นายกฤษฎา บุญราช ผอ.สนง.บริหารกิจการเหล่ากาชาด เหล่ากาชาดไทย ทำหนังสือด่วนที่สุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน ถึงนายกเหล่ากาชาดทุกจังหวัด ขอให้พิจารณาผ่อนปรนการเปิดรับบริจาคโลหิตเพื่อแก้ไขการขาดแคลนโลหิตที่ได้รับ ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ว่า ได้รับแจ้งปัญหาการขาดแคลนโลหิตจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติว่ามีการประชุมพิจารณาปัญหาโลหิตขาดแคลนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งพบว่ามีปัญหาจากการปรับแผนการออกหน่วยเคลื่อนที่ในส่วนภูมิภาค
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จึงขอความร่วมมือเหล่ากาชาดจังหวัดให้ประสานกับภาคบริการโลหิตพื้นที่เพื่อพิจารณาร่วมกันในการผ่อนปรนให้มีการเปิดหน่วยเคลื่อนที่ในการรับบริจาคโลหิตตามแนวทางดังนี้
ปัญหาการงดหน่วยเคลื่อนที่
1. หลายจังหวัดมีคำสั่ง งดหน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคทั้งหมด
2. หลายจังหวัดมีคำสั่งงดหน่วยที่มีผู้บริจาคมากกว่า 50 คน
ข้อเท็จจริง
1. ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการขาดเลือดมีมากกว่าจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งทางด้านจำนวนผู้ป่วยและความรุนแรง
2.การพบผู้ป่วยเพียง 1-2 รายในระดับอำเภอ ไม่ควรงดรับบริจาคโลหิตทั้งอำเภอ ควรสามารถจัดให้มีการรับบริจาคโลหิตได้ หากมีการคัดแยกกลุ่มเสี่ยงตามหลักการสอบสวนโรค หรือเว้นเฉพาะตำบลที่มีผู้ป่วย
3.ในการรับบริจาคโลหิตมีอัตราความเร็วต่อเตียงอยู่ที่ผู้บริจาค 4 คน/ 1 ชั่วโมง/ เตียง ดังนั้นหากออกหน่วยเคลื่อนที่ 10-12 เตียง สามารถบริหารจัดการนัดหมายประชาชนแยกตามตำบลหรือหมู่ ให้เข้ามาในบริเวณพื้นที่บริจาคโลหิตได้ 50 คนต่อ 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต 3 ชั่วโมง จะสามารถได้โลหิตถึง 80-120 ยูนิต โดยไม่ขัดต่อคำสั่งคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดได้
4.ในช่วงที่ผ่านมา จังหวัดที่ให้งดหน่วยเคลื่อนที่ทั้งหมดยังคงมีโลหิตใช้ เพราะภาคบริการโลหิตพื้นที่ได้นำโลหิตที่ได้จากจังหวัดอื่นที่ไม่มีการงดหน่วยจ่ายไปให้ผู้ป่วยของจังหวัดที่งดออกหน่วยรับบริจาคโลหิต
5.ในขณะเดียวกันมีหลายจังหวัดที่ไม่งดหน่วยเคลื่อนที่ตั้งแต่การระบาดตั้งแต่ระลอกแรกถึงปัจจุบัน แต่ใช้การบริหารจัดการที่ดี โดยใช้สถานที่จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตเป็นสถานที่โล่งกว้างและปฏิบัติตามมาตรฐานของศูนย์บริการโลหิตฯ ก็ไม่พบข้อมูลมีผู้ป่วยที่เข้าร่วมบริจาคโลหิตแล้วติดเชื้อซึ่งแนวทางนี้ถือว่าเป็นการบริหารจัดการรับบริจาคโลหิตที่มีประสิทธิภาพวิธีการหนึ่ง
ดังนั้น สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด จึงขอให้นายกเหล่ากาชาดจังหวัดได้ประสานงานกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในพื้นที่จังหวัดเพื่ออนุญาตให้เหล่ากาชาดจังหวัดและภาคบริการโลหิตพื้นที่ และหรือหน่วยงานใช้โลหิตเช่นโรงพยาบาล สถานพยาบาลในการพิจารณาเปิดหน่วยเคลื่อนที่ร่วมกันเพื่อรับบริจาคโลหิตตามแนวทางที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยแจ้งมาข้างต้น
รวมทั้งให้ประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่มีกำลังพลในพื้นที่รวมทั้งภาคเอกชนที่มีกำลังเจ้าหน้าที่ เพื่อขอความร่วมมือในการจัดกำลังพล เช่นทหาร ตำรวจ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน(อส.)คนงานโรงงานอุตสาหกรรมหรือพนักงานบริษัทที่มีสุขภาพแข็งแรงรวมทั้งขอความร่วมมือจากนายอำเภอท้องที่เพื่อมอบหมายให้ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบประจำตำบลขอความร่วมมือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจัดประชาชนในตำบล หมู่บ้านหรือสมาชิกจิตอาสาพระราชทานในพื้นที่ มาร่วมกันบริจาคโลหิตโดยให้จัดเป็นกลุ่มๆละไม่เกิน 50 คนทยอยหมุนเวียนกันมาเป็นระยะๆหรือจัดเป็นห้วงเวลาที่กำหนดเป็นแผนการรับบริจาคโลหิตแต่ละจุดรับบริจาคโลหิตด้วยก็ได้ เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคมตามาตรการของทางราชการด้วย
อนึ่ง สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาดทราบดีว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ภารกิจของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดมีหลายประการและส่วนใหญ่เป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วน จึงขอให้ใช้การประสานงานกับหน่วยรัฐและภาคเอกชนที่มีจิตศรัทธาต่อพันธกิจของสภากาชาดไทยรวมทั้งประสานงาน เชิญชวน เครือข่ายของสภากาชาดไทยในพื้นที่ เช่น กรรมการเหล่ากาชาดจังหวัด สมาชิกยุวกาชาด อาสายุวกาชาด อาสาสมัครสภากาชาดไทยฯลฯ มาร่วมงานด้วย ทั้งนี้ขอสนับสนุนให้กำลังใจนายกเหล่ากาชาดจังหวัดตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสนี้ด้วย ทั้งนี้ด้วยความเสียสละของพวกเรา จึงขอให้พวกเราสามารถดำเนินงานผ่านอุปสรรค ปัญหาทั้งปวงไปได้ด้วยดีทุกจังหวัด