โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ร่างทรงหมอผี

นิยาย Dek-D

อัพเดต 22 ธ.ค. 2566 เวลา 17.11 น. • เผยแพร่ 22 ธ.ค. 2566 เวลา 17.11 น. • ฮันนี่คนสวย
ร่างทรงหมอผี
เด็กที่ยังไม่ทันได้ลืมตาตั้งแต่ในครรภ์แต่กลับมีสิ่งลี้ลับที่อยากฆ่า พอลืมตาเกิดมาก็มีภารกิจมากมายที่รอ ชีวิตที่ไม่อาจเลือกแต่ไม่สามารถหลีกหนีมันได้ ทุกอย่างกำหนดขึ้นมาแล้ว

ข้อมูลเบื้องต้น

เรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของไรท์ที่สมมุติขึ้นมา เกี่ยวกับร่างทรง หมอผี วิญญาณ ไรท์ยังไม่กำหนดเวลาอัปเดตนิยาย

เหตุการณ์แปลก

ไม่ว่าจะกี่พันปีหรือหลายหมื่นปีผ่านไปคนบางกลุ่มและบางคนยังคงเชื่อสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น หลายคนยังคงเชื่อว่ามีคนที่บอกว่าตัวเองคือร่างทรง ร่างทรงที่ทวยเทพเข้ามาสิงสถิต ร่างทรงเทพคือสิ่งที่นับถือแค่ทวยเทพเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นองค์เทพองค์ใด หลายคนคิดว่าร่างทรงคือหมอผี

แต่มันไม่ใช่

หมอผีที่ยุ่งเกี่ยวกับพวกผีมากมาย ทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือหมอผีบางคนก็ทำสิ่งที่เลวร้ายกว่า หมอผีสามารถเรียนรู้ก็เป็นได้ถ้าได้ฝึกฝนวิชา

แต่ร่างทรงไม่ใช่

ผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะเป็นร่างทรงได้

หญิงสาวอายุยี่สิบปีเกือบสามสิบปีหน้าท้องนูนขึ้นทำให้รับรู้ว่าท้องได้หลายเดือนแล้ว หญิงสาวถือของในมือเดินไปที่ลานจอดรถ ใบหน้าซีดเซียวมีเหงื่อผุดมากมาย

ความจนมันน่ากลัว

ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้ในเมื่อเธอกำลังมีลูกสาวอีกคนอยู่ในท้องและลูกสาวคนโตรออยู่ที่บ้าน

“ระวัง!!!!”

เคร้ง!!!!

เฮือก!!!!

คนท้องตกใจข้างเท้ามีกระถางต้นไม้ตกแตกลงมาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็ไม่เห็นระเบียงเลยมีแค่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง

กระถางต้นไม้มาจากไหน?

มองรอบตัวก็ไม่เห็นมีใครสักคน แล้วใครเป็นคนตะโกน คนท้องได้แต่แปลกใจมันเกิดขึ้นตั้งแต่ได้ท้องลูกคนที่สอง ไม่ว่าจะอุบัติเหตุที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงและเสียงตะโกนบอกเรื่องอันตรายตลอดเวลา

เมื่อไม่รู้สาเหตุก็ได้แต่ปล่อยความคิดไว้รีบกลับบ้านไปหาลูกสาว เมื่อร่างคนท้องจากไปก็มีเงาสีทองเลือนลางเตะเงาสีดำสลายไป

“สัมภเวสีอย่างเจ้าอย่ามาเตะต้องน้องสาวข้านะ!”

เงาสีทองเข้าไปที่รถคนท้องคอยวนเวียนปกป้องเด็กในครรภ์อย่างหวงแหน

ระหว่างขับรถกลับบ้านก็เห็นคนวิ่งตัดหน้ารถด้วยอารมณ์ตกใจก็หักพวงมาลัยแต่แขนกลับไม่สามารถขยับได้ไปตามความคิดมือจับพวงมาลัยแน่นชนคนที่ยืนขวางพอหันไปมองหลังรถกลับไม่มีใคร

ใจหมายมั่นจะลงไปดู

‘อย่าลงไป กลับบ้าน’

เสียงนี้อีกแล้ว

ถึงไม่เห็นตัวตนแต่เชื่อใจในสิ่งที่ได้ยิน สิ่งนี้ปกป้องมาโดยตลอด ไม่เคยทำอันตราย ด้วยอารมณ์กลัวจะเกิดอุบัติเหตุอะไรอีกก็รีบกลับบ้าน

รถขับหายลับไปเงาสีดำก่อตัวมอง

“แม่มาแล้ว!” เด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมวิ่งมากอดขาคนเป็นแม่ ข้างหลังมียายเดินออกมาดู

“กินข้าวยังจ้ะ”

“หนูกินแล้ว ยายทำโจ๊กหมูให้กิน”

“ดีแล้ว งั้นเข้าบ้านกันเถอะ”

แม่พาลูกสาวเข้าบ้านจับอาบน้ำปะแป้งตัวหอมเตรียมตัวรอรถรับส่งพาลูกไปเรียน

ปริ้นนน!!

“รถมาแล้ว มาเร็ว”

ลูกสาวตัวอ้วนกลมวิ่งขึ้นรถรับส่ง คนเป็นแม่ถอนหายใจดีที่วันนี้ลูกสาวไม่ร้องไห้งอแง พอมีเพื่อนก็อยากไปโรงเรียน

ยืนส่งลูกสาวจนลับสายตาถึงเข้าบ้าน

“แม่ หนูได้ยินเสียงช่วยอีกแล้ว”

“แม่ว่าเกสรไปหาร่างทรงกับแม่เถอะ” ยายจิตเป็นแม่ของเกสร ยายจิตเชื่อเรื่องพวกนี้แต่ลูกสาวไม่เชื่อ

“แม่ มันเป็นเรื่องไร้สาระน่า”

“ไม่ไร้สาระ! แล้วแกจะอธิบายยังไงหะที่ได้ยินเสียงตลอดเวลา!” ยายจิตห่วงลูกสาวและหลานในท้อง “แม่รู้จักร่างทรงอยู่วันนี้ไม่ต้องขายของไปหาร่างทรงกับแม่”

“แม่พอเถอะ”

“แกจะปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุแปลกๆอีกรึไง! แกไม่เชื่อแม่ไม่ว่า! แม่ห่วงหลานในท้อง!”

เกสรนิ่งเงียบตอนท้องลูกคนแรกไม่เคยเกิดอุบัติเหตุแปลกๆสักครั้งแต่พอท้องเด็กคนนี้เรื่องแปลกเกิดขึ้นแทบทุกวัน

คิดไปมาลองเชื่อสักครั้งก็ไม่เป็นไร

“หนูจะไปสักครั้ง”

ยายจิตเก็บของที่บ้านให้เรียบร้อยก็ออกไปข้างนอกกับลูกสาว

บ้านร่างทรงที่ยายจิตรู้จักขับรถไปเกือบชั่วโมงถึงจะถึง เป็นบ้านทรงไทยยกสูงที่บันไดมีรองเท้าสิบกว่าคู่ มีรถจอดอยู่หน้าบ้านหลายคัน

เกสรขึ้นไปข้างบนมีชาวบ้านนั่งรออยู่หลายคน ข้างในมีผู้ชายอายุห้าสิบกว่าใส่ชุดลายเสือสีส้มเหมือนพ่อปู่ฤาษี เขามองออกมาแต่สายตาไม่ได้มองที่สองแม่ลูก

“เข้ามาสิ”

เกสรรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้พูดกับตนเองแน่นอน ยายจิตพาลูกสาวต่อคิว

บางคนมาดูดวง มาทำพิธีอะไรสักอย่างเกสรก็ไม่เข้าใจจนเที่ยงกว่าถึงได้คิว

“เขียนวันเดือนปีเกิดใส่กระดาษ”

ลูกศิษย์ข้างกายยื่นสมุดมาให้เกสรเขียนวันเกิดลงไป พ่อปู่รับมาเขียนบางอย่างลงไปจนเต็มหน้ากระดาษ

“แบมือทั้งสองข้าง”

พ่อปู่ไม่ได้จับมือ เกสรก็กลัวว่าจะโดนลวนลามเหมือนในหนังไหมแต่พ่อปู่ไม่ได้แตะตัวเลยโล่งใจ

“เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวฉันรึเปล่าจ้ะ ช่วงนี้เกสรมันชอบได้ยินเสียงคนตลอดและเกิดอุบัติเหตุแปลกๆ” ยายจิตเห็นพ่อปู่เงียบก็เล่าเรื่องให้ฟัง

พ่อปู่มองหน้าเกสรแล้วสายตาก็มองที่ครรภ์ ข้างกายคนท้องคนนี้มีเงาสีทองอยู่ด้วย ไม่มีใครเห็นนอกจากพ่อปู่

“เด็กในท้องมีบุญญาธิการมากมาย” พ่อปู่มองหน้า “พวกสัมภเวสี ผีหายโหงจะเอาเด็กคนนี้ไป”

“ละ..แล้วต้องทำยังไงเหรอคะ” เกสรกลัวเสียลูกในท้อง

“เด็กมีบุญยังไงก็ได้เกิดแต่เอ็งก็ระวังตัวไว้ก็ดี” พ่อปู่หันไปหาลูกศิษย์ “เอ็งไปหยิบตะกรุดที่หิ้งมา”

“ครับ” ลูกศิษย์ลุกไปหยิบตะกรุดบนหิ้งสูงสุดที่วางไว้บนพานลงมา

“ใส่นี่ไว้ห้ามถอด” เกสรยื่นมือมารับ “เอ็งต้องสวดมนต์ทุกคืน ไปทำบุญที่วัดได้ก็ทำให้บ่อยอย่าปล่อยจิตมารให้ควบคุมเอ็งเข้าใจไหม” สายตาพ่อปู่จ้องมองเหมือนรู้ความคิดบางอย่าง

“ค่ะ”

“แล้วเสียงที่ได้ยินละจ้ะ”

“เขามาดี เอ็งต้องผ่านช่วงเวลานี้ให้ได้ อนาคตเอ็งจะได้ดีสิ่งที่เอ็งได้เจอทุกวันนี้มันคือบททดสอบ” พ่อปู่บอกเกสรอย่างจริงจัง “ถ้าเอ็งผ่านมันไปไม่ได้เอ็งจะเป็นบ้า วิกลจริตอย่าปล่อยให้มารควบคุมเอ็ง”

“เกสรต้องผ่านอะไรเหรอพ่อปู่ ช่วยมันได้ไหมแค่ลูกคนเดียวก็หนักหนาแล้ว”

“ข้าช่วยอะไรไม่ได้นอกจากให้คำปรึกษา แต่เอ็งโชคดีที่มีกุมารช่วยเหลือ” กุมารที่ถูกทักก็เปล่งแสงตอบรับ

“กุมาร?”

“ใช่ กุมารีเขามาดูแลเด็กในครรภ์และเอ็งก็โชคดีที่กุมารีคอยช่วย ข้าจะให้หุ่นกุมารไว้หาข้าวหาน้ำให้ด้วยละ” กุมารสีแดงผู้หญิงถูกยื่นมาให้

การคุยธุระปรึกษานานเป็นชั่วโมง เกสรเชื่อใจร่างทรงพ่อปู่อย่างหมดใจ

บางทีการพึ่งสิ่งลี้ลับที่ตนเองมองไม่เห็นมันก็ยึดเหนี่ยวจิตใจได้

“ค่าครูเท่าไหร่จ้ะพ่อปู่”

“ข้าไม่เอา ข้าขอให้เด็กคลอดอย่างปลอดภัยก็พอ”

“ขอบคุณค่ะ ลาก่อนนะคะ”

“ไปเถอะ”

คนสองคนกลับออกไป กุมารียกมือไหว้ลากลับพ่อปู่พยักหน้ายิ้มรับ ลูกศิษย์ได้แต่สงสัย

“ตะกรุดนั้นมันของหลวงปู่นะครับ” ตะกรุดอันนั้นพ่อปู่ดูแลรักษาอย่างดี ทำไมยกให้กับคนแปลกหน้า

“ในเมื่อไม่ได้ใช้ก็ให้คนที่สมควรรับ”

“ผู้หญิงที่ชื่อเกสรมีออร่าสีทองด้วย”

“ใช่ เกสรก็มีบุญแม้ไม่เท่ากับเด็กในครรภ์ อนาคตอาจมีร่างทรงที่มีบุญเกิดขึ้นอีกคน”

ลูกศิษย์มองร่างผู้หญิงท้องรอบกายมีออร่าสีทองซึ่งบ่งบอกว่ามีบุญ เขาเป็นลูกศิษย์ดูได้แค่ออร่าว่าใครมีบุญหรือไม่เท่านั้น เขามีญาณพิเศษนิดหน่อย แต่ไม่มีบุญพอที่จะเป็นร่างทรง

น้ำมนต์

อุแว้!!!!!!

เสียงเด็กร้องตอนกลางคืนปลุกคนเป็นแม่ลุกขึ้นตื่นป้อนนมให้ลูกคนเล็กแม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องลุกขึ้นมาเจ้าตัวน้อยจับเต้าดูดอาหารจนอิ่มก็ผล็อยหลับคาอก

วันเวลาผ่านไปจากเด็กน้อยที่ลืมตาไม่ได้เริ่มลืมตา คลาน และยืน คนเป็นแม่ไม่สามารถดูแลลูกได้ตลอดเวลาจึงนำลูกทั้งสองไปฝากให้บ้านสามีดูแล เกสรต้องขายของทุกวันไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน เด็กน้อยเหมือนรู้ความก็ไม่ได้ร้องไห้งอแงเหมือนเด็กทั่วไป

เด็กน้อยคนนี้ชื่อน้ำมนต์

หนูน้อยน้ำมนต์ถูกผู้ใหญ่ให้นั่งเล่นในคอกเด็กสายตาสอดส่องมองรอบกาย

‘แบร่!’

กุมารีโผล่หัวแลบลิ้นใส่เด็กน้อยหัวเราะคิกคักชอบใจ กุมารีเลี้ยงเด็กคนนี้ตลอดเวลาตั้งแต่ที่แม่เกสรปล่อยให้ทางบ้านสามีดูแล แม่เกสรจะรู้บ้างไหมว่าพวกเขาปล่อยปะละเลยเด็ก กุมารีรู้ว่าน้ำมนต์มองเห็นภูติผีปีศาจ พวกมันไม่สามารถเข้าได้เพราะกุมารีคอยไล่ไปให้หมด

น้องข้าใครอย่าแตะ!

คนเป็นพ่อแทนที่จะดูแลลูกก็ขับรถซาเล้งไปเล่นไพ่บ้านอื่นฝากให้ย่าดูแลอีกที บ้านสามีของเกสรอยู่แบบครอบครัวใหญ่แต่ละครอบครัวก็จะสร้างบ้านแยกกันไป สามีเกสรชื่อเพชร เพชรตอนมาจีบแม่เกสรเป็นคนดีคอยช่วยเกสรค้าขายตลอดพอได้แต่งงานหายเงียบไปเล่นไพ่แต่ดีที่ไม่เคยตบตี ด่าทอเกสร

แต่ละวันผ่านไปจนน้ำมนต์อายุครบสามขวบปีสามารถพูดจาได้คล่องแคล่วเหมือนผู้ใหญ่

กุมารียืดอกข้าสอนเอง

น้ำมนต์ฉลาดด้วยเลยสามารถเข้าใจรวดเร็วและนี่ก็เป็นอีกวันที่แม่มารับช้า น้ำมนต์หันไปมองพี่สาวตัวของตัวเองหลังจากกลับโรงเรียนก็กินข้าว นอนหลับ พี่สาวชื่อน้ำตาล อายุห้าขวบแล้วห่างกันแค่สองปี

เสียงเท้าเดินเข้ามาน้ำมนต์หันไปมองเป็นคุณปู่

“ปู่! อุ้มหน่อย!” เด็กน้อยชูแขนขึ้นปู่มองมาแต่ก็ยอมยกเด็กน้อยขึ้น

‘ดีมากน้ำมนต์ อ้อนปู่ไว้มากๆจะได้มรดก โฮะๆ’

กุมารีหัวเราะชอบใจปู่คนนี้มีหลานสิบกว่าคนแต่ไม่เคยอุ้มเด็กคนไหนเลยนอกจากน้ำมนต์ ปู่เป็นเจ้าของที่ดินหลายผืนและรวยมากแต่ขี้งก ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเท่าไหร่ กุมารีเลยเสี้ยมสอนให้น้องสาวเอาใจเผื่อปู่จะยกมรดกให้น้องสักผืน โฮะโฮะ

“แม่ยังไม่มารับอีกใช้ไม่ได้เลย” น้ำเสียงหงุดหงิดพูด น้ำมนต์ยิ้มแฉ่งกอดคอปู่ ปู่เป็นคนยิ้มยากมาก น้ำมนต์ยังไม่เคยเห็นเลย

“เอ้ะ!?”

น้ำมนต์มองหน้าปู่เห็นเงาสีดำอยู่ข้างหลังปู่ ใบหน้าเงาดำมืดตาสีแดงก่ำ

“มีอะไร” ปู่หันไปมองตามสายตาเด็กน้อยก็ไม่เห็นอะไร

‘ปู่โดนทำของใส่ เดี๋ยวพี่จัดการเอง!’

กุมารีดึงผมหัวผีออกห่างจากปู่จับผีทุ่ม กระทืบจนซะใจก็ทำลายเงาดำผี ดีที่ผีตัวนี้เป็นผีระดับต่ำทำใหจัดการง่าย เด็กน้อยมองอย่างชอบใจ

‘การใช้ความรุนแรงมันไม่ดีนะ อย่าทำตาม’

ปู่ดูแลเด็กสองคนระหว่างรอแม่เด็กมารับ เกสรไปทำงานเลยเข้าใจได้ว่าไม่มีเวลาแต่พวกผู้ใหญ่คนอื่นไปไหนกันหมด

ส่วนไอ้เพชรไม่อยากพูดถึงนิสัยเอือมระอาคงไปเล่นไพ่สักที่

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเกสรก็ขับรถมารับลูกเห็นปู่อยู่ก็ไหว้ขอบคุณ

“พาเด็กสองคนนี้ไปสมัครโรงเรียนเอกชน น้ำตาลอายุตั้งกี่ขวบทำไมยังท่องศัพท์ไม่ได้” ที่ปู่มาหาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องคุยพอดีปู่สังเกตมาตลอดว่าน้ำตาลยังพูดไม่คล่องเหมือนน้ำมนต์ เกสรจ่ายค่าเทอมเอกชนไม่ไหวเลยไม่ได้พาลูกไปสมัครเอกชนได้แต่สมัครเข้าโรงเรียนรัฐบาล

“เกสรจ่ายเงินไม่ไหว”

“ฉันจะจ่ายค่าเทอมให้เด็กทั้งสองคน พาไปสมัครเข้าซะ”

หลังจากที่ปู่ให้เรียนเอกชนเกสรก็พาลูกไปสมัครเรียนที่ใหม่ปู่ออกเงินจ่ายค่าเทอมให้ทุกอย่าง น้ำตาลขึ้นอนุบาลสามส่วนน้ำมนต์เตรียมเข้าอนุบาลหนึ่ง น้ำตาลไม่มีปัญหาเรื่องการย้ายโรงเรียน

วันนี้เปิดเทอมเกสรไปส่งลูกทั้งสองที่โรงเรียน

“แม่รักลูกนะ เดี๋ยวตอนเย็นปู่มารับนะ ตั้งใจฟังครูละ”

“ค่ะแม่ จุ๊บ!”

ไม่รู้ทำไมเกสรห่วงคนโตมากกว่าคนเล็ก เกสรเห็นตลอดว่าน้ำมนต์ฉลาดและขี้อ้อน รู้จักประจบผู้ใหญ่ว่าควรเกาะขาใครแต่ลูกคนโตไม่สนอะไรเลยค่อนข้างเงียบ

น้ำมนต์เดินคู่มากับพี่สาว

มีครูคอยต้อนรับอยู่ข้างหน้าน้ำมนต์ยกมือไหว้ครูพาแยกกันไปคนละทาง เด็กหลายคนร้องไห้งอแงกอดขาพ่อแม่ น้ำมนต์มองเด็กผู้หญิงร้องไห้งอแงกอดขาคนเป็นพ่อไม่ปล่อย

“เด็กน้อยจริงๆ”

‘เราก็เด็กนะ’ กุมารีแย้ง แต่ก็จริงดูน้องน้ำมนต์ของพี่สิไม่ร้องไห้สักนิด เหมือนคุณครูกับผู้ปกครองได้ยินเสียงพูดของน้ำมนต์เลยมอง

ส่วนเด็กที่ร้องไห้งอแงก็หยุด

“เธอสิเด็กน้อย!”

“เธอสิเด็กน้อยร้องไห้กอดขาพ่อไม่เลิก เด็กขี้แง!”

“ใครร้อง! ไม่มีนะ!”

“เห็นอยู่ตำตายังจะเถียง!”

ผู้ใหญ่สองคนมองเด็กน้อยสองคนทะเลาะจะขำก็ไม่ได้เดี๋ยวเด็กรู้

“พ่อกลับไปเลยหนูจะไปเรียน” เพราะคำดูหมิ่นของเด็กอีกคนทำให้เด็กน้อยดันขาพ่อกลับ

“จ้าๆ ดูแลตัวเองนะลูก”

แค่คำพูดของเด็กอีกคนทำให้เด็กที่แหกปากเงียบมองเชิ่ดหน้า น่ารักดีใครเห็นก็เอ็นดูที่เด็กคนหนึ่งทำเหมือนผู้ใหญ่ อีกคนกลั้นเสียงร้องไห้ ครูดูรายชื่อเด็กทั้งสองคน

“เอาละนะน้ำมนต์กับข้าวหอมอยู่ห้องเดียวกันนะ ขึ้นไปชั้นสองนะจ้ะอยู่ห้องหนึ่ง”

“ค่ะ”

น้ำมนต์รับคำเดินไปที่บันไดมีคุณครูคอยยืนอยู่ เด็กที่ชื่อข้าวหอมก็วิ่งตามติดตูด น้ำมนต์เดินไปทางซ้ายข้าวหอมก็ไปทางซ้ายไม่ว่าเดินไปทางไหนก็เดินตามจนถึงห้องเรียน กุมารียืนขำมองเด็กสองคน ตลกดี

อีกคนทำตัวเป็นผู้ใหญ่อีกคนทำตัวเป็นเด็ก

“นี่เราชื่อข้าวหอมเป็นเพื่อนกันเถอะ!” ข้าวหอมยื่นมือสะกิดน้ำมนต์

“ได้ เราชื่อน้ำมนต์”

ปรบมือ!

น้องสาวของพี่มีเพื่อนแล้ว! กุมารีกลัวว่าน้ำมนต์จะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ยิ่งตอนแรกที่ทะเลาะกันข้างล่างก็กลัวจะไม่ชอบกันแต่ยังไงก็เด็กแหละทำให้เรื่องที่ทะเลาะกันลืมง่าย แถมข้าวหอมกับน้ำมนต์ก็เป็นเพื่อนกัน

น้ำขิงค่อนข้างติดน้ำมนต์วันนี้ครูให้เด็กนักเรียนแนะนำตัวกันเอง ในห้องมีแค่ยี่สิบคน

เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังทั่วห้องเด็กบางคนยังร้องไห้ งอแง น้ำมนต์ได้แต่ทำหน้าปลาตาย

“นี่เลิกร้องไห้ได้ยัง ถ้าหยุดร้องจะพาเล่นสนุกนะ”

น้ำมนต์ทนดูครูวิ่งไปมาไม่ไหวพอเด็กคนนี้ร้องคนนู้นก็ร้องตาม ดีที่ข้าวหอมไม่ร้องอีกคน เด็กผู้ชายตัวอ้วนกลมก็หยุดร้อง

“จริงเหรอ”

“จริงสิ” โกหกล้วนๆ “นี่ครูบอกว่าใครไม่ร้องไห้ครูจะแจกขนม!!”

“ฮึ่บ!!!”

“…”

ทั้งห้องเงียบกริบ เด็กน้อยมองหน้าครูสาวตาปริบๆ ครูสาวค่อนข้างงงตัวเองไปบอกว่าจะให้ขนมตอนไหน แต่มันได้ผล

ครูมองหน้าเด็กที่พูดเห็นพยักหน้าชอบใจที่เด็กทั้งห้องเงียบ

ปลื้มปริ่ม!!

“เอาละครูชื่อเอม”

วันนี้วันแรกครูเอมเลยยังไม่ได้สอนอะไรมากมายแค่ให้นักเรียนปรับตัวพอได้เวลากลางวันก็ให้นักเรียนต่อแถวแยกชายหญิงเพื่อไปกินข้าวกลางวัน

กินข้าว อาบน้ำ นอน ที่โรงเรียนจะมีที่นอน หมอน ผ้าห่มให้หมด ไม่ต้องให้นักเรียนเตรียมมาด้วยความเป็นเด็กก็เริ่มหลับตานอนกัน ข้าวหอมนอนติดกับน้ำมนต์แถมดิ้นนอนก่ายตัวน้ำมนต์ผืน

กุมารีมองแล้วยิ้ม เด็กคนนี้นิสัยไม่เลวเลย

ครูเดินตรวจเช็คทุกอย่างจัดระเบียบห้องให้เรียบร้อย

“เป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวอายุสี่สิบกว่าเดินเข้ามาหา ครูเอมออกไปคุยที่หน้าประตูเดี๋ยวเสียงดังเด็กตื่น

“ดีค่ะ แต่เด็กที่ชื่อน้ำมนต์ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เกินไปหน่อย”

ตั้งแต่เริ่มเข้าชั้นเรียนครูทุกคนต้องสังเกตนิสัย พฤติกรรมของเด็กนักเรียนทุกคน

“ยังไงละ”

“หลอกเด็กคนอื่นว่าถ้าเงียบครูจะให้ขนททั้งที่เอมยังไม่ได้พูด รู้จักโกหกแต่มันก็ช่วยให้เด็กคนอื่นเงียบ”

“อ่า เข้าใจแล้วดูแลเด็กให้ดีๆเดี๋ยวฉันไปดูห้องอื่นด้วย”

คนที่มาใหม่คือหัวหน้ากลุ่มแผนกอนุบาลจะคอยมาเช็คแต่ละห้องทุกกลางวัน

หยุดหายใจ

เวลาผ่านไปเหมือนได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย เกสรจากผู้หญิงที่อ่อนแอ ไม่เถียงคนเริ่มเถียงกลับไม่ยอมคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้บางครั้งน้ำมนต์ก็มักเห็นแม่กรีดร้องตอนกลางคืน บางครั้งก็พึมพำพูดคนเดียว มีแต่คนหาว่าแม่เป็นบ้า แต่น้ำมนต์รู้ว่ามันไม่ใช่

น้ำมนต์เห็นผีหลายสิบตัวอยู่ในร่างแม่ กุมารีที่คอยดูแลน้ำมนต์ก็ไม่ช่วย

“พี่กุมารีหนูสงสารแม่” เด็กน้อยนั่งอยู่ที่บ้านพ่อ ไม่มีใครดูแลเหมือนเคย

‘พี่ก็สงสารแต่มันเป็นบาปกรรมของแม่ ถ้าแม่ผ่านบททดสอบได้ทุกอย่างจะราบรื่น’

จากเด็กน้อยวัยสามขวบกลายเป็นเด็กน้อยอายุเกือบเจ็ดขวบปีคราวนี้น้ำมนต์ไม่เห็นผีร้ายในร่างกายของแม่แล้วแต่เห็นพ่อปู่คนนึงอยู่ในร่างแม่มีแสงสีทองสว่างไหว เขาไม่ได้มาทุกครั้งแต่น้ำมนต์จะเห็นเฉพาะตอนแม่สวดมนต์เท่านั้นเหมือนมารับบุญกุศล

เมื่อก่อนแม่ไม่เคยสีแสงสีทองสว่างเท่านี้มาก่อนพอผ่านไปหลายปีแสงมันสว่างจนรู้ว่าคนนี้มีบุญ

น้ำมนต์เหมือนเด็กเจ็ดขวบแต่มีความคิด อ่านเกินตัว เพราะมีพี่กุมารีคอยสอนและมีบรรดาผีเร่ร่อน เจ้าที่ก็แวะมาทักทายเมื่อรู้ว่าเด็กคนนี้มองเห็น แถมรู้ด้วยว่าสิ่งที่แม่กำลังเป็นคือ

ร่างทรง

และแสงสว่างที่มากพอก็คงไม่ได้แค่ร่างทรงธรรมดา บางคนมีองค์เทพอยู่ในตัวแต่ไม่มีบุญมากพอที่จะทำพิธีอย่างอื่นได้ บางคนมีองค์เทพที่สามารถดูดวง ทำพิธีกรรม ตั้งศาลมภูมิได้เราจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่าร่างทรง

อีกไม่กี่วันน้ำมนต์ก็ใกล้จะเจ็ดขวบแล้ว

ตอนเช้าไปเรียนตอนเย็นรถรับส่งมาส่งที่บ้านพ่อ แม่กับพ่ออยู่คนละบ้านแต่ไม่ได้เลิกรากัน ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง

น้ำมนต์มีญาติเยอะมาก ลูกหลานฝั่งพ่อมีเกือบสิบคน ถ้าจะให้ร่ายสถานะแต่ละคนคงเหนื่อย

ทุกครอบครัวญาติฝ่ายพ่อค่อนข้างมีฐานะกันแต่แม่ไม่มีฐานะทำให้ไม่มีใครชอบแม่ แม่เลยไม่สะดวกใจที่จะย้ายมาอยู่กับพ่อที่นี่ พ่อเลยไปหาแม่ที่บ้านแทน

เด็กที่อายุใกล้น้ำมนต์มีของเล่นมากมาย มีผู้ใหญ่ค่อยโอ๋ มีขนมมาให้แต่น้ำมนต์ไม่เคยได้เลยสักครั้ง แม่มีไม่เงินซื้อของเล่นให้น้ำมนต์ก็ไม่งอแงขอ พี่กุมารีมักบอกว่าแม่ไม่มีเงิน แม่ทำงานหนัก

“ย่าขาา หนูขอขนมบ้างได้ไหม”

“…”

เคยขอครั้งนึงแต่ถูกเมินไม่สนใจน้ำมนต์เลยเลิกที่จะสนใจพวกญาติ เด็กพวกนั้นก็ไม่ได้คิดจะแบ่งขนมให้ทั้งที่พวกเขาอายุมากกว่าน้ำมนต์

ขอขนมชิ้นนึงก็ไม่ได้

เรื่องนี้แม่ไม่เคยรู้เพราะน้ำมนต์ไม่บอก พี่น้ำตาลก็เป็นคนเงียบไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว

ทุกวันเหมือนวันปกติแต่วันนี้น้ำมนต์กลับจากโรงเรียนก็ง่วงซึม นอนหลับทั้งวัน

“น้ำมนต์ น้ำมนต์” พี่สาววัยเก้าขวบเดินมาดูน้องสาว ปกติน้องสาวชอบมานั่งจ้อ

“…”

“น้ำมนต์ได้ยินพี่ไหม!”

น้ำตาลร้อนรนทำอะไรไม่ถูกน้องหน้าตาแดงก่ำ ตัวร้อนจี๋พอรู้น้องไม่สบายก็ต้องไปตามหาผู้ใหญ่ก็รีบวิ่งไปหาย่าย่าไปอยู่อีกบ้านนึงซึ่งเลี้ยงหลานคนอื่น

“ย่า! ย่า! น้ำมนต์ไม่สบายตัวร้อนจี๋เลย!”

“โอ้ย! เช็ดตัวให้น้องมันสิเดี๋ยวก็หาย!”

ย่าไม่สนใจแล้วหันไปเล่นกับหลานคนอื่นต่อ ในนี้มีย่าคนอื่นอีกหลายคน แต่ทุกคนเมิน น้ำตาลเลยวิ่งกลับมาที่บ้านหาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวน้อง

พ่อไม่อยู่บ้านคงไปเล่นไพ่ ปู่ไปหว่านข้าว พวกน้าอาทำงานกันหมด พวกย่าไม่เคยสนใจอยู่แล้วเพราะแม่ไม่มีฐานะที่ดี

“ทนไว้นะ เดี๋ยวแม่ก็มา” น้ำตาลดูแลน้องตลอดทั้งวัน คอยเช็ดตัวน้องตามที่แม่เคยเช็ดตัวให้ตอนน้ำตาลไม่สบาย

ไข้น้องไม่ลดเลย

‘อดทนนะคนเก่งของพี่’ กุมารีซึมได้แต่มองน้องน้อย

พอถึงตอนเย็นพวกน้าอากลับมาน้ำตาลก็วิ่งไปขอความช่วยเหลือ

“น้า พาน้ำตาลไปหาหมอหน่อยน้องไข้ไม่ลดเลย” อาสาวมองไม่พอใจ

“ไม่เห็นรึไงว่าทำงานมาเหนื่อยๆ ออกไป!”

ไม่มีใครเห็นใจเลย แม่จะมารับก็สองทุ่ม น้ำตาลนั่งเฝ้าน้องกันสองคน

ทำไมละ

น้ำตาลไม่เคยขออะไรเลย ขอแค่พาน้องไปหาหมอมันยากนักเหรอ เด็กน้อยร้องไห้ออกมาเงียบๆ

บรื้นนนนนนน

เสียงมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาน้ำตาลรู้เลยว่าปู่เป็นคนขับ น้ำตาลรีบวิ่งออกไปดักก่อนที่ปู่จะกลับเข้าบ้านตัวเอง

เอี้ยดดดดด!

“ปู่ช่วยน้องด้วย!”

“น้องเป็นไร!”

“น้องไม่สบาย ไม่มีใครพาน้องไปหาหมอเลย”

ปู่จอดรถวิ่งไปดูหลานสาวที่เขาเอ็นดู ปู่จับเนื้อตัวร้อนจี๋จริงด้วย ตัวแดงก่ำ

“ขึ้นรถไปกับปู่”

ปู่ขับรถไปที่รถพยาบาลและพาน้ำตาลไปด้วย เขารีบขับรถมาก ตัวเด็กร้อนจี๋ขึ้นเรื่อยๆ

“น้องชัก!”

ร่างเล็กที่นอนซึมเนื้อตัวเริ่มเกร็งปู่หยุดรถรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นรีบขับรถไปส่งโรงพยาบาล

หมอรับตัวเด็กไป ปู่และน้ำตาลยืนรอหน้าห้องเป็นชั่วโมง

“เล่าเรื่องวันนี้ให้ปู่ฟัง” ปู่จับจ้องมาที่หลานสาว

“วันนี้น้องนอนซึมทั้งวัน น้ำตาลเลยไปบอกย่าย่าบอกให้เช็ดตัวเดี๋ยวก็หาย แต่น้ำตาลเช็ดตัวไปหลายรอบน้องก็ตัวร้อนจี๋เหมือนเดิม พอน้ากลับมาหนูก็ขอให้พาน้องไปหาหมอ น้าบอกเหนื่อยเลยไม่พาไป”

ยิ่งฟังใบหน้าปู่ยิ่งโกรธจัด ปู่เปรียบเสมือนผู้นำตระกูลเพราะโฉนดที่ดินหลายไร่ บ้าน และธุรกิจเป็นของปู่ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้ามีปัญหา

แค่เด็กคนนึงทำไมต้องทำแบบนี้

หมอเปิดประตูออกมาทำให้ปู่หยุดคิด ปู่มองสีหน้าหมอ

“เด็กหยุดหายใจไปสิบนาที”

“อะไรนะ”

น้ำตาลร้องไห้โฮ ปู่ไม่คิดว่าคำตอบจะเป็นแบบนี้

“เด็กควรมาหาหมอให้เร็วกว่านี้สักสองสามชั่วโมง ยิ่งเด็กเล็กควรดูแลให้ดี หมอปั้มหัวใจแล้วแต่หัวใจหยุดทำงานไปสิบนาที หมอเสียใจ”

คำพูดของหมอเป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังช็อค กุมารีขมวดคิ้วสงสัย น้ำมนต์ยังไม่ถึงเวลาตายด้วยซ้ำ มันต้องเกิดอะไรบางอย่าง

ร่างโปร่งแสงของเด็กหกขวบเดินออกจากห้องฉุกเฉิน กุมารีมองเด็กตรงหน้า

‘พี่กุมารี! พี่สาวหนูน้องไห้ทำไม’

‘น้องออกจากร่าง?!’

‘ออกจากร่าง?’

‘กลับเข้าร่างเร็วก่อนที่จะเสียชีวิต’

กุมารีดันร่างน้องไปหาร่างตัวเอง พยายาลกำลังเก็บอุปกรณ์ก็มองเห็นสัญญาณชีพที่อ่อนแรง

“ไปตามหมอมา! เด็กชีพจรกลับมาแล้ว!”

พยาบาลวิ่งไปตามหมอข้างนอก หมอวิ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง ปู่บีบมืออย่างมีหวัง

เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน กุมารีเฝ้ามองดูจนเห็นพวกพยาบาลทำสีหน้าโล่งใจ

“แปลก”

“ใช่ แปลกแต่มันก็ดีเช็คตรวจร่างกายเด็กด้วย”

“ค่ะ”

หมอกลับออกมาอีกครั้งพร้อมสีหน้าผ่อนคลาย ปู่รอคำตอบอย่างกดดัน

“เด็กปลอดภัยแล้ว ชีพจรก็กลับมาเต้นเองจนน่าแปลกใจแต่คืนนี้หมอขอให้นอนต่อวันนึงเพื่อตรวจร่างกาย”

“ปลอดภัยจริงใช่ไหม”

“ปลอดภัยแน่นอนครับ หมอขอตัวก่อน”

ปู่จองห้องพิเศษให้หลานสาว

“ปู่แม่ยังไม่รู้เลยว่าเรามาโรงพยายาล”

“เดี๋ยวปู่โทรไปบอกแม่เราเอง”

นี่ก็ดึกดื่นแล้วปู่โทรไปบอกเกสร เกสรก็รีบขับรถมาที่โรงพยาบาลเจอหน้าลูกสาวคนเล็กก็กอด ปลอบ ร้องไห้

ถ้าลูกเป็นอะไรไปแม่จะอยู่ยังไง

“แม่หนูดีขึ้นแล้ว”

“แม่เป็นห่วงลูกนะ”

ปู่มองสองแม่ลูกพูดคุยกัน เรื่องนี้ทำให้ปู่ปล่อยเรื่องราวต่อไปไม่ได้ ถ้าหลานสาวหยุดหายใจต้องมีคนรับผิดชอบ

“ทำไมถึงไม่สบายได้นะ เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย” เมื่อเช้าลูกก็ยังสดใสร่าเริง

น้ำมนต์เหลือบไปมองเห็นเงาดำหลังปู่ พี่กุมารีก็เข้าไปจัดการเหมือนเดิม นี่คือขาทองคำของน้องสาวต้องช่วยไว้

“เงาดำหลังปู่มาอีกแล้ว”

น้ำมนต์ทัก ปู่สงสัยมองไปที่หลังตัวเอง ไม่เห็นอะไรเหมือนเดิม ตอนแรกไม่มีเงาดำอยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมา

“เงาดำอะไรลูก”

“ผีผู้หญิงผมยาวเกาะหลังคุณปู่ พี่กุมารีจัดการอีกแล้ว”

กุมารีก็เข้าไปตื้บผีจนหาย ปู่มองหลานอย่างสงสัย เกสรพอรู้มาบ้างว่าลูกมองเห็นวิญญาณ แต่คิดว่าเดี๋ยวก็หายส่วนมากเด็กมักมองเห็น

“พี่กุมารีบอกว่าปู่โดนทำของใส่ หนูเห็นเป็นครั้งที่สิบแล้ว”

พี่กุมารีชอบบ่นว่าหมอผีที่ขยันทำของใส่จริงๆสงสัยเลี้ยงผีเยอะ

“น้ำมนต์มองเห็นมานานรึยัง”

“ตั้งแต่หนูลืมตา เมื่อก่อนแม่ก็โดนผีเข้านะแต่ตอนนี้มีพ่อปู่องค์นึงมาอยู่แทน พี่กุมารีบอกว่าแม่จะเป็นร่างทรง”

เกสรค่อนข้างตกใจ กุมารีที่ลูกว่าคงเป็นกุมารที่ปกป้องน้ำมนต์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แต่ไม่คิดว่าลูกสาวจะรู้เรื่องมากขนาดนี้ เพราะเกสรก็พอรู้ว่าตัวมีผีมาสิงตัวเองแต่พยายามควมคุมสติ ตั้งมั่นตลอดเวลา

ปู่ก็นิ่งเงียบฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ปู่ยังคงเชื่อสิ่งลี้ลับบ้าง เขาพอเชื่อที่หลานสาวบอกเพราะบางทีกลางคืนเขามักสะดุ้งตื่นเห็นผีสาวผมยาวตลอด

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0