"เวลาที่คุณดูหนังสยองขวัญแล้วได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด คุณจะรู้ว่าเสียงนั้นคือการกรีดร้องแบบปลอม ๆ
เพราะอะไรรู้ไหม?
ก็เพราะว่านักแสดงคนนั้นไม่ได้รู้สึกหรอกว่าอะไรที่น่ากลัวจริง ๆ กำลังจะคืบคลานมาถึงตัวพวกเธอ และพวกเราก็ไม่ได้หลงเชื่อเสียงกรี๊ดในหนังพวกนั้นด้วย
ไม่มีอะไรเทียบกับสิ่งที่อยู่ในเทปม้วนนั้นได้เลย ไม่มีทางเลยที่คุณจะเปิดฟังมันแล้วไม่ร้องไห้หรือตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว ผมสงสัยเหมือนกันว่าจะมีใครฟังมันได้นานกว่า 60 วินาทีไหม"
นี่คือคำให้การของ รอย นอริส เกี่ยวกับเทปเสียงที่เป็นหลักฐานชิ้นดีจากคดีฆาตกรรมหญิงสาว 5 คนต่อเนื่องภายใน 1 ปีที่เขาและ ลอว์เรนซ์ บิทเทกเกอร์ ก่อขึ้น ดูจากมาดภายนอกแล้ว ทั้งสองดูเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่สภาพจิตใจที่บิดเบี้ยวทำให้ทั้งสองกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลื่องชื่อ ฆ่าคนโดยมีการวางแผนอย่างแยบคาย และมีความหลงใหลในเด็กสาวอายุระหว่าง 13-18 ปีเหมือน ๆ กัน
รอย นอริส เกิดในรัฐโคโลราโด เขารับราชการเป็นทหารเรือตั้งแต่อายุ 17 ประจำการอยู่ที่รัฐซานดิเอโกและถูกส่งไปเวียดนามเพื่อประจำอยู่ที่ฐานทัพที่นั่น 4 เดือน การก่อเหตุครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1969 เมื่อนอริสพยายามจะข่มขืนและทำร้ายพนักงานขับรถหญิง ทำให้เขาถูกจับเข้าคุก แต่เมื่อถูกปล่อยตัวออกมา พฤติกรรมของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย นอริสพยายามก่อเหตุอีกหลายครั้งจากความกระหายในตัว เขาเกือบฆ่าเหยื่อคนหนึ่งสำเร็จด้วยการทุบศีรษะของเธอด้วยก้อนหิน และน็อกเธอกับพื้นถนน แต่เพราะว่าเธอโชคดีรอดชีวิตมาได้ โทษของเขาเลยลดสถานลงเหลือแค่การถูกส่งไปบำบัดตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลา 5 ปีแทน
นอริสออกมาก่อเหตุอีกครั้ง 3 เดือนหลังจากได้รับอิสระ คราวนี้เขาพยายามข่มขืนหญิงสาวแปลกหน้าโดยการรัดคอเธอจนหมดสติก่อนกระทำชำเรา และเป็นครั้งที่เขาไม่เล็ดรอดไปเช่นเคย เขาถูกส่งตัวไปอยู่เรือนจำที่ San Luis Obispo ซึ่งเป็นที่ ๆ เขาได้พบกับบิทเทกเกอร์และสร้างจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องคดีหนึ่งของโลก
ลอว์เรนซ์ บิทเทกเกอร์ เกิดมาพร้อมกับสเตตัสของการเป็นเด็กกำพร้า เขาถูกรับเลี้ยงโดยคุณพ่อบุญธรรมที่ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตเครื่องบินเลยทำให้ทั้งครอบครัวต้องย้ายถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าบิทเทกเกอร์จะเป็นเด็กฉลาด มีคะแนน IQ สูงปรี๊ดถึง 138 เขากลับเลือกดรอปจากโรงเรียนในอายุแค่ 17 และเดินเส้นทางสายอาชญากรโดยเริ่มจากคดีลักเล็กขโมยน้อยไปจนถึงการปล้นรถยนต์
เช่นเดียวกับนอริส บิทเทกเกอร์เข้า ๆ ออก ๆ เรือนจำด้วยข้อหาเดิม ๆ เขาถูกส่งไปอยู่สถานบำบัดครั้งหนึ่งซึ่งหมอได้วินิจฉัยว่าเขามีความผิดปกติทางจิตขั้นเริ่มต้น พารานอยด์และเป็นประเภทจอมบงการ และถูกส่งกลับไปอยู่ในเรือนจำอีกครั้ง ที่ ๆ เขาได้พบกับนอริส หลังจากที่เขาพยายามฆ่าพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตโดยการแทงด้วยมีด
เหตุจูงใจในครั้งนี้คือเขาพยายามที่จะขโมยสเต็กเนื้อแต่ถูกขัดขวางเอาไว้…
การรวมตัวของสองอาชญากรผู้มีรสนิยมทางเพศแบบซาดิสม์เหมือน ๆ กัน พัฒนาไปสู่ภารกิจการข่มขืนและฆ่าปิดปากเด็กสาวอย่างต่อเนื่อง เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 ทั้งคู่นัดเจอกันครั้งแรกหลังจากที่พ้นโทษออกจากคุก และแผนการต่าง ๆ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
วิธีการก่อเหตุของพวกเขาคือการตระเวนขับรถตู้ของบิทเทกเกอร์ไปรอบ ๆ เมือง เล็งเป้าหมายและลักพาตัวพวกเธอเข้ามาในรถคันนี้ เขาพวกเขาเรียกมันว่า "Murder Mack" ซึ่งความพิเศษของมันก็คือ Murder Mack ถูกดัดแปลงให้ไม่มีหน้าต่างเลยสักบาน ป้ายทะเบียนถูกถอดออก และประตูขนาดใหญ่ก็พร้อมที่จะเลื่อนเปิดออกเพื่อคว้าเหยื่อเข้ามาในเวลาอันรวดเร็ว
เดือนมิถุนายนในปีเดียวกัน เหยื่อคนแรกมาถึงเงื้อมมือของสองฆาตกร เธอชื่อ "ซินดี้" อายุ 16 ปี นอริสและบิทเทกเกอร์ปิดปากเธอด้วยเทปกาวหนา ๆ มัดข้อมือและข้อเท้าของเธอก่อนที่จะลงมือข่มขืนและทรมานเด็กสาว พวกเขาปลิดชีวิตเธอด้วยการใช้ไม้แขวนเสื้อดัดเป็นแท่งตรงแล้วรัดคอเธอจนหมดลมก่อนนำร่างของซินดี้ไปทิ้งที่หน้าผา พอใจกับผลงานของตัวเองและกลับไปหาเหยื่อรายต่อ ๆ ไป
ภายในเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น นอริสและบิทเทกเกอร์ลักพาตัวเด็กสาวมาอีก 5 คน ทีละ 1-2 คนด้วยวิธีการเดียวกันกับที่เขาได้ทำกับซินดี้ "แอนเดรีย" อายุ 18 ถูกแทงเข้าที่รูหูทั้งสองข้างตรงไปยังสมองด้วยที่เจาะน้ำแข็งก่อนถูกรัดคอจนเสียชีวิต "แจ็กกี้และเลอา" ถูกกักขังไว้ 2 วันก่อนจะถูกจบชีวิตด้วยที่เจาะน้ำแข็ง ผสมผสานกับการใช้ไม้เบสบอลตีเข้าที่หัว และใช้ค้อนทุบซ้ำ ๆ จนเหยื่อสิ้นลม
"เชอร์ลีย์ แซนเดอร์ส" คือเด็กสาวคนเดียวที่หนีไปได้ แต่อีกหนึ่ง "เชอร์ลีย์" ที่ถูกลักพาตัวในเดือนถัดมาโชคไม่ดีพอ เธอถูกกระทำชำเราอย่างป่าเถื่อน ทำร้ายสารพัด และถูกฆ่าโดยการรัดคอด้วยไม้แขวนเสื้อ นอริสและบิกเทกเกอร์อำพรางศพก่อนนำเธอไปทิ้งที่สนามหญ้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง ซึ่งร่างของเชอร์ลีย์ เหยื่อรายสุดท้ายของพวกเขา ทำให้ตำรวจสืบสาวคดีไปจนถึงสองฆาตกรโรคจิตนี้ได้
นอริสยอมรับระหว่างการไต่สวน เขาให้การว่าตนเมายาระหว่างก่อเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุเพียงคนเดียว แต่เมื่อตำรวจยื่นข้อเสนอลดโทษให้เพื่อแลกกับความจริง นอริสเลยยอมปริปากพูดชื่อของบิทเทกเกอร์ ซึ่งหลังจากนั้น กลายเป็นว่าแต่ละคนต่างโยนความผิดให้กันและกัน
ที่น่าสะพรึงคือเจ้าหน้าที่พบหลักฐานเป็นภาพถ่ายโพลารอยด์ของเด็กสาวระหว่างที่พวกเธอถูกทรมานและข่มขืน พร้อมทั้งเทปเสียงที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดใน Murder Mack เป็นเสียงหวีดร้องอย่างทุรนทุราย เสียงของเด็กสาวที่ร้องขอความเมตตา ขอชีวิตจากปีศาจทั้งสองนี้ ทั้งหมดคือหลักฐานที่มัดตัวทั้งนอริสและบิทเทกเกอร์จนทั้งคู่ดิ้นไม่หลุดจากการกระทำผิดครั้งนี้
นอริสและบิทเทกเกอร์ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งระหว่างเวลาในเรือนจำของพวกเขา นอริสพยายามยื่นขอการผ่อนโทษแต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง เขาเสียชีวิตในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2020 ด้วยอายุ 72 ปี ส่วนบิทเทกเกอร์ ตายก่อนที่จะได้รับโทษประหารชีวิต ในวันที่ 13 ธันวาคม 2019 ด้วยอายุ 79 ปี ถือเป็นการปิดตำนาน "Toolbox Killers" ฆาตกรในกล่องเครื่องมือ อย่างสมบูรณ์
อ้างอิง
https://criminalminds.fandom.com/wiki/Lawrence_Bittaker_and_Roy_Norris
ความเห็น 14
LAI
สองตัวนี้เป็นปิศาจในคราบมนุษย์ เจอผีหลอกยังจะดีกว่ามากมาย... น่าสงสารเหยื่อที่ต้องทุกข์ทรมานก่อนจะตาย พวกนี้น่าจะโดนกฎหมายของอิสลาม ทำใครอย่างไรก็สมควรโดนกลับเช่นกัน เอาอุปกรณ์ของมันทำคืนมันไม่ให้ถึงตาย อัดเสียงมันแล้วเปิดให้มันฟัง ต้องทรมานมันจนตาย มันคงจะมีความสุขมาก
กฎหมายควรเปลี่ยนได้แล้ว ถ้าเป็นโรคจิตแล้วก่อคดีก็ควรประหารเพราะอยู่ไปก็ทำให้ลูกหลานเราต้องเป็นเหยื่อของพวกนี้ การรักษาไม่สามารถหายได้ ต้องรับยาตลอดชีวิต
ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้สึกใช่ไหม
06 พ.ย. 2563 เวลา 15.21 น.
Max
คนดีๆอายุ70ก็ถือว่าหรูแล้ว อันนี้72และ79สุดยอดมากเลย
06 พ.ย. 2563 เวลา 14.29 น.
Volt
ไม่เข้าใจว่าเลวขนาดนั้นทำไมมันถึงอยู่จนแก่ตายได้ โลกนี้ช่างไม่แฟร์เลยจริงๆ
06 พ.ย. 2563 เวลา 12.43 น.
Durian ชะวากทะเล
โพสต์ฆาตกรโรคจิิตแบบนี้ ต้องหยุดเผยเเพร่ครับ เมืองไทยไม่มีเกลื่ิอนถึงขั้นนั้น ถ้าใครสนใจในยูทุปเยอะแยะ lineแทบทุกคนในเมืองไทยใช้งานครับ อย่าเอาแค่ลงเพื่อสะใจครับ
06 พ.ย. 2563 เวลา 06.07 น.
B
ข่าวดีมีประโยชน์มากครับเด็กๆได้เอาเป็นตัวอย่าง ถุย
06 พ.ย. 2563 เวลา 00.39 น.
ดูทั้งหมด