่ยนสินค้ารุ่นเก่า ขยายให้ครอบคลุมสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า, เงินอุดหนุนครอบครัวที่มีบุตรเล็ก และเพิ่มเงินบำนาญและสวัสดิการประกันสังคม คาดว่าจีนจะเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการเหล่านี้มากกว่า 2 เท่า เป็นกว่า 300,000 ล้านหยวน
นอกจากนี้จีนกำลังร่างกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุนธุรกิจเอกชน เช่น ห้ามการเรียกเก็บค่าปรับโดยพลการจากธุรกิจเอกชน และช่วยให้บริษัทเอกชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
นักวิเคราะห์เชื่อว่าการที่ แจ็ค หม่า และนักธุรกิจเทคโนโลยีรายอื่นเข้าพบสี จิ้นผิง เป็นสัญญาณว่า การควบคุมภาคเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนกำลังผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม การปราบปรามการทุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่า 40 คน ถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่ปี 2566
อ้างอิง : cnbc.com