จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ พบศพนายสมพงษ์ ชื่นใจ อายุ 72 ปี แขวนคอเสียชีวิตอยู่ในบ้านพัก ใกล้กันยังพบศพนางศศิธร อายุ 29 ปี นอนเสียชีวิต โดยพบรอยบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งจนกะโหลกยุบ ซึ่งในบ้านที่เกิดเหตุยังพบหลักฐานเป็นไม้หน้าสามขนาดยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่งจำนวน 1 ท่อนมีคราบเลือดติดตกอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสันนิษฐานว่านายสมพงษ์ได้ใช้ไม้ตีนางศศิธรจนเสียชีวิต ก่อนจะแขวนคอตายตาม ซึ่งทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่นางศศิธรมักมาขอเงินจากนายสมพงษ์เป็นประจำ คาดว่าเกิดจากความหึงหวง (อ่าน : ตร.อึ้ง เฒ่าพ่อม่าย 72 หึงโหดไม้ฟาดหัวสาว 26 ดับ ก่อนแขวนคอตาย เพื่อนบ้านช็อก ไม่นึกคนดีก่อเหตุ)
วันที่ 23 ม.ค. 62 นางสุเบญจา ทองพิมพ์ ลูกสะใภ้ของนายสมพงษ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 ม.ค.) เวลาประมาณ 14.00 น. ตนได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของนางสาวศศิธรขับเข้ามายังบ้านของลุงสมพงษ์ กระทั่งเวลาผ่านไป ตนได้ยินเสียงดังคล้ายกับแก้วแตกหล่นพื้น แต่ไม่มั่นใจว่าเป็นเสียงอะไร เพราะตอนนั้นไม่ได้ยินเสียงคนมีปากเสียงกัน ตนจึงไม่ได้ออกไปดู แล้วก็นอนหลับไปเพราะตนกำลังป่วย
จากนั้นช่วงเย็น สามีของนางสาวศศิธรก็มาที่บ้านเกิดเหตุ พร้อมบอกว่ารถจักรยานยนต์ของนางสาวศศิธรเป็นของตัวเอง และพยายามจะเปิดประตูบ้านนายสมพงษ์ แต่ก็ไม่มีคนตอบรับ สามีนางสาวศศิธรจึงกลับออกไปเรียกให้คนมาช่วย กระทั่งมารู้อีกทีก็ตอนตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุ และมีศพเสียชีวิตอยู่สองรายภายในบ้าน ตนเองก็ไม่ได้เข้าไปดูศพเพราะตำรวจไม่อนุญาตให้เข้า
โดยเรื่องที่เขาคงหากับนางสาวศศิธร ตนเองไม่เคยสอบถาม แต่คาดว่ารู้จักกันมาราว 1 ปีแล้ว ซึ่งตนเคยเตือนลุงสมพงษ์ไปว่า อย่าไปยุ่งกับเขา เพราะตนกลัวว่าเขาจะมาหลอกเอาเงิน โดยตนพอจะรู้ว่าเวลานางสาวศศิธรมาหา ก็จะมาขอเงินลุงสมพงษ์ครั้งละ 200 – 300 บาท เพราะลุงก็ไม่ได้มีเงินมากนัก
นางสุเบญจา กล่าวต่อว่า แม้ลุงสมพงษ์จะอายุมากแล้ว แต่เขาก็มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี อีกทั้งยังเป็นคนใจดี ที่ผ่านมา ภรรยาของลุงสมพงษ์เสียชีวิตไปได้ 6 ปีแล้ว ตนก็เห็นว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่บ้านเพียงลำพังเท่านั้น ที่ผ่านมา นางสาวศศิธรมักจะมา ๆ ไป ๆ ไม่ได้มาพักด้วยกัน ซึ่งลุงสมพงษ์ทราบดีว่า นางสาวศศิธรมีสามีและลูกแล้ว แล้วสามีของเขาก็ไม่เคยมาบ้านลุงสมพงษ์ด้วย มาครั้งแรกคือตอนพบศพ ตนเห็นว่าเขามีท่าทีเสียใจ และไม่ได้พูดอะไรเลยตอนที่พบศพ
ด้าน นางอุไร คำออน เพื่อนบ้านของลุงสมพงษ์ ระบุว่า ตนเป็นคนรับจ้างนายสมพงษ์มาตัดหญ้าที่บ้านเป็นประจำ โดยจะให้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ซึ่งนายสมพงษ์ไม่เคยเอ่ยปากว่าเงินค่าจ้างไม่พอใช้ มีแต่ตอนที่ขัดสน จะมาขอเบิกเงินค่าจ้างล่วงหน้าแล้วก็มาช่วยงานอีกวัน และเคยได้ยินคนอื่นพูดกันหนาหูว่า นายสมพงษ์นำเงินไปเลี้ยงสาว
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าเงินค่าจ้างที่นายสมพงษ์มาขอเบิกล่วงหน้าไป อาจจะเอาไปใช้หรือนำไปให้นางสาวศศิธร แต่เหตุที่นายสมพงษ์จะโมโหเพราะนางสาวศศิธรนำเงินไปใช้นั้น ตนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะนายสมพงศ์เป็นคนใจดี แต่หากผู้หญิงมาขอเงินก็มักจะให้ตลอด ซึ่งปมแรงจูงใจครั้งนี้ ตนไม่สามารถระบุได้ เพราะเขาคบหากันแค่สองคน ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการหึงหวงหรือไม่ ตนคิดว่านายสมพงษ์ไม่น่าจะหึงหวง
ต่อมา ที่วัดสันใต้ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่กำลังเตรียมจัดงานสวดอภิธรรมศพของนางสาวศศิธร อายุ 29 ปี โดย นายฝัน (นามสมมติ) สามีของนางสาวศศิธร เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุ ช่วงบ่าย ตนได้ยินนางสาวศศิธรรับโทรศัพท์แล้วก็ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไป ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเขาไปไหน ตนจึงตัดสินใจไปรับลูกที่โรงเรียนกลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้าน เวลา 16.30 น. ก็พยายามโทรไปหาอีก แต่ก็ไม่มีคนรับ ตนจึงสอบถามกับลูกว่า ”แม่ไปอยู่บ้านกิ๊กหลังไหน” ปรากฏว่าลูกสาวคนโตวัย 7 ขวบ ทราบเส้นทาง เพราะแม่เคยพาไปหานายสมพงษ์หลายครั้ง แต่ไม่ยอมบอกตน เนื่องจากถูกกำชับไม่ให้บอก และกลัวพ่อทะเลาะกับแม่ ตนจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตระเวนตามหาทั่วทั้งอำเภอสันกำแพง กระทั่งตนบอกกับลูกว่า ตนกลัวแม่จะอยู่ในอันตราย ให้รีบบอกตนว่าบ้านที่แม่ชอบไปหาลุงคนนั้นอยู่ที่ไหน ลูกจึงยอมบอกทางไปบ้านลุงสมพงษ์
นายฝัน เล่าว่า ตนคบหากับนางสาวศศิธร มาเป็นเวลา 9 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน เป็นผู้หญิงฝาแฝด 1 คู่วัย 5 ขวบ และผู้หญิงคนโตวัย 7 ขวบ ซึ่งระหว่างคบหากันก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน แต่เมื่อพักหลัง นางสาวศศิธร ลาออกจากงานแล้วก็มาอยู่บ้าน และก่อนหน้านี้ตนก็รู้สึกสงสัยอยุ่แล้วว่านางสาวศศิธรมีคนอื่นหรือไม่
หลังเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นในขณะที่แฟนของมีชีวิต ตนก็พร้อมให้อภัยแฟนเสมอ ตนรักเขา ถ้าจับได้ตนก็คงไม่ไปทำร้ายนายสมพงษ์ ตนเองไม่อยากให้เป็นเรื่อง เนื่องจากตนเป็นห่วงลูก จึงคิดว่า หากได้พูดคุยกันเพื่อเคลียร์กันก็คงจะดี ทั้งนี้ ตนคิดว่าแฟนนำเงินของนายสมพงษ์มาจริง แต่ตนก็ได้เงินแฟนใช้ทุกเดือน แต่ตนก็ไม่รู้ว่าพอหรือไม่ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยบอกตน
หลังจากนี้ ตนเองกับญาติๆ คงจะช่วยกันเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนต่อ ขณะนี้ลูกทั้งสามคนทราบแล้วว่าแม่เสียชีวิต รวมถึงตนคงได้แต่อโหสิกรรมให้แฟนสาว ตนไม่คิดโกรธเคือง ขอให้ไปดี ไม่ต้องห่วง