โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Social NO Distancing - อั๋น ภูวนาท

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 12 เม.ย. 2563 เวลา 17.36 น. • อั๋น ภูวนาท

ผมไปงานศพแม่เพื่อนสนิทมาครับ 

หรือจริง ๆ ควรจะเรียกว่าเพื่อนที่เคยสนิทถึงจะถูกก็ไม่รู้ ไม่ต้องตกใจนะครับ เค้าไม่ได้จากไปเพราะโควิด-19 แต่อย่างใด แต่ถ้าจะตกใจก็คงเป็นเพราะมันเป็นการจากไปแบบไม่มีสัญญาณอะไรบอกกล่าวเลย

เมื่อความเป็นกับความตายห่างกันเพียงแค่ครึ่งลมหายใจเท่านั้น นั่นคือแค่หายใจเข้า…แล้วก็ไม่หายใจออกมาอีกต่อไปจากร่างกายที่ดูคล้ายจะปกติแข็งแรงนั้น

เพื่อนสนิทคนนี้เป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากที่สุดในสมัยม.ปลาย เป็นเพื่อนที่เราไม่มีอะไรคล้ายกันเลยซักนิด ขนาดที่ผมยังจำได้เลยกับประโยคสุดท้ายในวันจบการศึกษาก่อนที่เราจะแยกย้ายไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยและคณะที่ตัวเองเลือกว่า..

“เปิ้ลไม่รู้ว่าทำไมอั๋นถึงได้มาคบแล้วสนิทกับเปิ้ลนะทั้งที่เราไม่มีอะไรที่น่าจะสนิทกันได้เลย แต่เปิ้ลดีใจมาก ๆ เลยนะที่เราได้เป็นเพื่อนกัน”

ผมสาบานว่าผมจำไม่ได้เลยสักนิดว่าตัวเองได้ตอบอะไรไปบ้าง แต่วันนี้เพื่อนคนนี้อยากให้เปิ้ลได้รับรู้ว่าในความแตกต่างสารพัดของเรานั้นเธอคือรากฐานสำคัญที่ทำให้ผมเติบโตขึ้นมาในแบบที่เมื่อตัวเองมองย้อนกลับไปแล้ว ภูมิใจในชีวิตวัยรุ่นของตัวเองเหลือเกินที่ในทุกๆความทรงจำสีจาง ๆ ของความผิดพลาด หลงทาง ล้มเหลว หัวเราะร้องไห้กับเรื่องเหลวไหลที่เคยเป็นเรื่องใหญ่จนคับแน่นหัวใจในวันนั้นนั้น มีเธออยู่ข้าง ๆ ผมเสมอ และนั้นแหละคือความหมายของคำว่าเพื่อนสนิทที่ชีวิตของคน ๆ นึงพึงจะโชคดีมีได้

แต่แล้วด้วยความต่าง ก็ทำให้เราค่อยๆห่างกันไปจริง ๆ ตามวิถีและความรับผิดชอบ ที่ยิ่งเวลาผ่านไป เราก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือให้ถนนแห่งชีวิตของเราได้มาบรรจบกันอีกจากวันเป็นเดือน จากเดือนสู่ปี จากปีสู่หลาย ๆ ปี รู้ตัวอีกที ก็คือวันที่ได้ข่าวของความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งนี้ซะแล้ว

“เพื่อน ๆ ไม่ต้องกังวลในภาวะแบบนี้ไม่ต้องพยายามมางานเลยนะคะ เราเข้าใจ”

นี่คือสิ่งที่เธอเฝ้าย้ำใน LINE กลุ่ม ด้วยความเกรงว่าจะเป็นการสร้างความลำบากใจให้เพื่อน ๆ แต่ที่สุดแล้ววันนี้พวกเราต่างก็พร้อมใจกันมาโดยไม่ต้องแม้แต่จะนัดหมายเวลา มานั่งใส่หน้ากากห่าง ๆ กัน ยกมือประนมฟังเสียงสวดมนต์ด้วยภาษาที่เราส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเลยซักคำ แต่อยู่ดี ๆ วันนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนเข้าใจทุก ๆ คำที่ได้ยิน อย่างที่ไม่เคยรู้สึกเหมือนกับเวลาที่เราได้นั่งใกล้ ๆ กัน

เป็นการฟังสวดที่ไม่มีใครคุยกันเลยซักคำ…ซักคน เพราะทุกคนอยู่ห่างกันเกินกว่าจะสนทนา แถมยังมีผ้าปิดปาก นอกจากปล่อยให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยคำพูดเป็นล้านคำของเพื่อนรักที่เคยเติบโตด้วยกันมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตได้สื่อสารกันเงียบ ๆ

“นั่งห่างกันแบบนี้ก็ดีนะ ลมเย็นสบายจัง”

นั่นคือประโยคแรกที่ผมใช้ทักทายเป็นเพื่อนทุกคนที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน

“เปิ้ลรู้ว่าที่อั๋นพูดเนี่ย เพราะไม่รู้ว่าจะปลอบเปิ้ลว่าอะไรใช่ไหม แต่อยากบอกว่าแค่มองมาเห็นอั๋นกับเพื่อนๆทุกคน ก็รู้สึกดีใจมาก ๆ แล้ว อยากกอดจังเลย แต่เรากอดกันช่วงนี้ไม่ได้เนอะ”

ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีสิ่งใดในโลกนี้บ้างที่โหดร้ายต่อมวลมนุษย์เท่ากับโควิด19ในมุมนี้บ้าง มุมที่อยู่ดีๆก็ทำให้เราทุกคนบนโลกต้องบังคับใจให้ห่างไกลจากคนที่เรารัก คิดถึงเพียงใด ก็ไม่สามารถดึงคนๆนั้นมากอดไว้ในอ้อมกอดของเราได้  อยากไปหาแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่เห็นหน้าอยู่ห่างๆ

แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า….

อ้อมกอดของเรามีผลต่อหัวใจของใคร

และอ้อมกอดของใครมีผลต่อหัวใจของเรา

หากจะมีการจัดอันดับคำแห่งปี 2020 ผมว่าคำว่า“Social Distancing” คงต้องติดอันดับต้น ๆ ของคำใหม่ที่ถูกนำมาใช้และมีผลกับใจของคนทั้งโลกมากที่สุดในปีนี้เป็นแน่ แต่จริงๆแล้วผมแอบคิดเห็นด้วยอยู่นะ กับสิ่งที่ Mr.Bernard Hiller Coach ชีวิตชื่อดังคนนี้ได้พูดถึงคำๆ นี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า จริงๆแล้วสิ่งที่โลกต้องการในการเอาชนะสงครามกับไวรัสร้ายครั้งนี้นั้นมันไม่ใช่ "Social Distancing" แต่คือ "Physical Distancing" ต่างหาก Mr.Bernard มองว่ามันถูกเอามาใช้แบบผิดคอนเซ็บท์ไปนิดเพราะ "Social Distancing" ตอนนี้ถูกนำไปใช้ในความหมายว่า มันคือการอยู่บ้าน แยกตัวออกจากคนรอบข้าง เพื่อทำให้กราฟการติดเชื้อมันแบนลง แต่การใช้คำว่า "Social" นำหน้าคำว่า "Distancing" นั้นเป็นสิ่งที่น่าสับสน เพราะจริงๆแล้วเรายังต้อง Social แถมจริง ๆ ช่วงนี้เรายิ่งต้องสื่อสารกับคนรอบข้าง คนใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทุกงานวิจัยต่างบอกตรงกันว่า การแยกตัวเองออกจากสังคมและคนรอบข้างนั้น มีผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและใจอย่างมากมาย ถึงขนาดที่ทำร้ายร่างกายได้มากกว่าโรคเบาหวานและความดันเสียอีก

เพราะฉะนั้น จงไลน์ จงโทร จง FaceTime, Vdo Call คนที่คุณรัก ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบรับฟัง แบ่งปัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกันให้มากที่สุด

ย้อนกลับมาในอีกมุมหนึ่ง กับการเจอกันของผมและเปิ้ลในครั้งนี้ก็เป็นอีก 1 ตัวอย่างที่ทำให้ผมเองเข้าใจความต่างระหว่างคำ2คำนี่ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน วันนี้กับสายตาที่เรามองมาเห็นกันและกันแม้เพียงผ่านหน้ากากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่มันก็ยังคงเป็นสายตาที่ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า นั่นคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมคนเดิมที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น

และตลอดเวลาที่ผ่านมา เราต่างก็แค่ "Physical Distancing".. ห่างกาย…แต่ไม่เคยห่างกัน

ตลกดีที่อยู่ดี ๆ วันนี้ผมก็รู้สึกอยากขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้เราได้กลับมาเจอกัน

ขอบคุณความทุกข์ที่เป็นครูที่สอนอะไรเราได้ดีกว่าความสุขมากนัก เพราะคุณมักแวะมาทัก แล้วเราจับเขย่าแรงๆให้ไม่หลงใหลลืมตัวปล่อยใจไปยึดมั่นถือมั่นกับสุขปลอมๆที่ไม่จีรังมากเกินไป

ขอบคุณคุณครูความทุกข์ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานคืนสู่เหย้าเล็กๆให้กับเรา

และใช่ครับ ห้องเรียนของผมวันนี้คือศาลาวัดแห่งนี้นี่แหละ

--

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บนLINE TODAY

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0