เดือนแห่งความรักมาถึงแล้วทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ความหอมหวานของความรัก และแสดงความเสียใจกับผู้ที่ยังติดอยู่ในความขมขื่นเช่นเดียวกัน เดือนกุมภาพันธ์ถือว่าเป็นเดือนยอดฮิตแห่งการบอกรักและการแต่งงาน แต่หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า “วาระวาเลนไทน์” นั้นก็เป็นวาระแห่งการเลิกราและหย่าร้างได้เช่นเดียวกัน
เมื่อความรักเริ่มหมดอายุ เราก็ต้องถามตัวเองแล้วว่าตกลงเราอยากจะเลิกราแยกย้ายกันไป หรือจับมือฝ่าฟันอุปสรรคตรงหน้าด้วยกัน หากใครที่เลือกเดินทางไปด้วยกันต่อแล้วนั้น ก็อาจจะถึงเวลาที่คุณจะต้องมองหา Marriage Therapist หรือ นักบำบัดชีวิตสมรสใกล้บ้านเพื่อขอรับคำปรึกษาแล้วว่าทำอย่างไรดีถึงจะประคับประคองชีวิตคู่ต่อไปได้ ซึ่งบอกเลยว่าวิธีนี้เป็นที่นิยมมากในเมืองนอกมากกว่าในประเทศไทย พวกเรามักเลือกโทรไประบายกับเพื่อนสนิทและญาติมิตรแทน แต่รู้มั้ยว่าการได้ปรึกษากับนักบำบัดมันมีประโยชน์แบบที่เราไม่คาดคิดจริงๆ
แล้วทุกคนรู้มั้ยว่า.. ความจริงเบื้องหลังในการให้คำปรึกษาของนักบำบัดพวกนี้นั้นเขาทำงานกันอย่างไร?
1.พวกเขาไม่ได้เป็นหมอที่รักษาความรัก พวกเขาคือนักสืบ!
Becky Whetstone หนึ่งในนักบำบัดสมรสได้กล่าวว่าตามสถิติแล้ว ไม่มีนักบำบัดคนไหนที่จะรู้เรื่องชีวิตรักทั้งหมดของลูกค้าภายในการปรึกษาครั้งแรก ฉะนั้นเขาจำเป็นจะต้องฟัง ฟัง และฟัง! ที่สำคัญคือเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าใครกันแน่คือคนที่โกหก เพราะเมื่อสามีภรรยามีบางจุดที่พูดจาไม่ตรงกันแล้ว ย่อมแปลว่ามีใครคนหนึ่งตั้งใจละข้อมูลสำคัญบางอย่างให้หายไป กรณีที่แย่ที่สุดคือตั้งใจปกปิด บิดเบือนข้อมูลบางอย่างและโกหกให้นักบำบัดฟัง
นอกจากฟังแล้วตาต้องดีด้วย! นักบำบัดทุกคนยังอ่านความจริงด้วยการวิเคราะห์ภาษากายของลูกค้าที่เป็นคู่สมรสอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง การสอบสายตา การพยักหน้าและส่ายหัว ทุกอย่างล้วนต้องนำมาประเมินหมด เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่อ่านโค้ดเลยทีเดียว ไม่ว่าคุณจะยืนยันว่าตัวเองพูดจริงอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเกิดมีอาการน่าสงสัยหลุดรอดออกมา นักสืบตรงหน้าก็พร้อมที่จะเก็บข้อมูลและทำหน้าที่ทันที
2.แหม.. แค่เพื่อนค่ะ/ครับพี่ ไม่มีอยู่จริงจ้ะ
มิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต แต่กระนั้นเองก็ยังมีเส้นบางๆที่เราสามารถใช้แยกได้ว่าพฤติกรรมแบบไหนคือเพื่อน พฤติกรรมแบบไหนคือแฟน ถึงคุณจะสามารถหลอกตัวเองได้ แต่คุณหลอกนักบำบัดไม่ได้ ไม่ใช่ว่านักบำบัดชีวิตสมรสจะนั่งเทียนคาดการณ์ชีวิตคุณเอาเอง เพียงแต่พฤติกรรมการปกป้อง ท่าทางหรือบางคำพูดที่คุณพูดย้ำเป็นพิเศษในการให้คำปรึกษาแต่ละครั้งต่างหากที่เป็นข้อมูลให้พวกเขา
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Columbia University ได้บอกอีกว่า.. หากฝ่ายที่มีปัญหายืนกรานว่าปัญหาเกิดจากแฟนคิดหึงไปเอง 100% โดยไม่ลังเลใจในพฤติกรรมของตัวเองแม้แต่น้อย ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าเขาอาจกำลังมีความสัมพันธ์กับเพื่อนแบบกิ๊กจริงๆ เพราะมนุษย์มักพิจารณาเล็กน้อยเมื่อเจอกับปัญหาที่เข้ามาทดสอบ ผิดกับการโกหกที่เป็นกลไกป้องกันตัว
3. ดวงตาที่สามในชีวิตคู่
ที่กล่าวว่านักบำบัดได้ทำหน้าที่เป็นดวงตาที่สามในชีวิตคู่นั้น พวกเขาทำอะไร? พวกเขามองเห็นความลับในใจคุณจากการบ้านต่างๆที่เขาได้แจกให้คุณทำน่ะสิ เช่น การเขียนข้อดีและข้อเสียของคู่สมรส และเป้าหมายที่ลูกค้าอยากให้นักบำบัดช่วย บ่อยครั้งที่คำตอบของคู่รักสร้างความปลื้มปริ่มและทำลายหัวใจคนฟังได้อย่างเหลือเชื่อ วิธีนี้เป็นวิธีชำแหละหัวใจที่นักบำบัดจะชี้ให้คุณเห็นว่า “คุณต้องการอะไรในตัวคู่รัก คุณรักเขาและเกลียดเขาที่ตรงไหน” กลับกันเองนักบำบัดก็จะถามเช่นเดียวกันว่า “คุณได้ทุ่มเทอะไรหรือยัง ในการรักษาความสัมพันธ์และนิสัยที่คุณชอบในตัวคู่รัก” ดวงตาที่สามจะเริ่มกระตุ้นคุณผ่านการให้คำปรึกษา การพูดคุยธรรมดา และการบ้านต่างๆ เพื่อให้คู่รักกลับมามองตัวเอง มองแง่มุมที่เขาพลั้งพลาดไป และสิ่งสุดท้ายปลายทางที่เขาต้องการในการสมรส
4. ไม่ต้อนรับนักบงการ
หนึ่งใน toxic relationship ที่ใครหลายคนไม่รู้ตัว นั่นคือการคบกับนักบงการที่คอยควบคุมความคิดและการกระทำของคู่รักตลอดเวลา แม้กระทั่งตอบคำถามในการบำบัดและเล่าเรื่องแทนด้วยซ้ำ หากตอนให้คำปรึกษา นักบำบัดเริ่มเห็นท่าทีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ชิงตอบหรือควบคุมการตอบของอีกคนมากเกินไป พวกเขาจะเปลี่ยนกลยุทธ์ในการให้คำปรึกษาทันที อาจต้องมีการขออนุญาตแยกห้องเพื่อพูดคุยด้วยความสบายใจ ซึ่งขั้นตอนนี้แรกว่าวัดใจมากๆ ลูกค้าคนไหนไม่โอเคก็อาจจับมือชิ่งหายไปก็เป็นได้ แต่เอาเถอะ.. ความรักใครก็ความรักเขา
5. ฮัลโหล ใครยังอยู่และใครไปแล้ว!!
ต้องบอกว่าการปรึกษาบำบัดชีวิตสมรส สิ่งที่ทำให้นักบำบัดสนุกสนานและปวดหัวได้พอกันคือการที่คู่สมรสมีเป้าหมายแตกต่างกันไปในการบำบัด ผู้หญิงบางคนอาจมาเข้าบำบัดกับสามีเพียงเพราะว่าหล่อนต้องการรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้ให้ลูก แต่ไร้ซึ่งความรักแล้ว ผู้ชายบางคนนอกใจภรรยาและเลือกใช้วิธีบำบัดเพื่อง้อขอโอกาสครั้งที่สอง โดยที่ไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าในห้องจะต้องพูดอะไรบ้าง แค่มาบำบัดให้ภรรยาเห็นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
ดังนั้นนักบำบัดที่ทำหน้าที่ในห้องเป็นทั้งผู้สังเกตการณ์ พยาน และนักสืบ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักรู้ว่า “ใครคือคนที่ยังอยู่” และ “ใครคือคนที่หมดรักไปแล้ว” การบำบัดจึงไม่ใช่แค่เรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาอย่างเดียว แต่การบำบัดอาจหมายถึงการหาทางลงที่ดีและมีความหมายให้ทั้งคู่ ให้ความทรงจำของการแต่งงานเป็นสิ่งที่สวยงามมากกว่าฝันร้ายที่น่าขยะแขยง เพื่อตัวของพวกเขาและเพื่อสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ
ปัญหาความรักก็เหมือนภูเขาไฟ มีสัญญาณรอบข้างเตือนก็จริง แต่เราไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดเลยว่าวันไหนภูเขาไฟจะระเบิด ดังนั้นอย่าละเลยความรู้สึกของกันและกัน ต่อให้รักมั่นแค่ไหน ถ้าเจอประสบการณ์แย่มากๆ ก็สามารถหมดอายุได้ทั้งนั้น
แต่ แต่ แต่.. อย่าคิดว่าการไปหานักบำบัดจะช่วยซ่อมแซมชีวิตสมรสได้อย่างเดียว แก่นแท้มันก็ต้องอยู่ที่เราและคู่รักด้วยนะจ้ะ ถ้าไปแล้ว ต่างคนต่างยังมีนิสัยแบบเดิม ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะโบกมือและร้องเพลงของพี่อ้อม-สุนิสา ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากต่อคิวหัวใจกับเธอ ไม่รู้จะได้เบอร์อะไร!
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
อ้างอิง
ความเห็น 4
ในการดำเนินชีวิตคู่ถ้าคนเรานั้นมีความซื่อสัตย์ให้ต่อกันแล้วปัญหาต่างๆก็คงจะไม่เกิดขึ้น.
08 ก.พ. 2563 เวลา 13.23 น.
yoohoo
ใครจะไปรู้ดีกว่าคน2คนที่คบกัน เค้าคงแก้ปัญหาให้ไม่ได้มากหรอก คุยกันเองเหอะ ดีกว่า
08 ก.พ. 2563 เวลา 13.16 น.
Rainbowsun
นักบำบัดดังๆจัดรายการของค่ายใหญ่ๆบางคนมีอายุมากแก่เเล้วยังตัณหากลับซะเอง รับปรึกษาความรักแต่ดันชอบยุเเยงให้คู่รักเลิกกัน เเถมชอบกินเด็ก เสี้ยนผัวเด็กจนเเย่งแฟนคนอื่นซะเองก็มีนะ
09 ก.พ. 2563 เวลา 01.04 น.
ดูทั้งหมด