นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ในปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมที่จำนวน 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 60% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยบวก ในหลายๆด้าน ปัจจัยแรก คือ นโยบายรัฐในการเร่งพัฒนา อี- กัฟเวอร์เมนต์ เซอร์วิส เพื่อรองรับบริการประชาชน ในยุคนิวนอร์มัล จะส่งผลดีต่อธุรกิจทางด้าน ดิจิทัล ไอซีที โซลูชั่น ของกลุ่มสามารถเทลคอม ซึ่งมีความชำนาญใน การเสนอบริการโซลูชั่นต่างๆ ให้ภาครัฐ โดยปัจจุบันกลุ่มสามารถเทลคอมมีมูลค่างานในมือ (แบล็กล็อก) จำนวน 7,200 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายได้โครงการใหม่ในปีนี้ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท
ส่วนปัจจัยที่สอง คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการเดินทางจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังโควิดคลี่คลาย ซึ่งกลุ่มสามารถยูทรานส์ ที่ให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศที่ประเทศกัมพูชา มีแนวโน้มการเพิ่มขึ้น ของรายได้ อย่างชัดเจน หลังกัมพูชาได้เปิดให้มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ตั้งแต่เดือน พ.ย ปีที่แล้ว ผ่านสนามบินนานาชาติ ทั้ง 3 แห่ง รวมถึงกัมพูชาจึงมีแผนที่จะเปิดให้บริการ สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ 3 แห่ง
นายวัฒน์ชัย กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยที่สาม คือ ความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการพื้นฐานในประเทศ ทั้งด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งบริษัทเทด้า ในกลุ่มสามารถ มีความเชี่ยวชาญการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า การวางสายส่งไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือกว่า 3,300 ล้านบาท และคาดหมายว่าจะได้งานเพิ่ม อีกไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้ สำหรับปัจจัยสุดท้ายคือ การเข้าสู่ชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทจึงมุ่งสู่การเป็น ดิจิทัล ไลฟสไตล์ คอนเทนต์ อย่างเต็มตัว โดยพัฒนาเป็นแอพพลิเคชั่น ดูดวงสดออนไลน์ ดูโหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย และตรียมเปิดตัวออนไลน์เซอร์วิส สำหรับสายบุญ ให้สามารถไหว้พระ บริจาคเงิน แก้บน เสี่ยงเซียมซี บูชาวัตถุมงคลผ่านผ่านออนไลน์ได้กับทุกวัด ทุกสถานที่ศักด์สิทธิ์ โดยไม่ต้องเดินทาง พร้อมเปิดตัวสตาร์ทอัพในไตรมาสสองปีนี้
ทั้งนี้จากปัจจัยบวกข้างต้น บริษัทจึงมั่นใจในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในกลุ่มสามารถทั้งหมด โดยตั้งเป้ารายได้สายธุรกิจ Digital ICT จำนวน 7,000 ล้านบาท, สายธุรกิจ Utilities & Transportation จำนวน 2,500 ล้านบาท, สายธุรกิจ Digital จำนวน 3,000 ล้านบาท และสายธุรกิจอื่นๆ อีกจำนวน 1,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ จะรวมรายได้จากโครงการ Direct Coding ที่จะทยอยรับรู้ในไตรมาสแรกของปีนี้ รวมรายได้ปี 65 ที่ตั้งไว้จำนวน 14,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันกลุ่มสามารถมีมูลค่างานในมือรวมกันกว่า 22,000 ล้านบาท จึงยิ่งเป็นฐานในการสร้างความมั่นคงให้แก่ธุรกิจและความมั่นใจให้แก่นักลงทุน
"การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้บริษัทต้อง Alert ตื่นตัว และ Adapt ปรับตัวตลอดเวลา เพื่อเป้าหมายในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน กลุ่มสามารถผ่านปัญหาและอุปสรรคมามากมาย และทิศทางธุรกิจจากนี้ไป จะสะท้อนให้เกิดการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มสามารถอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” นายวัฒน์ชัย กล่าว
