กฎเหล็กสุดเคร่งของการเป็น Therapist (นักจิตวิทยาบำบัด) ในแคลิฟอร์เนีย
.
.
.
อยากจะเม้าท์ความเอ็กซ์ตราของประชาชนชาวแคลิฟอร์เนีย เมืองแห่งต้นปาล์มและพระอาทิตย์สดใสแห่งนี้
มีหลายอย่างที่กฎระเบียบของที่นี่ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แยกออกมาจากอเมริกาโดยรวมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใบขับขี่สากล ที่ถ้าเป็นเมืองอื่น เราใช้ใบขับขี่สากลที่ทำไว้จากประเทศไทยไปขับรถที่นั่นได้ แต่ถ้าเป็นแคลิฟอร์เนียแล้ว ไม่ค่ะ ต้องทำใบขับขี่ ’แคลิฟอร์เนีย’ เท่านั้น ไม่งั้นก็ขับได้แค่ 30 วันเท่านั้นแหละ ไหนจะเป็นตอนนั้นที่ทรัมป์เพิ่งได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แคลิฟอร์เนียก็ออกมาประกาศกึ่งเล่นกึ่งจริงเลยว่า ‘ขอแยกตัวออกมาปกครองเองได้มั้ยอ่ะ’ เอากับเขาสิ
.
.
.
และแน่นอน หลักจริยธรรมของความเป็น Therapist ในรัฐนี้ ก็มีความค่อนข้างพิเศษออกไปจากรัฐอื่นหน่อย วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังว่าส่วนหนึ่งของกฎเหล่านั้น มันมีอะไรบ้าง
(ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาจารย์เล่าให้นักเรียนทุกคนฟังในคลาส ไม่ได้เป็นเรื่องของคนไข้เฟืองคนไหนนะคะ )
.
.
.
*1) ห้ามมีความสัมพันธ์ทับซ้อน *
หรือเรียกอีกอย่างว่า Dual Relationship
ในที่นี้ก็คือ ความสัมพันธ์เป็นฐานะ Therapist และคนไข้กันเท่านั้น
จะไม่มีการโทรมาชวนไปปาร์ตี้ ไปงานแต่ง ไปดูหนัง
และยังรวมไปถึง เราไม่สามารถมีคนไข้ ที่เป็นคนรู้จักของเรามาก่อนได้ หรือแม้จะเป็นเพื่อนของเพื่อน แฟนเก่าของรุ่นพี่ ศัตรูเก่าของญาติ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น (เพราะฉะนั้น เพื่อนคนไหนที่เคยบอกเราว่า รอมะเฟืองรีบกลับไทยแล้วจะมาหา ก็ไม่ได้เหมือนกันนะคะ เราจะมีเซสชั่นอย่างจริงจังกันไม่ได้ แต่เราโทรคุยปรึกษากันแบบเพื่อนได้เสมอค่ะ!)
ทั้งนี้ เป็นเพราะจะยิ่งทำให้เกิดความซับซ้อน / สับสน / ลำบากใจ ทั้งกับคนไข้และ Therapist
เราควรวางตัวเป็นมืออาชีพในการช่วยเยียวยาเขา เพราะหากมีความสัมพันธ์แบบอื่นมาร่วมด้วย เราก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะมันต้องคำนึงถึงความรู้สึกอีกหลายมวลเพิ่มขึ้นมา (เช่นเมื่อวานยังนั่งเม้าท์กันที่ดินเนอร์บนดาดฟ้าอยู่เลย วันนี้ต้องทำตัวขรึมอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมด้วยกันอีกแล้ว?) หรือหากรู้จักกันอยู่แล้ว แน่นอน มันจะมีความลำเอียงในจิตใจ (เพราะเรารู้จักเขาดีอยู่แล้ว หรือเพราะเราเคยได้ยินเรื่องเขาจากคนใกล้ตัวมาก่อน) อาจเกิดอาการ ฟังเขาแล้วก็ตัดสินในใจ ว่าเธอไม่น่าใช่คนแบบนี้ เพราะเพื่อนสนิทฉันเคยบ่นให้ฟังว่าเธอนั้นเป็นอีกแบบหนึ่ง! หรือหากเป็นเพื่อนรักของเรา เราก็จะรู้สึกปกป้องมากเป็นพิเศษ และจากการ ‘ทำความเข้าใจ’ปัญหา กลับกลายเป็น‘ช่วยลงมือแก้ปัญหา’ โดยเอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้งแทน เราเลยต้องวางตัวเป็นกลาง ใช้ความรู้ของเรารักษาความเป็นมืออาชีพนี้ไว้
เหตุการณ์พีคๆ ที่เคยเกิดขึ้น เช่น มี Therapist คนหนึ่ง ได้รับคำชวนให้ไปงานมงคลทางศาสนาของคนไข้ แล้วอยู่ดีๆ คนไข้ก็ชวนไปบ่อหลังบ้าน แล้วแก้ผ้าพร้อมกระโดดลงน้ำ ซึ่งคนไข้บอกว่า นี้คือหนึ่งในพิธีกรรมของนิกายที่เธอนับถือ และหากไม่ทำจะถือเป็นการดูหมิ่น… คิดดูว่า therapist คนนั้นต้องเลิ่กลัก ทำตัวไม่ถูกขนาดไหน…
.
.
.
*2) ห้ามรับของจากคนไข้ *
ต่อจากข้อแรก เพราะอาจเกิดความลำบากใจ เป็นหนี้บุญคุณกันในอนาคตก็ได้ใครจะไปรู้ แต่ข้อนี้ก็แล้วแต่กฎระเบียบของแต่ละที่ (ที่ที่เราฝึกงานอยู่ ค่อนข้างอลุ่มอล่วยเรื่องนี้นะ)
แต่เหตุการณ์สุดพีคที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบๆๆๆ ปีมาแล้วก็คือ มี Therapist สาวคนหนึ่ง วิธีการรักษาคนไข้ของเธอจะเป็นแนวทางจี้ถามซ้ำๆ ถึงพฤติกรรมแต่ละอย่างของคนไข้ เพื่อล้วงลึกถึงเจตนาที่มีอยู่ในใจคนไข้ และอาจคลายปมหลายอย่างในชีวิตได้
มีวันหนึ่ง คนไข้ผู้ชายคนนี้ เอาเค้กมาให้เธอ บอกว่าเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ เธอก็ถามผู้ชายคนนี้ว่า ‘ทำไมถึงเอาเค้กมาให้’ ‘คิดอะไรอยู่’ ถามย้ำๆ ผู้ชายก็งงแล้วก็บอกว่า ‘ก็เอามาให้ไง อยากให้ ตั้งใจเอามาให้’ เธอก็ยังจี้อยู่นั่นแหละ แถมบอกคนไข้คนนั้นอีกว่า ให้กลับบ้านแล้วไปคิดมานะ ว่าทำไมถึงต้องเอามาให้ แล้วอาทิตย์หน้ามาบอกเหตุผลด้วย แล้วเธอก็รับเค้กก้อนนั้นมา แล้วเอาไปทิ้ง!!! (นักเรียนในคลาสที่ฟังอยู่ตอนนั้นคือ เห้ยยยย เสียดาย ถ้าไม่อยากกิน ก็เอาไปให้เพื่อนกินก็ยังดี) พอมาอาทิตย์ต่อไป เธอก็ถามซ้ำอีก ว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังในการเอาเค้กมาให้ ผู้ชายก็อ้ำอึ้งไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ยอมรับและตะโกนออกมาว่า ‘ผมสำเร็จความใคร่แล้วก็หลั่งมันลงไปในเค้กก้อนนั้นครับ!!!’
ช็อคกันทั้งคลาส… ขอบอกว่า คนไข้ทุกคนไม่ได้ป่วงขนาดนี้เด้อ นี้เป็นเพียงหนึ่งเคสที่เจอมา
.
.
.
*3) ห้ามมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคนไข้ *
ขอให้ลบภาพหนังรอมคอมที่เคยเห็นทั้งหมดออกไป ฉากที่คนไข้ตกหลุมรัก Therapist แฮปปี้อินเลิฟกัน เพราะมันเป็นจริงไม่ได้!! ยิ่งถ้าไปถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์นะ อันนี้คือรุนแรงสุด หากใครละเมิด จะต้องโดนถอนใบประกอบอาชีพในทันที
เพราะการกระทำแบบนี้ จะยิ่งสร้างความเปราะบาง สับสน และถูกเอาเปรียบต่อคนไข้มากๆ และถึงแม้จบเซสชั่นการบำบัดกับคนไข้คนนี้แล้ว ต้องรออย่าง ‘น้อย’ 2 ปี ถึงจะเริ่ม ‘คุย’ กันในฐานะความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนได้ คือแค่เริ่มคุยแบบสวัสดีค่ะเลยนะ ไม่ใช่เริ่มมีเซ็กส์ด้วยกันได้
.
.
.
โอ้ย พึ่งจะถึงข้อสามเองเหรอเนี่ย! เขียนมันส์มาก เอาเป็นว่า เดี๋ยวเรามาเล่าตอนต่อไปสัปดาห์หน้าแล้วกันนะ !!
ติดตามบทความของ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร
ความเห็น 7
ข้อสองอัปรีมาก 5555555
17 ก.ย 2562 เวลา 14.53 น.
coffeekrap
บรรดาข้อห้าม ล้วนล้วงลึกเข้าไปในก้นบึ้งในจืตใจของคนเพื่อป้องกันความผิดพลาดอันจะก่อปัญหาต่อส่วนรวม บางคนคิดว่าตัวเองฉลาดพอที่จะแหกกฎข้อห้ามทั้งหลายเหล่านั้น แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับผลของมัน เพราะมันคือกฎแห่งกรรม...
10 ก.ย 2562 เวลา 09.56 น.
Wutthikai Rerkma
ขออนุญาตนะมันอดขำไม่ได้จริงๆ555555
10 ก.ย 2562 เวลา 08.26 น.
.~★☆ PikaPiPi ☆★~.
เขาจึงเรียกว่า...
" จ ร ร ย า บ ร ร ณ "
10 ก.ย 2562 เวลา 07.03 น.
..One Life To Live..
ที่เมืองไทย..เราไม่มีพิธีรีตอง..แค่ส่งคนไข้ไปบำบัดที่ศรีธัญญา..จบ..!!..😂😂😂😂😂😂
10 ก.ย 2562 เวลา 05.04 น.
ดูทั้งหมด