วิธีแก้ปัญหาเปิดโปรแกรมไม่ได้เจอ 0xc00007b ข้อผิดพลาด Error บนระบบปฏิบัติการ Windows
จะบอกว่า "ชิน" ก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ชินจริงๆ กับเวลาที่หลังจากทำ Windows update เสร็จ แล้วคอมพิวเตอร์ของเราจะมีปัญหาจุกจิกเกิดขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันทำงานด้วยดีได้มาโดยตลอด ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่หลายคนมักจะเจอหลังการอัปเดต คือ "The Application was unable to start correctly(0xc00007b)"
ภาพจาก : http://windowsbulletin.com/how-to-fix-0xc00007b-error-in-windows-10/
มันมีวิธีแก้ปัญหานี้อยู่หลายทาง โดยคอมพิวเตอร์แต่ละคนก็อาจต้องการวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกัน เราเลยรวบรวมวิธีแก้ไขมาให้ จะมีวิธีไหนบ้าง มาลองอ่านขั้นตอนกัน
เนื้อหาภายในบทความ
- ทำ Clean Boot หรือเปิดบัญชีใหม่ เมื่อบัญชีผู้ใช้เกิดความเสียหาย (Corrupt User Account)
- ติดตั้ง DirectX, Virtual C++ Redistributables และ .NET Framework ใหม่อีกครั้ง
- ตั้งค่า Compatibility ให้โปรแกรม
- ใช้คำสั่ง CHKDSK และ SFC
- ตรวจสอบการอัปเดตของวินโดวส์ (Windows Update)
- ลบโปรแกรม แล้วติดตั้งใหม่
1. ทำ Clean Boot หรือเปิดบัญชีใหม่ เมื่อบัญชีผู้ใช้เกิดความเสียหาย (Corrupt User Account)
ถ้าปัญหาเปิดโปรแกรมไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันหลายโปรแกรม มีความเป็นไปได้สูงว่าปัญหามาจากการที่ระบบบัญชีผู้ใช้ (User Account) นั้นมีปัญหา ซึ่งเราสามารถแก้ไขได้ด้วยการทำ Clean Boot แล้วเปิดโปรแกรมที่มีปัญหานั้นใหม่ดูอีกครั้ง
โดยการ Clean Boot ตัวระบบปฏิบัติการ Windows จะยกเลิกการทำงานของโปรแกรม และบริการที่เป็นของ 3rd-Party ทั้งหมด ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากการถูกรบกวนจากโปรแกรม หรือบริการเหล่านั้น
ขั้นตอนการทำ Clean Boot
- เข้าสู่ระบบ Windows โดยใช้บัญชีที่เป็นระดับ Administrator
- กด "ปุ่ม Windows +R" บนแป้นคีย์บอร์ด พิมพ์ลงไปว่า "msonfig" แล้วกด "ปุ่ม Enter" ครับ
- ในหน้าต่าง System Configuration ไปที่แท็บ Services "คลิก Hide all Microsoft" แล้วหลังจากนั้น "คลิก Disable all"
- ไปต่อที่แท็บ Startup แล้ว "คลิก Open Task Manager"
- ในหน้าต่าง Task Manager ไปที่แท็บ Startup ทำการเลือก Service แล้วคลิก Disabke (มุมขวาล่าง) ให้หมด
- ปิดหน้าต่าง Task Manager กลับไปที่หน้าต่าง System Configuration แล้ว "คลิก OK"
- รีบูตระบบคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง
หลังจากรีบูตเครื่องเสร็จแล้ว ลองเปิดโปรแกรมที่เราต้องการดูอีกครั้ง หากมันสามารถเปิดทำงานได้ตามปกติ แสดงว่า สาเหตุมาจากโปรแกรม หรือบริการ 3rd-Party ตัวใดตัวหนึ่งนี่แหละ ก็ค่อยลองไล่เช็คดูว่าตัวไหนที่เป็นตัวสร้างปัญหา
ถ้าทำ Clean Boot ไม่ช่วยอะไร อีกท่าหนึ่งที่สามารถลองได้ คือ การสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ (Create New User Account) ขึ้นมาในระบบปฏิบัติการ Windows แล้วใช้บัญชีใหม่นั้นเปิดโปรแกรม
ขั้นตอนการสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ (Create New User Account)
- คลิกที่ "ปุ่ม Start" เข้า "เมนู Settings" แล้วหลังจากนั้นคลิก "เมนู Accounts"
- ในหน้าต่าง Accounts ให้ทำการเลือก "เมนู Family and Other Users"
- และก็คลิก "เมนู Add someone else to this PC"
- คลิกตรง "ข้อความ I don't have this person's sign-in information"
- และก็เลือก "เมนู Add a user without a Microsoft account"
- ทำการใส่ข้อมูลบัญชีใหม่ให้เรียบร้อย
จากนั้นลองเข้าใช้งาน Windows ด้วยบัญชีใหม่ที่เพิ่งสร้างนี้ดู ว่าสามารถเปิดโปรแกรมได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ เชิญอ่านวิธีการแก้ปัญหาลำดับถัดไปต่อ
2. ติดตั้ง DirectX, Virtual C++ Redistributables และ .NET Framework ใหม่อีกครั้ง
หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ แต่ได้ผล คือ การติดตั้งโปรแกรมที่เป็นส่วนประกอบ (Component) ต่างๆ อย่าง โปรแกรม DirectX, Visual C++ Redistributable และ .NET Framework ใหม่อีกครั้ง เหตุผลก็เพราะโปรแกรมต่างๆ โดยเฉพาะพวกเกม มีความจำเป็นต้องเรียกใช้เครื่องมือ และ Libraries เหล่านี้ในการทำงานด้วย บ่อยครั้งที่การติดตั้งพวกมันใหม่อีกครั้ง ทำให้ปัญหาหายไป
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม DirectX
- ไปที่เว็บไซต์ : https://www.microsoft.com/en-in/download/details.aspx?id=35
- เลือกภาษาที่ต้องการ ปกติจะเป็นอังกฤษ (English) แล้วคลิกที่ "ปุ่ม Download"
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Visual C++ Redistributable
- ไปที่เว็บไซต์ https://www.microsoft.com/en-us/download/details.aspx?id=40784
- เลือกภาษาที่ต้องการ ปกติจะเป็นอังกฤษ (English) แล้วที่ "ปุ่ม Download"
- เลือกเวอร์ชันให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่เราใช้งาน มี ARM, x64 (64 บิต) และ x86 (32 บิต) แล้ว "คลิกปุ่ม Next"
- ดับเบิลคลิกไฟล์ที่ได้มาเพื่อติดตั้ง Visual C++ Redistributable
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม .NET Framework
- ไปที่เว็บไซต์ : https://www.microsoft.com/en-us/download/details.aspx?id=17851
- เลือกภาษาที่ต้องการ ปกติจะเป็นอังกฤษ (English) แล้วคลิกที่ "ปุ่ม Download"
3. ตั้งค่า Compatibility ให้โปรแกรม
บนระบบปฏิบัติการ Windows จะมีระบบความเข้ากันได้ (Compatibility) ให้เราสามารถที่จะตั้งค่าได้ บางโปรแกรมแค่เราไปปรับค่าตรงส่วนนี้ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้แล้ว
ขั้นตอนการตั้งค่า Compatibility
- ให้เราไปที่โฟลเดอร์ที่เราติดตั้งโปรแกรมเอาไว้
- คลิกขวาที่ ชื่อโปรแกรม.exe แล้วเลือก "เมนู Properties"
- คลิกเลือก ☑ Run this program in compatibility mode for :" แล้วหลังจากนั้นให้เลือกเวอร์ชันของ Windows จากเมนูดรอปดาวน์ ลองเลือกเป็น Windows 8, 7 หรือ XP ดู
- คลิกเลือก ☑ Run this program as an administrator
- คลิก Apply แล้วกด "ปุ่ม OK"
จากนั้นก็ลองเปิดโปรแกรมดูอีกครั้ง ว่าได้หรือเปล่า
4. ใช้คำสั่ง CHKDSK และ SFC
ไม่ว่า Windows จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ตาม การใช้คำสั่ง CHKDSK และ SFC นั้นมักจะช่วยเราได้เสมอ เนื่องจากเรามีบทคามแนะนำขั้นตอนการเรียกใช้คำสั่งนี้อย่างละเอียดอยู่แล้ว
แนะนำให้ไปอ่านขั้นตอนการทำได้ที่ลิงก์นี้
https://tips.thaiware.com/1414.html
5. ตรวจสอบการอัปเดตของวินโดวส์ (Windows Update)
เมื่อปัญหามาจากการอัปเดต บางทีมันก็มาพร้อมบั๊ก และทาง Microsoft ก็อาจจะมีการปล่อยอัปเดตแก้ไขออกมาแล้ว แต่คอมพิวเตอร์ของเราอาจจะยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่จะตรวจเช็คการอัปเดตอัตโนมัติ ลองเข้าไปเช็คด้วยตัวเองดูเผื่อว่าจะมีอัปเดตที่ช่วยแก้ปัญหาให้เราได้
ขั้นตอนการตรวจสอบ Windows Update
- คลิกที่ "ปุ่ม Start" และเข้า "เมนู Settings" คลิกเลือก "เมนู Update & Security"
- ในหน้าต่าง Update & Security คลิกเลือกที่ "เมนู Windows Update"
- คลิกที่ "ปุ่ม Check for updates"
6. ลบโปรแกรม แล้วติดตั้งใหม่
ท่าสุดท้ายที่ไม่มีใครอยากทำ แต่ถ้าทำมาทุกวิถีทางแล้วยังไม่หาย ก็คงต้องลองทำมันดูสักครั้ง นั่นคือ การลบโปรแกรม แล้วติดตั้งใหม่
ขั้นตอนการลบโปรแกรม
- คลิกที่ "ปุ่ม Start" และหลังจากนั้นเข้า "เมนู Settings" คลิกเลือก "เมนู Apps & Features"
- ภายใน "เมนู Apps & Features" ให้เลื่อนหาโปรแกรมที่มีปัญหา
- คลิกที่โปรแกรมนั้นๆ แล้วกด "ปุ่ม Uninstall"
- ทำการติดตั้งโปรแกรมนั้นใหม่อีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
ด้วยวิธีที่แนะนำไปทั้งหมด คิดว่าคุณผู้อ่านก็น่าจะแก้ปัญหาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม มีอีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่สามารถแก้ได้นะครับ โปรแกรม หรือเกมในปัจจุบันนี้ หลายโปรแกรมจะรองรับการทำงานแค่บนระบบปฏิบัติการ Windows แบบ 64 บิต เท่านั้น หากระบบคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้เป็นแบบ 32 บิต ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ หรือหากเป็น ARM ก็อาจจะต้องลองใช้โปรแกรมจำลอง x64 emulation ในการเปิดโปรแกรมแทน