ข้อมูลเบื้องต้น
หลินเฟิง นักศึกษาในมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ที่ชีวิตพลิกผันจากนักศึกษาไปเป็นนักโทษในคุกเพราะเขายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนผิด เมื่อออกมาเขาจึงล้างแค้นและตายได้จากโลกเดิมไป เขามาเกิดใหม่ในร่างของชายผู้อ่อนแอ ณ ทวีปเก้าสวรรค์ ที่นี่ผู้มีทักษะยุทธ์จะถูกยกย่องให้ความเคารพ ผู้อ่อนแอเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีค่าต้องถูกข่มเหงรังแก เมื่อผู้แข็งแกร่งไม่พอใจ โลหิตจะไหลเป็นสายน้ำ
หลินเฟิงผู้แข็งแกร่งถือกำเนิดในโลกใบใหม่ ถือกำเนิดจากฟ้า เขาได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์อันน่าทึ่ง จักระพลังขั้นเก้า สามารถทลายสวรรค์ และอยู่เหนือฟ้าอย่างหยิ่งทะนง เหล่าขุ่นหนึ่งกา ท่วงทำนองแห่งความรู้สึก โลกที่บ้าคลั่ง วีรบุรุษถือดาบท่องไปในใต้หล้า จิตใจที่องอาจกล้าหาญเหยียบย้ำไปยังท้องฟ้าที่เปื้อนเลือด
-----------------
นิยาย เทพยุทธ์แห่งใต้หล้า
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : 逐浪(Zhulang)
ประพันธ์โดย : 净无痕
แปลภาษาไทยโดย : wlcin
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Co.,LTD. (สนพ.กวีบุ๊ค)
----------------
เล่มที่ 1 บทที่ 1 จิตวิญญาณนักรบที่ตื่นขึ้น
ทวีปเก้าสวรรค์ให้ความเคารพในเส้นทางแห่งนักรบ นักรบที่อ่อนแอล้วนมีพละกำลังนับพันจินหรือหมื่นจิน ซึ่งสามารถทำลายศิลาให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้ ส่วนนักรบที่แข็งแกร่งสามารถตัดแม่น้ำ ผ่าภูเขา และยิ่งเป็นทักษะยุทธระดับจักรพรรดิ ทักษะที่ไร้เทียมทาน ก็สามารถท่องไปยังดินแดนที่ว่างเปล่าได้
ทักษะยุทธจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมและตัดสินความเป็นความตาย นักรบที่อ่อนแอจะถูกข่มเหงรังแก ส่วนนักรบที่แข็งแกร่งจะเป็นผู้เฝ้ามองใต้หล้า
‘จิตวิญญาณนักรบ’ คือพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของผู้คนในทวีปเก้าสวรรค์ เป็นจิตวิญญาณของนักรบ พูดได้ว่าความสำเร็จของนักรบขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณของพวกเขา
จิตวิญญาณนักรบมีหลายประเภทจนนับไม่ถ้วน เช่น จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติอย่าง เปลวไฟ น้ำแข็ง พายุ สายฟ้า หรือจิตวิญญาณแห่งศาสตรา มีด ปืน ดาบ ง้าว หรือแม้แต่จิตวิญญาณแห่งอสูร เสือขาว แรดคลั่ง วานรจอมพลัง และงูมังกรแน่นอนว่ายังมีจิตวิญญาณนักรบแปลกๆที่แข็งแกร่งอีกมากมาย เช่น จิตวิญญาณนักรบคลั่งและจิตวิญญาณนักรบอมตะ ซึ่งจิตวิญญาณนักรบสามารถวิวัฒนาการและแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆตามความแข็งแกร่งของนักรบ
…………
เมืองหยางโจว ณ คฤหาสน์ตระกูลหลิน
หลินเฟิงลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังห้องที่มีกลิ่นอายโบราณตรงหน้า ห้องที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา ในดวงตาของเขาเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นขึ้นมา
“นับว่ารอดตายจากภัยพิบัติครั้งใหญ่!” เสียงกระซิบดังขึ้นในใจของหลินเฟิง ทันใดนั้นรอยยิ้มอันขมขื่นก็อันตรธานหายไป แล้วมุมปากก็ปรากฏเพียงรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา
ใช่แล้ว หลินเฟิงทะลุมิติมา เดิมทีเขาเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คนหนึ่งในเมืองหนานจิงของประเทศจีน เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงทะลุมิติมาที่ทวีปเก้าสวรรค์และสิงอยู่ในร่างของลูกหลานตระกูลหนึ่งที่มีชื่อเดียวกับเขา
หลินเฟิงรู้สึกกลุ้มใจแต่ไม่ได้กลุ้มใจเพราะเรื่องทะลุมิติ ที่โลกก่อนเขาเป็นแค่เด็กกำพร้าซึ่งโตมาจากการเลี้ยงดูของปู่ เพราะว่าทำงานหนักมากเกินไป ดังนั้นวินาทีที่ปู่ได้เห็นจดหมายตอบรับเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของหลินเฟิง ถึงได้หลับตาและจากไปอย่างสงบ ทิ้งไว้เพียงเงินฝากหลายหมื่นหยวนซึ่งในชนบทถือว่ารวยมาก ไว้เป็นค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยให้กับหลินเฟิง เพื่อที่จะทิ้งมรดกก้อนนี้ให้กับหลินเฟิง ดังนั้นเขาจึงรักษาโรคภัยของตัวเองได้ล่าช้า
หลินเฟิงพยายามอย่างหนักมาโดยตลอด เขาทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทุกๆปียังได้รับทุนการศึกษาด้วยจำนวนเงินสูงๆ เขาอยากจะอาศัยความพยายามของตัวเองในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตและบรรลุความปรารถนาของปู่ให้ได้ แต่หลินเฟิงก็ค่อยๆเข้าใจแล้วว่า ในยุคสมัยอวดรวยนั้น แค่ความพยายามไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ
ระหว่างการฝึกงานของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ได้มีงานเลี้ยงค็อกเทลของหน่วยงานหนึ่งจัดขึ้นที่โรงแรม ในระหว่างงานเลี้ยง มีลูกคนรวยคนหนึ่งกำลังมอมเหล้าเพื่อนร่วมชั้นหญิงที่ฝึกงานด้วยกันกับเขา คนในหน่วยงานพากันเดินออกห่างอย่างรู้ๆกัน แน่นอนหลินเฟิงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าไปขัดขวาง
ผลสุดท้ายก็คือความพยายามตลอด 4 ปีของเขาได้อันตรธานหายไปในพริบตา เขาถูกมหาวิทยาลัยไล่ออก ส่วนเหตุผลคือลวนลามเพื่อนร่วมชั้น และพยานหลักฐานก็ชัดเจน เพราะว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นเป็นคนชี้ตัวเขาด้วยตัวเอง
ผลลัพธ์อีกอย่างก็คือ เขาถูกฟ้อง เพื่อนร่วมชั้นที่เขาช่วยและเจ้าลูกคนรวยคนนั้นรวมหัวกันฟ้องร้องเขา ทั้งพยานบุคคลทั้งพยานวัตถุต่างก็ครบถ้วน หลินเฟิงไม่มีทั้งเงินและอิทธิพล ทำให้เขาไม่สามารถสู้คดีนี้ได้ ชีวิตของเขาแทบจะถูกตัดสินไว้แล้ว หลินเฟิงถูกจำคุก 8-10ปี จากนั้นเขาก็หลุดออกจากสังคมอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นลูกคนรวยและเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นกำลังโอบกอดกันอย่างมีความสุข และกะหนุงกะหนิงกันอยู่ในรถออดี้ หลินเฟิงจึงขโมยรถมาคันหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆแล้วขับรถชนออดี้คันนั้น หลินเฟิงยังจำใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความโสมมของทั้งสองคนได้รางๆความโสมมของโลกที่วุ่นวาย
สำหรับในโลกก่อน หลินเฟิงไม่มีห่วงใดๆเหลืออยู่แล้วดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกลุ้มใจที่ทะลุมิติมา แต่ที่เขากลุ้มใจก็คือ เขาได้ทะลุมิติมาสิงร่างนายน้อยไร้ความสามารถคนหนึ่ง และเป็นนายน้อยที่มีจิตวิญญาณนักรบขยะ
เดิมทีนายน้อยตระกูลหลินที่มีชื่อเดียวกับเขาเป็นศิษย์นอกของนิกายหยุนไห่ตอนอยู่ในนิกายหยุนไห่ ได้ถูกลูกพี่ลูกน้องของตัวเองข่มเหงรังแก และโดนทำร้ายอย่างรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ถูกเตะออกมาจากนิกายในสภาพปางตาย ด้วยเหตุนี้หลินเฟิงจึงฉวยโอกาสเข้าสิงร่างของเขา
“ในเมื่อได้ชีวิตใหม่ ข้าจะไม่ปล่อยให้โศกนาฏกรรมนั่นเกิดขึ้นกับตัวเองอีกครั้งแน่” หลินเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงกำหมัดตัวเองทั้งสองข้างแน่น เขาหันไปพูดกับเศษเสี้ยวของวิญญาณที่ไม่อาจตัดใจสลายไปได้อย่างสมบูรณ์ว่า “เจ้าวางใจเถอะ หลังจากนี้เจ้าคือข้า ข้าก็คือเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมารังเเกตัวเองได้อีก”
เมื่อได้ผสานกับวิญญาณเดิมของ‘หลินเฟิง’ ทำให้หลินเฟิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่าโลกที่ตัวเองอยู่นั้นเป็นโลกแบบไหน ผู้แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ ตราบเท่าที่เจ้าแข็งแกร่งพอ อำนาจอิทธิพลใดๆ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเจ้าก็ต้องก้มหัวให้ ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงอำนาจของราชวงศ์อันสูงส่งด้วย
ถ้าอยากกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในเส้นทางแห่งนักรบ นอกจากพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนอื่นแล้ว ยังต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งและจิตใจที่แน่วแน่ ก่อนหน้านี้นายน้อย‘หลินเฟิง’ เป็นคนอ่อนแอ แต่ตอนนี้เขาจะไม่เหมือนเดิม สำหรับคนที่ฟื้นคืนชีพกลับมา ซึ่งผ่านการขัดเกลาอย่างยากลำบากและถูกทดสอบด้วยความตาย จิตใจของเขาย่อมเข้มแข็งกว่านายน้อย‘หลินเฟิง’คนนั้นไม่รู้กี่เท่า
ราวกับว่ารู้สึกถึงปณิธานอันแรงกล้าของหลินเฟิง ในที่สุดเศษเสี้ยววิญญาณนั่นก็อ่อนแอลง สุดท้ายวิญญาณทั้ง 2 ดวงก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
“ตู้ม!” วินาทีที่วิญญาณผสานเข้าด้วยกัน หลินเฟิงก็รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของวิญญาณ ทำให้เขามึนหัวและหมดสติไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลินเฟิงก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วน้อยๆ รู้สึกถึงการสั่นคลอนของวิญญาณ
เขาลุกขึ้นนั่ง ความคิดของหลินเฟิงแล่นพล่าน ทันใดนั้นลมปรานก็แพร่กระจายในอากาศ ตอนนี้หลินเฟิงรู้สึกว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยหมอกจางๆกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเงาสีดำ
"เจ้าได้ยินไหม ไอ้ขยะหลินเฟิงมันยังไม่ตื่น 80%ข้าคิดว่ามันตายแน่ๆ"
"หึหึ ขยะอย่างมันจะดีกว่าถ้าตายเร็วกว่านี้ อยู่ไปก็ขายหน้าตระกูลหลินของพวกเรา"
ไกลออกไป เสียงพูดคุยสนทนากันระหว่างคนสองคนก็ลอยเข้าหูของหลินเฟิง หลินเฟิงไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด ทั้งยังเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เห็นได้ชัดว่าเสียงนี้อยู่ไกลจากเขามากๆ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินอย่างอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ว่าในรัศมีหลายร้อยเมตรนี้จะมีลมพัดใบหญ้าไหว ก็ดูเหมือนว่าไม่อาจรอดพ้นหูของเขาไปได้
หลินเฟิงพบว่าความสามารถในการมองเห็นของตัวเองดีขึ้น กระทั่งความคิดก็ดูเหมือนจะเฉียบคมมากกว่าเดิม ทักษะยุทธในจุดที่เขาไม่เข้าใจก็เริ่มกระจ่าง
ความคิดแล่นขึ้นมาอีกครั้ง จิตวิญญาณงูเล็กๆตนหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหลินเฟิง ร่างเล็กๆกำลังขดตัวอยู่ นี่ก็คือจิตวิญญาณขยะที่ทำให้เขาถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ไม่รู้ว่ามันเป็นงูสายพันธุ์อะไร แต่ที่แน่ๆมันไม่สามารถเพิ่มความสามารถของเขาได้
"จิตวิญญาณนักรบคู่!"
หลินเฟิงในตอนนี้ไม่ได้แค้นเคืองจิตวิญญาณงูน้อยแต่อย่างใด กลับกันเขาแสดงท่าทีตกตะลึงบางอย่าง ทันใดนั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ไม่ผิดแน่ กลุ่มเงาสีดำด้านหลังของเขาก็คือจิตวิญญาณนักรบประเภทหนึ่ง เป็นจิตวิญญาณนักรบที่ตื่นขึ้นมาใหม่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเงาดำๆนี้เป็นจิตวิญญาณนักรบประเภทไหน แต่จิตวิญญาณงูบวกกับจิตวิญญาณเงาดำ มันก็เท่ากับว่าเขามีจิตวิญญาณนักรบถึง 2 ดวง
คนที่มีจิตวิญญาณนักรบ 2 ดวงจะถูกเรียกว่า ‘จิตวิญญาณคู่’ บนทวีปนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีจิตวิญญาณคู่ล้วนเป็นอัจฉริยะ และหลินเฟิงที่ถูกผู้คนเรียกกันว่าไอ้ขยะ ตอนนี้กลับเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณนักรบคู่
“งั้นข้าจะเรียกมันว่า ‘จิตวิญญาณแห่งความมืด’ชั่วคราวก็แล้วกัน” หลินเฟิงยิ้มจางๆ สาเหตุที่ตัวเองสามารถมีจิตวิญญาณนักรบคู่ได้นั้น น่าจะเป็นเพราะการผสานวิญญาณ เมื่อวิญญาณของพวกเขาผสานกันก็จะเป็นวิญญาณของคนสองคน ฉะนั้นการที่มีจิตวิญญาณนักรบคู่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ดูจากความสามารถของจิตวิญญาณนักรบนี้ ในอนาคตก็น่าที่จะยกระดับสมรรถภาพทางกายของเขาได้
หลินเฟิงหลับตาและเริ่มฝึกสมาธิ ทันใดนั้นหยวนชี่ของฟ้าดินก็ไหลเข้าสู่กระดูกนับร้อยและแขนขาในร่างของหลินเฟิง เพื่อขัดเกลาร่างกายและบ่มเพาะจิตวิญญาณนักรบ
2 ชั่วโมงผ่านไป หลินเฟิงก็หยุดการฝึก ในลมหายใจที่พ่นออกมามีไอสีขาวขุ่น รู้สึกกระปี้กระเปร่าไปทั่วร่าง สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายก็ไม่รู้สึกแล้ว
“นี่คือการฝึกของผู้ฝึกยุทธ์งั้นสิ วิเศษนัก” หลินเฟิงมองไปที่กำปั้นของตัวเอง แล้วออกแรงชก เสียงปังๆดังออกมาอย่างต่อเนื่องและเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ดูเหมือนว่าความเร็วในการฝึกจะเร็วกว่าในความทรงจำมากนัก หลินเฟิงเดินออกมาจากห้อง ก่อนที่ลานกว้างขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นตรงหน้า ในลานกว้างมีเสาไม้และเสาหิน สิ่งเหล่านี้มีไว้ให้หลินเฟิงใช้ฝึกฝน
เมื่อเดินมาถึงเสาหินด้านหน้า หลินเฟิงก็โคจรเคล็ดวิชาคลื่นสวรรค์เก้ากระแทก ทันใดนั้นลมของกำปั้นพลันส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะตัดผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีระลอกคลื่นรุนแรงกำลังบิดกระแทกอยู่ในอากาศ
"ย๊าก! "
ตอนนี้เอง หลินเฟิงก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง บิดเอว แขม่วหน้าท้อง ปล่อยหมัด หมัดที่รุนแรงพุ่งออกไปชนกับเสาหินประหนึ่งดาวตก เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว เสาหินที่ถูกชกโดยตรงได้กลายเป็นผงธุลีกระจายอยู่บนพื้น
ไม่เพียงเท่านี้ ลมของหมัดยังได้ทำลายเสาหินที่อยู่ด้านหลังตรงหน้า เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาในอากาศอีกหลายครั้ง คลื่นอากาศที่รุนแรงพุ่งไปด้านหน้าและชนเข้ากับเสาหินอื่นๆ ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง เสาหินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไป 2 เมตรทั้งด้านหน้าและด้านหลังพลันแตกกระจาย
“นี่น่าจะเป็นพลังหกพันจินขึ้นไป” หลินเฟิงพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก ความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ ได้ฟื้นฟูกลับสู่จุดสูงสุดของขอบเขตนักรบปราณขั้น 5 และเคล็ดวิชาคลื่นสวรรค์เก้ากระแทกที่เขาฝึกก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก เขาได้ทะลวงขึ้นมาเป็น 6 คลื่นกระแทก ด้วยเหตุนี้เขาถึงสามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงหกพันจินด้วยขอบเขตนักรบปราณขั้น 5
“ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณแห่งความมืดไม่เพียงแค่เพิ่มความสามารถในการฟังและมองเท่านั้น แต่ยังยกระดับความเร็วในการบ่มเพาะและความเข้าใจอีกด้วย” หลินเฟิงยิ้มจางๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาถูกเรียกว่าไอ้ขยะ นอกจากสาเหตุในเรื่องของจิตวิญญาณนักรบแล้ว ยังเป็นเพราะมีการบ่มเพาะและความเข้าใจที่แย่ คนที่มีพรสวรรค์ในรุ่นเดียวกันกับเขา ได้บรรลุไปยังขอบเขตนักรบปราณขั้น 6 หรือขอบเขตที่สูงกว่านั้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขายังคงติดอยู่ขอบเขตนักรบปราณขั้น 5 ไม่เพียงแค่นี้ ความสามารถในการเข้าใจในเคล็ดวิชาของเขาก็ยังแค่พอไปวัดไปวาเท่านั้น แม้ว่าเขาจะฝึกเคล็ดวิชาคลื่นสวรรค์เก้ากระแทกเพียงอย่างเดียว แต่ก็หยุดค้างอยู่ที่ 5 คลื่นกระแทกและไม่สามารถทะลวงไปได้มากกว่านั้น ดังนั้นจึงถูกผู้คนพากันเยาะเย้ย
ตอนนี้ เมื่อจิตวิญญาณแห่งความมืดได้ถือกำเนิดขึ้นมา ปัญหาเรื่องความเข้าใจในทักษะยุทธที่เขากังวลก็หายไป
จิตวิญญาณนักรบที่สามารถยกระดับคุณภาพของทักษะยุทธในทุกๆด้าน ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณแห่งความมืดจะไม่ใช่จิตวิญญาณธรรมดาๆซะแล้ว…
-----------------
บู๊ ดุ สุดมันส์ ก่อนใคร ได้ที่
เพจ เทพยุทธ์แห่งใต้หล้า
ฝากกดไลค์เพจด้วยนะคะ
กดติดตามเรื่องนี้ (เพราะอาจมีการลบตอนในภายหลัง)
พิเศษ! หากมีผู้อ่านติดตามมากกว่า 5,000 คน
จะแจกฟรีวันละ 2 ตอน เป็นเวลา 3 วัน ให้อ่านกันอย่างจุใจไปเลยจ้า _
เล่มที่ 1 บทที่ 2 การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“เสี่ยวเฟิง”เสียงของชายวัยกลางคนลอยมาจากในลาน ชายคนนี้มีรูปร่างที่สูงเพรียวและกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง ทั้งยังดูคล้ายกับหลินเฟิงอีกด้วย
“ท่านพ่อ”ชายคนนี้ก็คือหลินไห่ ผู้นำตระกูลหลิน และยังเป็นบิดาของหลินเฟิง การผสานวิญญาณทำให้หลิงเฟิงมีความคิดของหลิงเฟิงคนก่อน ดังนั้นจึงเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพ่ออย่างคุ้นเคย และหลินเฟิงก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ
“เสี่ยวเฟิง นี่เจ้า…หายดีแล้วเหรอ!”รอยย่นบนใบหน้าของหลินไห่สั่นไหว ตั้งแต่ตอนที่หลินเฟิงถูกส่งตัวกลับมายังตระกูลหลินในสภาพปางตาย เขาก็หมดสติตลอด ทำให้หลินไห่หมดหวัง แม้กระทั่งจัดเตรียมงานศพให้หลินเฟิง แต่ในเวลานี้ลูกชายของเขาได้ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าแบบมีชีวิต แล้วเขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร
“ใช่ ท่านพ่อ ข้าหายดีแล้ว”เมื่อหลินเฟิงเห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลินไห่ก็ยิ้มออกมา เขารู้สึกอบอุ่นมาก ในอีกโลกหนึ่งหลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตลง เขาต้องเผชิญหน้ากับความอบอุ่นและความเย็นชาของผู้คนด้วยตัวคนเดียว และก็ไม่เคยรู้สึกอบอุ่นแบบนี้มาก่อน
“เยี่ยม เยี่ยมมาก”หลินไห่ตบไหล่ของหลินเฟิงหนักๆ ขณะที่มองไปยังเสาหินที่กลายเป็นฝุ่นผงด้วยแววตาที่เป็นประกาย พี่น้องของเขาต่างรอให้เขาไร้ทายาทแล้วค่อยแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงเฟิงจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ พวกคนเลวพวกนั้นจะต้องผิดหวังแน่ๆ
ทันใดนั้น ร่างกายของหลินไห่ได้ปลดปล่อยความหนาวเย็นออกมา ทำให้หลิงเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังถูกแช่แข็ง
“ท่านพ่อไม่เพียงมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่ง แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาก็ยังสามารถแช่แข็งผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนแอกว่าได้” หลินเฟิงคิดในใจ ขั้นแรกของเส้นทางแห่งนักรบคือ ‘ขอบเขตนักรบปราณ’ มันจะคอยดูดซับหยวนชี่ของฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย เพื่อขัดเกลาร่างกายและฝึกฝนจิตวิญญาณ จากนั้นก็จะกำเนิดเจินชี่ขึ้นมา เพื่อก้าวเข้าสู่ ‘ขอบเขตจิตวิญญาณ’ ซึ่งสามารถฝึกฝนและควบคุมทักษะที่ทรงพลานุภาพ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถสังหารคนได้ และกลายเป็นคนแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แน่นอนว่าหลินไห่ก็คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตจิตวิญญาณ
“เสี่ยวเฟิง ใครเป็นคนทำ?”สีหน้าของหลินไห่พลันเคร่งขรึม ตอนที่หลินเฟิงถูกส่งตัวกลับมาในสภาพปางตาย ดูก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการชีวิตของหลิงเฟิง และในความเป็นจริง ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องการชีวิตของ ‘หลินเฟิง’จริงๆ
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ขอให้ข้าจัดการด้วยตัวเองเถอะ”หลินเฟิงไม่ได้บอกหลินไห่ว่าเขาถูกหลินเหิงบุตรชายของอาสามทำร้าย ในตระกูลหลิน อาสามและลุงใหญ่สมรู้ร่วมคิดกัน เพื่อหวังตำแหน่งผู้นำตระกูล และไม่ว่าจะความแข็งแกร่งหรืออิทธิพลก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินไห่เลย บวกกับหลินเหิงมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว ทั้งยังเป็นศิษย์สายนอกที่โดดเด่นของนิกายหยุนไห่ ด้วยเหตุนี้จึงกล้าที่จะทำร้ายหลินเฟิงจนบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่กลัวเกรง
แค้นนี้ หลินเฟิงจำเป็นต้องชำระมันด้วยตัวเอง ในเส้นทางแห่งนักรบไม่อาจปล่อยให้เม็ดทรายแม้เพียงนิดตกหล่นได้ จิตใจด้านลบใดๆล้วนเป็นอุปสรรคต่อผู้ฝึกยุทธ์
หลินไห่มองลูกชายของตัวเองอย่างแปลกใจ ท่าทางของหลินเฟิงในตอนนี้เปลี่ยนไปจากอดีตมาก ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว มองไม่เห็นถึงความขี้ขลาดเลยสักนิด
ดูเหมือนว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ ในใจของหลินไห่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก“พรุ่งนี้เข้าร่วมการประชุมของตระกูลกับข้า ข้าจะดูสิว่าพวกมันจะไล่ข้าลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูลยังไง”
…………
กลางดึก ความเงียบสงบดุจสายน้ำ
ณ ป่าไผ่ม่วงของตระกูลหลิน หลินเฟิงที่นั่งสมาธิอยู่บนพื้น โดยที่ด้านหลังของเขามีเงามืดอยู่ ซึ่งเงามืดนี้แทบจะกลมกลืนไปกับความมืด และมันก็คือจิตวิญญาณแห่งความมืด
หลินเฟิงได้ค้นพบบางอย่างในระหว่างการฝึก เวลาที่เขาใช้จิตวิญญาณแห่งความมืด ความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ดังนั้นเขาจึงใช้จิตวิญญาณแห่งความมืดตลอดเวลา โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยล้าทางจิตวิญญาณของเขา ในเมื่อพระเจ้ามอบโอกาสกลับมาเกิดใหม่ให้แก่เขา แน่นอนว่าคราวนี้เขาจะต้องมีชีวิตที่ดีให้ได้ ในทวีปเก้าสวรรค์ คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพนับถือและถูกผู้คนยกย่อง รวมไปถึงสามารถเรียกลมเรียกฝนได้
ท่ามกลางความมืดแสงสว่างสีขาวจางๆราวกับหิ่งห้อย ปกคลุมไปทั่วร่างของหลินเฟิง ปรากฏการณ์นี้จะปรากฏขึ้นได้ต่อเมื่อระดับของหยวนชี่ฟ้าดินเข้มข้น
สำหรับผู้มีพรสวรรค์แล้ว ความเร็วในการฝึกฝนจะเร็วมาก ทำให้หยวนชี่ฟ้าดินมารวมตัวอยู่รอบกายและกลายเป็นกลุ่มแสง ซึ่งตอนนี้หลินเฟิงก็อยู่ในสภาวะนี้ด้วย
ในเวลานี้หลินเฟิงหายใจอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าของเขานิ่งสงบ หยวนชี่ฟ้าดินกำลังไหลอยู่ในร่างกายของเขา และหลอมรวมเข้ากับเลือด ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาแข็งแกร่งขึ้น
เป็นเวลานานที่แสงสว่างกระพริบ ร่างกายของหลินเฟิงกลายเป็นถ้ำที่ถมไม่เต็ม แต่ทันใดนั้นหยวนชี่ฟ้าดินสีขาวที่อยู่รอบตัวก็ถูกกลืนเข้าไปในร่างจนหมด
เมื่อลืมตาขึ้นมา ประกายแสงพลันสว่างวูบ ราวกับลำแสงที่แล่นผ่านอย่างรวดเร็ว หลินเฟิงยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏบนมุมปาก เพียงคืนเดียว เขาก็สามารถทะลวงไปยังขั้นถัดไปได้ ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นที่ 6 ของขอบเขตนักรบปราณแล้ว
แต่ทว่าหลินเฟิงก็ยังไม่พอใจ จากความทรงจำของเขา ขอบเขตนักรบปราณขั้น 9 ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะเท่านั้น มันเทียบไม่ได้กับผู้แข็งแกร่งที่สามารถลอยอยู่ในอากาศ หรือท่องเที่ยวอยู่นอกทวีปเก้าสวรรค์ ความอิสระเสรีแบบนั้นเหมือนกับพระเจ้าในโลกก่อนของเขาไม่มีผิด
เมื่อคิดถึงตรงนี้หลินเฟิงก็เริ่มกำหมัดและชกออกไป หมัดลมดังกึกก้อง ก่อนจะพุ่งไปยังไม้ไผ่แล้วระเบิดออกมา เพียงแค่หมัดลมที่แข็งแกร่งก็สามารถบดขยี้ไม้ไผ่ให้เป็นจุลได้
ขอบเขตนักรบปราณถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้น และในแต่ละขั้นจะเพิ่มความแข็งแกร่งหนึ่งพันจิน ซึ่งตอนนี้หลินเฟิงอยู่ในขั้นที่ 6 ของขอบเขตนักรบปราณ จึงมีพลังหกพันจิน ถ้าเขาใช้คลื่นสวรรค์เก้ากระแทกที่ฝึกฝนได้ถึงขั้นที่หก เขาก็จะสามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งถึงหกพันห้าร้อยจิน แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่พอสำหรับหลินเฟิง ถ้าหากว่าเขาสามารถฝึกคลื่นสวรรค์เก้ากระแทกถึงขั้นที่เจ็ด คลื่นกระแทกที่ทรงพลังที่สุดก็ควรจะเป็นเจ็ดพันจิน ซึ่งเทียบได้กับพลังของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขั้นที่ 7 ของขอบเขตนักรบปราณ
พลังที่มากกว่าหกพันจิน ได้ทำลายไม้ไผ่ที่เปราะบางจนเหี้ยน และเปลี่ยนพื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ เหลือเพียงแค่เสียงคำรามของคลื่นลมและหมัด
ตอนนี้เอง ท่ามกลางหมัดลมมีต้นไผ่ต้นหนึ่งที่โค้งงออยู่ไกลๆซึ่งหมัดลมไม่สามารถทำลายได้ มิหนำซ้ำยังสปริงดีดกลับมาเหมือนเดิม เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของหลินเฟิง ทำให้ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปทางนั้น ความเร็วของหมัดก็เริ่มช้าลงเรื่อยๆ
“คลื่นสวรรค์เก้ากระแทก เป็นทักษะที่สร้างเลียนแบบคลื่นทะเล คลื่นลูกใหม่มีความแข็งแกร่งและดุดันกว่าคลื่นลูกเก่า แต่ในเมื่อคลื่นทะเล นอกจากจะมีด้านที่ดุดันแล้ว ก็ยังมีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกัน ถ้าเพียงหลอมรวมความอ่อนโยนเข้าด้วยกัน มันก็จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้แน่ๆ”
ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในหัว หมัดของหลินเฟิงไม่ได้มีแค่ความแข็งกร้าวอีกต่อไป เขาค่อยๆชกออกไปอย่างช้าๆในจังหวะที่ไม่รุนแรงและนุ่มนวลจนเกินไป
“ย๊ะ!”หลินเฟิงตะโกนขณะปล่อยหมัดออกไป
“ตูม ตูม ตูม……”
เสียงระเบิดดังถึงหกครั้ง เจ็ดครั้ง…แปดครั้ง!
หมัดลมที่ปล่อยออกไป ทำให้ต้นไผ่สีม่วงทั้งหมดกลายเป็นผุยผง
“แปดคลื่นกระเเทก ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก”หลินเฟิงหยุดออกหมัดและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เมื่อเข้าใจแก่นแท้ของคลื่นสวรรค์เก้ากระแทก เขาก็สามารถพัฒนาได้ถึงสองขั้น จนสามารถปล่อยแปดคลื่นกระแทกได้ ต้องรู้ว่า การฝึกทักษะจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆตามระดับของผู้ฝึก คนที่อยู่ในระดับขอบเขตนักรบปราณขั้น 5 จะสามารถทำความเข้าใจคลื่นสวรรค์เก้ากระแทกขั้นที่ห้าได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตนักรบปราณขั้น 8 กลับไม่สามารถเข้าใจคลื่นสวรรค์เก้ากระแทกขั้นที่แปดได้ อย่างไรก็ตามหลินเฟิงกลับทำได้
“ตอนนี้ข้าควรจะมีพลังเจ็ดพันห้าร้อยจินแล้ว ขอเพียงแค่ข้าเข้าใจแก่นแท้ของความอ่อนโยน ก็จะบรรลุทักษะคลื่นสวรรค์เก้ากระแทกได้”ในใจของหลินเฟิงพลันรู้สึกยินดีขึ้นมา การฝึกฝนทักษะต่อจากนี้คงจะยากขึ้นรื่อยๆ แต่พลังจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ตอนนี้เขามีพลังเท่ากับเจ็ดพันห้าร้อยจินแล้ว แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบปราณขั้น7 เขาก็สามารถสู้ได้
หลินเฟิงคนก่อน กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบปราณขั้น 5 ก็ไม่สามารถสู้ได้ และมักจะถูกผู้คนรังแกเสมอ แต่หลินเฟิงตอนนี้ที่เพิ่งมายังโลกนี้แค่หนึ่งวัน กลับมีพลังที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบปราณขั้น7 สามารถก้าวข้ามถึงสองขั้น!
-----------------
บู๊ ดุ สุดมันส์ ก่อนใคร ได้ที่
เพจ เทพยุทธ์แห่งใต้หล้า
ฝากกดไลค์เพจด้วยนะคะ
กดติดตามเรื่องนี้ (เพราะอาจมีการลบตอนในภายหลัง)
พิเศษ! หากมีผู้อ่านติดตามมากกว่า 5,000 คน
จะแจกฟรีวันละ 2 ตอน เป็นเวลา 3 วัน ให้อ่านกันอย่างจุใจไปเลยจ้า _
เล่มที่ 1 บทที่ 3 ข่มเหงอย่างป่าเถื่อน
ตระกูลหลินในยามเช้าคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการเรียกประชุมกันขึ้นมา ทำให้ทุกคนในตระกูลหลินมุ่งหน้าไปยังลานฝึกที่กลางคฤหาสน์ของตระกูลหลิน
“ได้ยินมาว่า ในการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ลุงใหญ่ และลุงสามที่กลับมา แต่ผู้อาวุโสก็มาด้วย ดูเหมือนว่าจะเล็งไปที่ตำแหน่งของผู้นำตระกูล”
“ฮ่าๆ ถึงแม้ว่าผู้นำตระกูลจะแข็งแกร่ง แต่บุตรชายโหลยโท่ยของเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ตอนที่คนของนิกายหยุนไห่ส่งเขากลับมา ตระกูลหลินของพวกเราขายขี้หน้ามาก ตัวลุงใหญ่เองก็ค่อยไม่พอใจกับผู้นำตระกูลสักเท่าไหร่ แล้วครั้งจะไม่ถือโอกาสโจมตีได้ยังไง ไม่แน่ว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินอาจจะถูกเปลี่ยนมือ”
ระหว่างทาง คนตระกูลหลินก็พากันซุบซิบนินทา ดูเหมือนทุกคนจะรู้ว่าการประชุมของตระกูลหลินในวันนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ
ทันใดนั้น หลินเฟิงและหลินไห่ก็ปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาเดินบนถนนเพื่อไปยังลานฝึก เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงปลอดภัยดี ในดวงตาของพวกเขา ก็อดไม่ได้ที่จะปรากฎร่องรอยของความแปลกใจขึ้นมา มีบางคนที่คิดว่าทำไมไอ้ขยะนี่ถึงยังไม่ตาย แต่ด้วยฐานะของหลินไห่ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดในสิ่งที่คิดออกมา
“ไอ้ขยะนี่มันโชคดีจริงๆที่ยังไม่ตาย”จู่ๆก็มีเสียงแหลมๆดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนดวงตาเป็นประกาย เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป็นคนที่มีท่าทางไม่ธรรมดากำลังเดินมาทางนี้
คนที่เปิดปากพูดคือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลินหยุน ซึ่งเป็นบุตรชายของหลินเฮ่าหลันลุงสามแห่งตระกูลหลิน หลินหยุนกับหลินเฟิงมีอายุ15 ปีเท่ากัน แต่อีกฝ่ายกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนักรบปราณขั้น 6
“ที่แท้ก็เป็นหลินหยุนนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่กล้าพูดแบบนี้”เมื่อฝูงชนเห็นลุงสามหลินเฮ่าหลันและลุงใหญ่หลินป้าต้าวเดินมาด้วยกัน ก็รู้ได้ทันทีว่ามีเจตนาไม่ดีแน่ๆ
“เจ้าลองพูดอีกทีสิ !”ดวงตาของหลินไห่ฉายแววเย็นชาขึ้นมา ขณะที่มองไปยังหลินหยุน ทำให้ดวงตาของหลินหยุนปรากฎความกลัวออกมา และไม่กล้าที่จะสบตากับหลินไห่
“น้องรอง เจ้าในฐานะผู้นำตระกูลนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆนะ กระทั่งรุ่นลูกก็ยังข่มเหงได้”หลินป้าต้าวกล่าวเสียดสีออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ ถึงอย่างไร ข้าหลินไห่ก็ยังเป็นผู้นำตระกูลอยู่ดี หลินหยุนต่างหากที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ถึงได้ไร้ซึ่งคุณธรรมแบบนี้”หลินไห่ตอบกลับอย่างเย็นชา
“พี่สองท่านช่างอวดบารมีเสียจริงนะ ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าท่านจะอวดอ้างบารมีของผู้นำตระกูลไปได้นานแค่ไหน”หลินเฮ่าหลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “เจ้าบุตรชายขยะของท่าน ถูกคนของนิกายหยุนไห่หามกลับมายังตระกูลหลิน นำความอับอายมาสู่ตระกูลหลิน จะไม่ให้ผู้คนพูดถึงได้อย่างไร”
“ข้าจะอวดอ้างบารมีไปได้นานแค่ไหน?หลินเฮ่าหลัน เจ้าหมายความว่าข้าจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อีกไม่นาน หรือเจ้าอยากจะมาแทนที่ข้า นี่เจ้าคิดว่า เจ้ามีคุณสมบัติพอเหรอ?”หลินไห่ก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา หลินหยุนที่ยืนอยู่ข้างๆหลินเฮ่าหลันก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง เขารีบหลบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของหลินเฮ่าหลันทันที
“มีคุณสมบัติพอหรือไม่มันขึ้นอยู่กับท่านผู้อาวุโส ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับท่าน หลินไห่”สีหน้าของหลินเฮ่าหลันเคร่งขรึมขึ้นมา เขาคาดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ หลินไห่จะเปลี่ยนมาเผด็จการแบบนี้
“เจ้ายอมรับแบบนี้ งั้นก็ดี! ตอนนี้ ข้า หลินไห่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูล ในเมื่อลูกชายของเจ้ากล้าสาปแช่งลูกชายของข้าต่อหน้าข้า ข้าควรจะลงโทษแบบไหนดี”
หลินไห่ไม่มีทีท่าจะยอมถอยเลยสักนิด ความเย็นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิในอากาศก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งน้ำค้างสีขาวก็ปรากฏขึ้น
“เขาคู่ควรที่จะเป็นผู้นำตระกูลจริงๆ แค่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงอำนาจออกมา ก็สามารถกดข่มลุงสามได้ก่อนแล้ว”สายตาของฝูงชนล้วนมองมาทางนี้ ในใจแอบยกย่องเล็กน้อย พวกเขายังคิดอีกว่าหลินไห่อาจจะเปิดฉากจัดการลุงใหญ่และลุงสาม
“หลินไห่ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นรึ”วันนี้หลินเฮ่าหลันได้เตรียมตัวมาก่อนแล้ว ทันทีที่พูดจบ คลื่นความร้อนที่แข็งแกร่งก็พวยพุ่งออกมาต่อต้านความเย็น
“ท่านพ่อมีจิตวิญญาณแห่งน้ำแข็ง ดังนั้นจึงฝึกทักษะน้ำแข็งเป็นหลัก ส่วนหลินเฮ่าหลันมีจิตวิญญาณแห่งเปลวไฟ จึงฝึกทักษะเปลวไฟเป็นหลัก น้ำพิชิตไฟ ต่อให้เป็นหลินเฮ่าหลันก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ ของท่านพ่อได้ ตัวเอกคราวนี้ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เขา”
หลินเฟิงจ้องมองไปยังหลินป้าต้าวที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาเห็นรอยยิ้มเยาะของหลินป้าต้าว ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า“น้องรอง การประชุมของตระกูลใกล้จะเริ่มขึ้นแล้วนะ หรือว่าผู้นำตระกูลอย่างเจ้าไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตาแล้วล่ะ”
กลุ่มผู้อาวุโสคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลหลิน ซึ่งดำรงอยู่เพื่อคอยควบคุมผู้นำตระกูล ดังนั้นหลินป้าต้าวจึงคิดที่จะใช้กลุ่มผู้อาวุโสมากดดันหลินไห่ ให้ออกจากตำแหน่ง
“ฮึ”หลินไห่กวาดตามองหลินเฮ่าหลันอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะถอนกลิ่นอายกลับมา แล้วเดินจากไปพร้อมหลินเฟิง
หลินเฮ่าหลันรู้สึกถึงสายตาเหยียดหยามที่หลินไห่จ้องมองมา ในดวงตาของเขาปรากฏแววตาเย็นชาขึ้นมา ครั้งนี้บุตรชายขยะของมันโชคดีมากที่ยังไม่ตาย แต่ครั้งหน้ามันจะไม่ง่ายเช่นนี้แน่
ไม่ช้าก็เร็วหลินเหิงบุตรชายคนโตของหลินเฮ่าหลันที่เป็นศิษย์สายนอกผู้โดดเด่นของนิกายหยุนไห่ ก็จะกลายเป็นศิษย์สายในแม้กระทั่งอาจจะได้เป็นศิษย์หลัก บิดาอาศัยบุตร เมื่อถึงตอนนั้นสถานะของเขาก็เปรียบเสมือนนํ้าขึ้นเรือลอย ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลหลินก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้
และหลินเชียนบุตรสาวของหลินป้าต้าวก็เป็นผู้มีพรสวรรค์เช่นกัน ตอนนี้นางได้เป็นศิษย์สายในของนิกายเฮ่าเยว่แล้ว อนาคตของนางจะมีแต่ความสำเร็จและไร้ซึ่งขีดจำกัด
ในบรรดาสามคนพี่น้องบุตรชายของหลินไห่มีคุณสมบัติที่ต่ำต้อยที่สุด ถูกผู้คนเรียกขานว่า ไอ้ขยะ นี่เป็นจุดอ่อนที่หลินป้าต้าวและหลินเฮ่าหลันอาศัยโจมตีหลินไห่ ตอนนี้กลุ่มผู้อาวุโสก็มีแนวโน้มที่จะเอนเอียงมาทางพวกเขา และด้วยแนวโน้มนี้ แม้แต่หลินไห่ก็ไม่สามารถขัดขวางได้
ณ.ลานฝึกขนาดใหญ่ สมาชิกของตระกูลหลินราวๆ400-500คนมารวมตัวกันที่นี่ และตรงกลางของลานฝึกจะมีเวทีหินสีเขียวตั้งอยู่ เวลานี้ผู้ทรงอำนาจของตระกูลหลินได้มาถึงแล้ว
“ท่านผู้อาวุโสทุกท่าน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีคนจากนิกายหยุนไห่มาที่ตระกูลหลินของพวกเรา เดิมทีก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่าความจริงแล้วพวกเขาจะมาส่งขยะใกล้ตายเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้ตระกูลหลินของพวกเราขายหน้ายิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอยากเสนอให้ขับไล่หลินเฟิงออกจากตระกูล เขาไม่เหมาะที่จะเป็นลูกหลานในตระกูลหลิน”
หลินเฮ่าหลันลุกยืนขึ้น ก่อนจะประสานมือไปทางเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ แล้วเปิดฉากกล่าวโจมตีก่อน
“เจ้ากล่าวได้ตรงไปตรงมามาก ช่างพูดได้ตรงประเด็นจริงๆ แต่ข้า ผู้เป็นผู้นำของตระกูลยังไม่ทันได้กล่าวอะไร แล้วมันถึงรอบของน้องสามตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าถึงได้ออกท่าออกทางเช่นนี้ ไสหัวกลับไปนั่งที่ของเจ้าซะ”แน่นอนว่าหลินไห่รู้จุดประสงค์ของหลินเฮ่าหลันอย่างชัดเจน เขาอยากจะเห็นว่าอีกฝ่ายจะขับไล่ลูกชายของเขาออกจากตระกูลยังไง จากนั้นจะแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขาอย่างไร
“น้องรอง ที่เจ้าพูดมามันก็ไม่ถูก ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำของตระกูล แต่น้องสามก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถือหางเสือของตระกูลหลินนะ เพื่อประโยชน์ของตระกูลหลิน บุตรชายไม่ได้ความของเจ้าที่ดีแต่จะสร้างความอับอายให้กับตระกูลหลินของพวกเรา สมควรที่จะถูกขับออกจากตระกูล”หลินป้าต้าวตั้งใจพูดเสียงดังเพื่อโจมตีหลินไห่
“บุตรชายข้า ข้าดูแลเองได้ เรื่องในครอบครัวของข้า ยังไม่ถึงคราวที่พวกเจ้าจะเข้ามาสอด หลินป้าต้าว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้ตำแหน่งของข้ามาโดยตลอด เอาแบบนี้ก็แล้วกัน วันนี้เจ้ากับข้ามาประลองกัน ถ้าเจ้าชนะข้า ข้าจะให้บุตรชายของข้าออกจากตระกูลหลิน แต่ถ้าเจ้าแพ้…ก็เลิกพูดจาเหลวไหลซะ”
หลินไห่ลุกขึ้นยืนและก้าวไปยังเวทีสูงที่อยู่ตรงกลางลานฝึก เขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา ทางหลินป้าต้าว ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะประลอง แต่ทว่าก็จำต้องประลอง
หลินเฟิงเห็นแบบนี้ก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อบิดาของตัวเองทันที นี่มันยกตนข่มท่านชัดๆ!!ในใจของเขาพลันกระจ่าง ในทวีปนี้ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ มีเพียงแค่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์พูด เขาอยากจะใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองทำให้ฝ่ายตรงข้ามหุบปาก
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะแพ้จริงๆ”หลินป้าต้าวได้ยินที่หลินไห่กล่าววาจาไร้สาระดูแคลนตัวเอง ก็พลันโมโหขึ้นมา ร่างของเขาก้าวเข้าไปประจันหน้ากับหลินไห่
เหล่าผู้อาวุโสยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาล้วนมีความสุขเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าหลินไห่แพ้ให้หลินป้าต้าว ทั้งยังมีบุตรชายเป็นขยะผู้หนึ่ง ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินคงได้เปลี่ยนผู้นำอย่างแน่นอน
“ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าเจ้าอาศัยอะไรถึงได้เย่อหยิ่งแบบนี้”หลินป้าต้าวหัวเราะเยาะ แต่หลินไห่กลับไม่สนใจคำพูดไร้สาระของเขา น้ำแข็งพลันปกคลุมบนเวที ผู้คนนับร้อยในตระกูลหลินต่างรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูก
นี่เป็นพลังของจิตวิญญาณแห่งนักรบ
จิตวิญญาณของหลินไห่ก็คือจิตวิญญาณแห่งน้ำแข็ง เมื่อปล่อยพลังออกมา จะทำให้ศัตรูที่อยู่รอบๆถูกความหนาวเย็นกัดกร่อน
“เขตแดนน้ำแข็งพันลี้”หลินป้าต้าวที่เพิ่งปลดปล่อยจิตวิญญาณของตัวเอง กลับได้ยินเสียงของหลินไห่ตะโกนออกมา ทันใดนั้นเสียงแกร๊กๆก็ดังขึ้นโดยมีหลินไห่เป็นจุดศูนย์กลาง น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่บนเวทีพลันแพร่กระจายออกไปรอบๆ ไม่นานเวทีทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาว ส่วนหลินป้าต้าวตอนนี้ได้กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง และถูกผนึกไว้ในก้อนน้ำแข็ง
“ตู้ม!”เสียงระเบิดดังขึ้น ก้อนน้ำแข็งพลันแตกกระจาย พวกเขาเห็นร่างของหลินป้าต้าวกระเด็นออกมาพร้อมกระอักเลือดเป็นฝอย ไม่นานร่างของเขาก็ร่วงลงพื้นอย่างจัง
เหล่าผู้อาวุโสต่างลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นฉากที่น่าตกตะลึงตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าเพียงกระบวนท่าเดียว หลินป้าต้าวก็แพ้ง่ายๆเช่นนี้
“เขตแดนน้ำแข็งพันลี้ ที่แท้หลินไห่ก็บรรลุทักษะเขตแดนน้ำแข็งขั้นที่แปดแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะแข็งแกร่งเช่นนี้”สายตาของผู้อาวุโสเปล่งประกาย หลินไห่มีจิตวิญญาณแห่งน้ำแข็ง บวกกับทักษะเขตแดนน้ำแข็งที่ทรงพลัง ทำให้สามารถแช่แข็งหลินป้าต้าวได้ในพริบตา จากนั้นก็ใช้กระบวนท่าสังหาร
ด้วยกระบวนท่าต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้หลินป้าต้าวไม่มีเวลาตอบสนอง ถ้าเพียงหลินไห่ช้ากว่านี้อีกครึ่งก้าว เกรงว่าเรื่องคงไม่ง่ายดายแบบนี้แน่
สายตาของคนในตระกูลหลินฉายแววทึมทื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถึงเห็นความร้ายกาจของหลินไห่ เขาทรงพลังกว่าลุงใหญ่หลินป้าต้าวมาก
หลินป้าต้าวกระอักเลือดออกมาและจ้องมองหลินไห่ด้วยความรู้สึกเกลียดชัง แต่หลินไห่กลับไม่สนใจ เขาเดาได้ว่าการที่หลินเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัส จะต้องเกี่ยวข้องกับพี่น้องทั้งสองคนอย่างแน่นอน ในเมื่อพวกมันต้องการที่จะสังหารบุตรชายของเขา แล้วข้า หลินไห่ยังต้องสนใจความรู้สึกของพี่น้องอยู่อีกหรือ
“ท่านผู้อาวุโสทุกท่าน เชิญประชุมต่อเถิด”หลินไห่สอดแขนเข้ากับ แขนเสื้อ ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งตัวเองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หึๆ หลินไห่ ในฐานะผู้นำตระกูล การที่เจ้าพัฒนาไปได้อีกหนึ่งขั้น นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีมาก ข้าเชื่อว่าพวกเด็กๆในตระกูลหลินจะต้องตั้งใจฝึกฝนหนักอย่างแน่นอน เอาล่ะ จุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ทุกคนแยกย้ายได้”ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มเล็กน้อย ตอนนี้ไม่มีความหมายที่จะประชุมต่อ
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวลาไปก่อน”หลินเฟิงลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือไปทางผู้อาวุโสสูงสุด
“หลินไห่ ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าเจ้าจะปกป้องไอ้ขยะนี่ไปได้นานสักเท่าไหร่”เมื่อหลินเฮ่าหลันเห็นเป้าหมายไม่บรรลุผล จึงพูดเสียดสีขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ใช่ ไอ้ขยะอย่างเจ้า นับว่าเป็นความอัปยศของตระกูลหลิน”หลินหยุนรีบพูดเสริมขึ้นมา แต่เมื่อเห็นหลินไห่ปรายตามอง ก็รีบหุบปากลงทันที
“เสี่ยวเฟิง พวกเราไปกันเถอะ”หลินไห่ไม่อยากสนใจอีกฝ่ายอีก แต่หลินเฟิงกลับไม่เดินตามมา มิหนำซ้ำยังก้าวเท้าไปทางหลินหยุน ฉากนี้ทำให้ผู้คนมีสีหน้าสับสน ไม่รู้ว่าหลินเฟยคิดจะทำอะไรกันแน่
หลินไห่มองบุตรชายของตนเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นหลินเฟิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลินหยุน จากนั้นก็มองหน้าหลินหยุนแล้วพูดว่า“หลินหยุน เจ้าเรียกข้าว่าไอ้ขยะทุกคำ ข้าอยากถามว่า ถ้าหากวันหนึ่งเจ้าค้นพบว่าตัวเองแย่ยิ่งกว่าข้า เจ้าจะหาทางลงให้ตัวเองได้อย่างไร ?”
“เจ้าฝันอยู่หรือเปล่า ไอ้ขยะอย่างเจ้าเนี่ยนะ จะสามารถเทียบข้าได้”หลินหยุนคิดไม่ถึงเลยว่าไอ้ขยะหลินเฟิงจะกล้าพูดแบบนี้กับเขา จึงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย
แววตาของหลินเฟิงเปล่งประกาย จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“หลินหยุน ข้าหลินเฟิง ขอท้าประลองกับเจ้า”
-----------------
บู๊ ดุ สุดมันส์ ก่อนใคร ได้ที่
เพจ เทพยุทธ์แห่งใต้หล้า
ฝากกดไลค์เพจด้วยนะคะ
กดติดตามเรื่องนี้ (เพราะอาจมีการลบตอนในภายหลัง)
พิเศษ! หากมีผู้อ่านติดตามมากกว่า 5,000 คน
จะแจกฟรีวันละ 2 ตอน เป็นเวลา 3 วัน ให้อ่านกันอย่างจุใจไปเลยจ้า _
ความเห็น 0