โอไมครอน สายพันธุ์ 'BN.1' ยึดไทยแทน 'BA.5.2' แล้ว ในสัดส่วน 74.5% CH.1.1 หลบภูมิเก่ง พบเพียง 7.3%
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อัปเดตสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 และสายพันธุ์ ที่เฝ้าติดตามในประเทศไทย โดยระบุว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ติดตามการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 พบเชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
WHO ติดตามโอไมครอน 4 สายพันธุ์
ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกกำลังให้ความสำคัญกับการติดตามโอไมครอน 4 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเติบโต เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค
โดยช่วงเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบข้อมูลสายพันธุ์ในฐานข้อมูลสากล GISAID ดังนี้ BF.7 จำนวน 1,147 ตัวอย่าง 4.6% , BQ.1 และลูกหลาน จำนวน 11,674 ตัวอย่าง 46.9% รวมถึง BQ.1.1 7,189 ตัวอย่าง 28.9%, BA.2.75 และลูกหลาน จำนวน 3,473 ตัวอย่าง 13.9% รวมถึง BA.2.75.2 35 ตัวอย่าง 1% และ CH.1.1 1,672 ตัวอย่าง 6.7%, XBB และลูกหลาน จำนวน 4,049 ตัวอย่าง 16.3% รวมถึง XBB.1.5 3,005 ตัวอย่าง 12.1%
สถานการณ์โควิดในไทย
สถานการณ์สายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี 2565 พบสายพันธุ์เดลตาถูกแทนที่ด้วยสายพันธุ์โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยต่างๆ ได้แก่ BA.1, BA.2, BA.4, BA.5 และสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ในตระกูล ซึ่งปัจจุบันสายพันธุ์โอไมครอนเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่กระจายอยู่ในประเทศไทย
ผลการเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อก่อโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2566 จากผลการตรวจแบบ SNP/Deletion จำนวน 689 ราย พบสัดส่วนสายพันธุ์หลัก คือ สายพันธุ์ BA.2.75 คิดเป็น 88.5%
โดยผลการตรวจแบบ SNP/Deletion จำนวน 94 ราย ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 28 มกราคม -3 กุมภาพันธ์ 2566 พบสัดส่วนสายพันธุ์ BA.2.75 เป็นหลักในกลุ่มผู้ติดเชื้อ คิดเป็น 87.2% (จำนวน 82 ราย) และพบสายพันธุ์ BA.4/BA.5 คิดเป็น 8.5% (จำนวน 8 ราย)
โดยสัดส่วนสายพันธุ์ BA.2.75 85.1% พบในกลุ่มผู้ติดเชื้อในประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มสถานการณ์ระบาดในเดือนกันยายน 2565 และกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศแทนที่สายพันธุ์ BA.5
สำหรับผลการถอดรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัว (Whole genome sequencing) ของตัวอย่างในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน พบสายพันธุ์ BA.2.75 และลูกหลานของ BA.2.75 (BA.2.75.) เช่น BA.2.75.2, BA.2.75.5, BA.2.75.5.1 (BN.1), BA.2.75.5.1.3 (BN.1.3), BA.2.75.3.4.1.1.1.1 (CH.1.1) จำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มพบในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2565
สายพันธุ์ BN.1 ครองไทยแทน สายพันธุ์ BA.5.2
จากการวิเคราะห์ข้อมูลสายพันธุ์ที่เผยแพร่ในรอบ 4 เดือน (ตุลาคม 2565-มกราคม 2566) พบอุบัติการณ์สายพันธุ์ BA.2.75. 73.8% ซึ่งรวมถึง BN.1 59% และ CH.1.1 6.8%
โดยสายพันธุ์ที่พบมีสัดส่วนสูง ได้แก่ BN.1 ซึ่งมีสัดส่วนของสายพันธุ์ BN.1.3 สูงที่สุด คิดเป็น 82.4% ในขณะที่สายพันธุ์ BA.5.2 ซึ่งเดิมเคยเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทยมีสัดส่วนลดลง คิดเป็น 17.9% และในเดือนมกราคม 2566 ข้อมูลการกระจายสายพันธุ์หลักที่พบในประเทศไทย ยังคงเป็นสายพันธุ์ BN.1 74.5%
สำหรับสายพันธุ์ CH.1.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.75 (BA.2.75 + R346T, K444T, L452R, และ F486S) สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้พอสมควร พบรายงานครั้งแรกในอินเดียเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 และแพร่กระจายไปทั่วโลกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565
ในเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบสายพันธุ์ CH.1.1 และสายพันธุ์ย่อย กว่า 6% ของข้อมูลจากทั่วโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2566) และพบมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และสิงคโปร์
โดยสายพันธุ์ CH.1.1 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่สำคัญ คือ K444T, L452R, N460K, และ F486V ซึ่งทำให้หลบภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือจากการฉีดวัคซีนได้ดี มีคุณสมบัติดื้อต่อแอนติบอดีสังเคราะห์ Evusheld และ Bebtelovimab
สำหรับประเทศไทย พบรายงานครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 สายพันธุ์ CH.1.1 และสายพันธุ์ย่อย คิดเป็นกว่า 7.3% ของข้อมูล sequence ที่เผยแพร่ในเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ส่วนสายพันธุ์ XBB.1.5 ที่ระบาดในอเมริกา ยังไม่พบในประเทศไทย
ยังคงเฝ้าระวังและติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสอย่างต่อเนื่อง
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ขอให้ความมั่นใจว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่าย ยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อ SARS-CoV-2 อย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีการแชร์ข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
ทั้งนี้ เพื่อติดตามผลกระทบจากสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์น่ากังวล ความรุนแรงของโรค หรือคุณสมบัติของอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของเชื้อไวรัส เป็นข้อมูลสนับสนุนการออกแบบการรักษา การให้ยาต้านไวรัส หรือแอนติบอดีสังเคราะห์
อ่านข่าวเพิ่มเติม