ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan โดยมีใจความว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 นั้น ในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องให้ครบหลักการ เริ่มจากวัคซีน primary, วัคซีน 2 โดส แล้วตามด้วยการกระตุ้นเข็ม 3 เพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันสูงและอยู่นานขึ้น ปัจจุบันนี้ เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การให้วัคซีนเบื้องต้นที่เป็นวัคซีนเชื้อตาย แล้วกระตุ้นด้วยไวรัสเวกเตอร์ หรือ mRNA จะกระตุ้นภูมิได้สูงมาก มีการศึกษาออกมาสนับสนุนมากมาย และยังมีการศึกษาในสวีเดน อินโดนีเซีย ก็พบว่าได้ผลกระตุ้นภูมิต้านทานสูงเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้การศึกษาในประเทศชิลี ถึงประสิทธิภาพการกระตุ้นเข็ม 3 หลังจากได้รับวัคซีนเชื้อตาย (CoronaVac) มาแล้ว 2 เข็ม และให้เข็มที่ 3 เป็น เชื้อตาย (CoronaVac), virus Vector (AZ), และ mRNA (Pfizer) มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรค แบบมีอาการ ถึงร้อยละ 78.8, 93.2 และ 96.5 ตามลำดับ และป้องกันการเสียชีวิตได้สูงถึงร้อยละ 86.7, 98.1 และ 96.8 ตามลำดับ ข้อมูลดังกล่าวได้สนับสนุนผลงานวิจัยที่ศูนย์ได้ทำมาตลอด ซึ่งได้ผลในรูปแบบเดียวกัน ขณะนี้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และกำลังจะส่งผลงาน ที่มีภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์ โอมิครอน ไปเผยแพร่ในวารสาร ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้จะมีการเปรียบเทียบให้เห็นว่า การกระตุ้นที่มีระยะห่าง 3 เดือนและ 6 เดือนนั้น ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นในการกระตุ้นห่าง 6 เดือน จะได้ภูมิสูงกว่าการกระตุ้นที่ระยะ 3 เดือน หลังได้รับวัคซีนเชื้อตายเข็ม 2 แต่ข้อเสียของการกระตุ้นช้า คืออาจจะเกิดการติดเชื้อโควิดเสียก่อน แต่เมื่อกระตุ้นเข็ม 3 แล้ว ภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์โอมิครอน จะสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มของ AZ และ mRNA ทั้งนี้สรุปว่า การให้วัคซีนต่างชนิดกัน จะได้ผลในการกระตุ้นภูมิต้านทานที่สูงมาก และน่าจะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้อย่างแน่นอน
หนูน้อยติดโควิดร้องไห้ ขอโทษพ่อคลิปอีจันแนะนำ
