โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อาชญากรรม

ศาลแพ่งพิพากษา ตร.ชน “หมอกระต่าย”

THE ROOM 44 CHANNEL

เผยแพร่ 26 มี.ค. เวลา 08.18 น.

ศาลแพ่งพิพากษา ตร.ชน “หมอกระต่าย”

ที่ศาลแพ่ง วันที่ 26 มี.ค.2567 ว่า ศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีที่ นายแพทย์อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล พ่อแม่หมอกระต่าย เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สิบตำรวจตรีนรวิชญ์ บัวดก ตำรวจควบคุมฝูงชน จำเลย 1-2 ให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน 72 ล้านบาท

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นบิดามารดาของ แพทย์หญิง วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล (หมอกระต่าย) ผู้ตาย จำเลยที่ 2 เป็นตำรวจ ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1บก.อคฝ)

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. จำเลยที่ 2 ขณะปฏิบัติหน้าที่รับเอกสารราชการไปส่งให้แก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ 1 ได้ขับรถจักรยานยนต์ ออกจาก บชน. ด้วยความเร็วประมาณ 108 – 128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในระยะไม่ถึง 30 เมตรแล้วชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามทางม้าลายบริเวณหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินท์ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ไม่ให้การช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุประมาณ 30 – 60 นาที และจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแล กำกับการปฏิบัติงาน และธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมายในการปฏิบัติงาน ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

และไม่จัดให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการฝึกอบรมขับรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนท้องถนน ละเลยไม่จัดทำมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุตรงทางม้าลาย อันเป็นผลโดยตรงทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนั้น พวกจำเลยต้องชดใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน 539,493 บาท กับค่าขาดไร้อุปการะ 72,266,301 บาท

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 แบ่งส่วนราชการออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วไปที่จะควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาส่วนราชการและข้าราชการตำรวจในสังกัดจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และนโยบายของจำเลยที่ 1 ในภาพรวม โดยมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตนธำรงไว้ซึ่งวินัยของข้าราชการ การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประพฤติตนธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ใช้รถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ไม่มีประกันภัยตาม พรบ.ฯไม่เสียภาษีประจำปี ไม่ติดกระจกมองข้างและขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยและพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 2 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา เพิ่มเติมว่า ขับรถจักรยานยนต์ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย ขับรถไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทาง นำรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ในทาง นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่จัดให้มีประกันพรบ.มาใช้ในทาง ใช้รถที่ไม่มีกระจกมองข้าง ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และขับรถจักรยานยนต์ในทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมาย

พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา พิพากษา ลงโทษจำคุก ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อพฤติกรรมการขับขี่และใช้รถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ที่ขาดความสำนึกรู้ผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาวินัยจราจร และปฎิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ควบคุม เสริมสร้างความประพฤติ และวินัยข้าราชการตำรวจ

ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรมีหน้าที่ดูแลการจราจร รักษาความปลอดภัยบนท้องถนนให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งและนโยบายเป็นหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เพียงหน่วยงานเดียว เมื่อเหตุคดีนี้เกิดจากที่จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดขับรถจักรยานยนต์ชนผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งเป็นนิติเหตุอันเป็นความรับผิดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่อาจให้สัตยาบันเข้ารับเอาผลการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสอง

ดังนั้น เหตุคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 "โดยลำพังเพียงคนเดียว " จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง "เป็นการเฉพาะตัว" ที่ให้ผู้กระทำละเมิด

ศาลจะต้องพิเคราะห์ถึงค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายตามจารีตประเพณีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดา สมควรให้ชดใช้ค่าปลงศพรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 331,230 บาท

สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ เห็นว่า ตาม ปพพ. การกำหนดค่าสินไหมตามฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนรายได้ของผู้ตายและระยะเวลาในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูหากผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ขณะเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 มีอายุ 64 ปีเท่ากัน มีโอกาสได้รับการอุปการะไม่น้อยกว่า 15 ปี ผู้ตายอายุ 33 ปี ประกอบวิชาชีพจักษุแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขา ตำแหน่งนายแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2564 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,000 บาท และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เดือนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 31,000 บาท หากอยู่เวรนอกเวลาจะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1,200 บาทและมีโอกาส เลื่อนเงินเดือนสูงขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้น ผู้ตายทำงานนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง มีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,800,000 บาท ถึง 2,400,000 บาท เมื่อมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากขึ้น ก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นเป็น 3 ถึง 5 เท่า ซึ่งสอดรับกับคำเบิกความของนายแพทย์อดิศัย วราดิศัย จักษุแพทย์ด้านจอประสาทตาว่า หากแพทย์มีอายุการทำงานมากขึ้น มีชื่อเสียง ทำงานหลายแห่ง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 300,000 -500,000 บาทหรือมากกว่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากผู้ตายมีชีวิตอยู่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน เมื่อคำนึงถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ แม้จะมีรายได้จากเงินเดือน แต่อยู่ในวัยชรา มีปัญหาสุขภาพ ศาลจึงกำหนดให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด คนละ 13,500,000 บาท และ 13,500,000 บาท ตามลำดับ

โดยศาลพิพากษาให้ จำเลยที่ 2 ใช้ค่าจัดการศพ 331,230 บาทแก่โจทก์ทั้งสอง ให้ใช้ค่าขาดไร้อุปการะ 13,500,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 13,500,000 บาทแก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 27.3ล้านบาท

มีรายงานว่าหลังมีคำพิพากษาศาลได้ออกคำบังคับให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ต้องไปขอหมายบังคับคดี และสืบทรัพย์เพื่อยึดอายัด บังคับตามคำพิพากษาต่อไป หรือทางโจทก์กับจำเลยอาจจะอุทธรณ์ในประเด็นอื่นๆก็อาจเป็นไปได้ทั้งสิ้น.

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0