โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Eternal Sunshine of the Spotless Mind - ลบอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ - เพจ Kanin The Movie

TALK TODAY

เผยแพร่ 04 ธ.ค. 2562 เวลา 03.37 น. • เพจ Kanin The Movie

“ถ้าวันหนึ่งมนุษย์สามารถลบความทรงจำได้ โลกนี้จะเป็นอย่างไร?”อาจจะฟังดูเป็นคำถามที่แสนเพ้อเจ้อเพราะความเกินจริง แต่ถ้าลองตัดความเป็นไปได้ออกไปก็นับว่าเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจไม่น้อย โลกที่มนุษย์มีอำนาจควบคุมและจัดการข้อมูลภายในหัว สามารถเลือกรับและก็คัดออกได้ดั่งใจนึก มันอาจจะเป็นโลกที่เราไม่ต้องรู้สึกกลัวการ “จดจำ” หรือพาใครสักคนเข้ามาในชีวิตเพราะไม่ต้องเสียเวลาอันแสนทรมานไปกับการ “ลืม” , ในแง่หนึ่งมันช่างเป็นโลกที่ชวนให้รู้สึกปลอดภัย(ต่อใจ)มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ว่ามันจะมีอิทธิพลต่อองค์ประกอบชีวิตของเราอย่างไร 

นี่คือคอนเซ็ปต์ของ “Eternal Sunshine of the Spotless Mind” ภาพยนตร์ โรแมนติก-ดราม่า-ไซไฟ ที่พาผู้ชมไปพบกับโลกอนาคตที่มนุษย์สามารถคิดค้นเครื่องลบความทรงจำได้ เรื่องราวความสัมพันธ์แตกร้าวของชายหญิงสองคนที่อลหม่านวุ่นวายเมื่อฝ่ายชายพบว่าอดีตคนรักตนไปใช้บริการล้างความทรงจำ ลบเขาออกจากชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความรู้สึกที่ไม่แฟร์ ทั้งเจ็บ ทั้งโกรธ เขาจึงเดินทางไปใช้บริการเดียวกันเพื่อลบเธอกลับ อันเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยแสนประหลาดบิดเบี้ยวภายในสมอง โลกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง เผชิญเพื่อลืมมันในเช้าวันรุ่งขึ้น

โปรเจ็กต์ Eternal Sunshine of the Spotless Mind เริ่มขึ้นมาจากไอเดียแสนบรรเจิดของเพื่อน มิเชล กอนดรี้ ผู้กำกับ-เขียนบท ที่สนใจอยากทดลองส่งการ์ดแจ้งว่า “มีคนลบความทรงจำของคุณแล้ว” ให้กับใครสักคนพร้อมทิ้งท้ายว่า “ได้โปรดอย่าติดต่อเขาอีก” จากคอนเซ็ปต์เก๋ๆดังกล่าวได้ถูกพัฒนากลายมาเป็นบทหนังที่มุ่งเน้นศึกษาไปยังความสัมพันธ์ของมนุษย์ผ่านพล็อตไซไฟ (และไม่ได้เน้นไปทางวิทยาศาสตร์นัก ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจของ ชาร์ลี คอฟฟ์แมน ที่ต้องการให้หนังมีพื้นที่กับมนุษย์และเรื่องราวความรักมากกว่า) หากฟังเพียงคอนเซ็ปต์แรกเริ่มมันอาจจะดูเป็นหนังที่ง่าย ทั้งง่ายต่อการนำเสนอ(ขายสตูดิโอ) และง่ายต่อการทำความเข้าใจ แต่เอาเข้าจริงแล้วหนังมีโครงสร้างที่ซับซ้อนอยู่มากพอสมควร เมื่อจำเป็นจะต้องเล่าชีวิตของมนุษย์ในหลายๆชั้น ตั้งแต่ช่วงเวลาในปัจจุบัน ช่วงเวลาในอดีต และช่วงเวลาภายในหัวของพวกเขาที่ทับซ้อนสลับกันไปมาระหว่างโลกความจริงและความทรงจำภายในสมอง จนปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือภาพยนตร์ที่ทำให้ใครหลายคนสับสนระหว่างชมอยู่ไม่น้อย และอาจไปถึงในระดับไม่เข้าใจจนถูกเรียกร้องให้รับชมใหม่ในอีกที - เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นหนังที่คอนเซ็ปต์หลุดโลก แต่ยังถูกดีไซน์วิธีการเล่าออกมาได้ท้าทายกับเราด้วย

ประเด็นสำคัญของ Eternal Sunshine of the Spotless Mind ไม่ใช่การท้าทายกับความเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนังไม่ได้สนใจวิธีการหรือกลไกทำงานของเจ้าเครื่องลบความทรงจำเสียเท่าไหร่ หากแต่เป็นการตั้งคำถามในเชิง “What If?” กับผู้ชมเสียมากกว่าว่าถ้าวันหนึ่งเรามีเครื่องเหล่านี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวการลบความทรงจำส่งผลลัพธ์กระจัดกระจายไปสู่พล็อตหลักและพล็อตรองอย่างสนุกหรรษา ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของ โจเอล และ คลีเมนไทน์ ไปจนถึงคนอื่นๆที่อยู่ร่วมใน “ปฏิบัติการล้างสมอง” หนังชูประเด็นความทรงจำขึ้นมาเพื่อท้าทายและส่งต่อไปยังหัวข้ออื่นๆอันแสนเข้มข้น ทั้งการตั้งคำถามกับคำว่า “รักแท้” การพยายามช่างน้ำหนักและจำแนก “ความรู้สึกกับความทรงจำ” ไปจนถึงการขุดลึกลงไปยัง “รากเหง้าของปัญหาชีวิตคู่” มันมีทั้งเรื่องที่แสนชัดเจนและหลายๆเหตุการณ์ที่ลึกลับเกินกว่าเข้าใจ ซึ่งสำหรับหนัง ความรักคือหนึ่งในนั้น มันกำลังพูดถึงข้อมูลชุดหนึ่งที่เราบันทึกภายในหัว เรื่องราวของคนรัก เรื่องราวของครอบครัว เรื่องราวของช่วงเวลาต่างๆ แต่สำหรับความรู้สึก มันอาจกลายเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ยากจะสรุปหรือหาคำตอบได้ชัดเจน - คำถามที่ว่า “ถ้าเราจำใครสักคนไม่ได้แล้ว เราจะหมดรักเขา” จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ เรื่องราวความรักบ้าๆบอๆที่มนุษย์พยายามใช้วิทยาศาสตร์แก้ไขแต่ก็พบว่ามันไม่ใช่ทุกอย่าง (หรืออาจไม่ใช่อะไรเลย)

หัวข้อนี้อาจจะชวนให้เรานึกถึงเรื่อง Equals (2015) ที่สามารถดูเป็น “เรื่องราวคู่ขนาน” กันได้ หนังไซไฟอันว่าด้วยโลกอนาคตที่มนุษย์ยุคหลังถูกลบความรู้สึกออกจากสมองเพื่อไม่ให้ความเป็นมนุษย์สร้างปัญหาต่อชีวิต สังคม และโลก ดินแดนยูโทเปียอันแสนสงบไร้ซึ่งปัญหาและสงครามกลายเป็นคำถามที่น่าสนใจว่า หากวันหนึ่งมนุษย์เราถูกโปรแกรมเพื่อไม่ให้รู้สึกต่อสิ่งอะไร ไม่ให้เศร้า ไม่ให้โกรธ ไม่ให้รัก หรือกระทั่งเจ็บปวด เราจะยังเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ครบถ้วนได้อยู่หรือไม่ ความย้อนแย้งระหว่าง (ไร้)ความทรงจำ-(มาก)ความรู้สึก และ (มาก)ความรู้สึก-(ไร้)ความทรงจำ จากทั้งสองเรื่องท้าทายกับความเป็นเราได้เป็นอย่างดี มันมีเหตุผลรองรับในการมีอยู่ของเทคโนโลยีเหล่านี้ คำถามคือ มันจำเป็นสักเพียงไหนที่มนุษย์จะมีอำนาจในการลบใครบางคนออกจากชีวิตอย่างง่ายดาย หรือไม่ต้องรู้สึกรู้สากับสิ่งใดๆ ให้การมีความรักกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายไปได้ตามต้องการ

เราจึงค่อนข้างชอบชื่อไทยของ Eternal Sunshine of the Spotless Mind อย่าง “ลบเธอ…ให้ไม่ลืม” มากๆ รู้สึกว่าชื่อนี้นี่แหละที่เหมาะสมกับหนัง หากเรามองภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะชีวิตจริง ก็อาจจะพูดได้ว่ายิ่งมนุษย์พยายามจะกำจัดสิ่งใดออกจากหัวมากเท่าไหร่ มันกลับกลายเป็นว่าเรากำลังใช้ทางลัดจดจำมันอย่างขึ้นใจอยู่พร้อมๆกันด้วย การลบจึงกลายเป็นการบันทึกในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหนังแสดงให้เห็นแล้วว่าในบทสรุปเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสองลงเอยอย่างไร การลบได้นำมาสู่จุดจบโดยสมบูรณ์ของทั้งสองจริงๆหรือไม่ หรือเป็นการ “จดจำอย่างเข้าใจ” ต่างหากที่ทำให้เราสามารถจัดการกับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาได้โดยไม่ต้องอาศัยการลืมเลยสักนิดเดียว นี่จึงเป็นภาพยนตร์โรแมนติกที่แปลกมากๆอย่างไม่ต้องสงสัย มันไม่เพียงแต่มีไอเดียที่ชวนเหวอหรือการหักมุมที่ชวนบ้าเท่านั้น แต่วิสัยทัศน์ของ มิเชล กอนดรี้ (รวมถึงบทภาพยนตร์) ยังทำให้หนังมีการดีไซน์ที่เวียร์ดขั้นสุดอีกด้วย เราจะได้เห็นว่าโลกภายในสมองมันยุ่งเหยิงและบิดเบี้ยวแค่ไหนเมื่อเข้าสู่กระบวนการล้างความทรงจำ ความไม่ต่อเนื่องของเวลาและเหตุการณ์ และการผกผันของสรรพสิ่งต่างๆที่อยู่เหนือความคาดเดาทำให้ภาพรวมมันคือหนังผจญภัยแสนบ้าบอเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินไปได้ตลอดรอดฝั่ง (และเอาเข้าจริงๆ หากมองในฐานะเบื้องหลังหนัง มันคือโปรเจ็กต์ที่ทะเยอทะยานสุดขีดหากลองมาแกะทีละซีนหรือซีเควนซ์ดู)

ที่เอามาเขียนแนะนำก็เพราะว่าวันที่ 16 ธันวาคมนี้ Eternal Sunshine of the Spotless Mind จะมาลงให้ชมกัน (อีกครั้ง) ทาง Netflix และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เชื้อเชิญให้เพื่อนๆได้ชม “ภาพยนตร์รักที่งดงามที่สุดเรืองหนึ่งของโลก” เรื่องนี้กัน หนังนำแสดงโดย จิม แคร์รี่ และ เคต วินสเล็ต กับบทบาทที่สุดขีดทั้งคู่ (โดยเฉพาะ จิม ที่ไม่เพียงแต่เป็นบทที่ฉีกมากๆของเขา แต่ยังเป็นการแสดงที่ได้ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวเข้ามารวมอยู่ด้วย: การล้มเหลวในความรักอย่างซ้ำๆซากๆ) นี่คือภาพยนตร์ที่อยากให้ทุกคนได้ดูกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะผู้ทิ้ง ถูกทิ้ง กำลังเลิกรา หรือว่าคบหากันดีอยู่ มันคือหนังที่พาเราไปทำความเข้าใจกับคำว่าความรักได้แสนจะทะเยอทะยาน และก็แสดงปัญหาความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ออกมาได้ถึงแก่นเช่นเดียวกัน (ชอบเรื่องการยอมรับตัวตนในหนังมากๆ การได้รับรู้และเข้าใจข้อเสียของกันและกันมันสำคัญมากๆ ทั้งหมดที่เราต้องการก็แค่คำว่า “โอเค” ให้กับอีกฝ่าย ไม่ว่าอย่างไรก็จะโอเคไปด้วยกัน)

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0