บาป ในทางเปิดเผย คือ ความทุกข์ที่คนเราหยิบยื่นให้แก่กันแบบจับต้องได้
บาป ในทางลึกลับ คือ พลังบันดาลสภาพชีวิต หรือสภาพจิตใจแย่ๆให้ปรากฏ
บาป ในเชิงกรรมสัมพันธ์ คือ การร้อยรัดโซ่ตรวนให้เกิดพันธนาการน่าอึดอัด
บาป ในเชิงชู้สาวข้ามภพชาติ คือ แรงเหวี่ยงให้กลับมาพบกันด้วยวิถีทางเลวๆ
ดังนั้น เพื่อจะดูว่า คู่ของคุณเป็นคู่บาปหรือเปล่า ก็ต้องดูจากหลักฐานที่เห็นง่ายและชัดเจน อันได้แก่ความรู้สึกแย่ๆ ในช่วงเวลาที่รู้จักคบหาหรืออยู่กินกัน ยิ่งครบวงจรขึ้นเท่าไร ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น
๑) พบกันด้วยความรู้สึกแย่ๆ
ถ้าเริ่มพบกันใหม่ด้วยความรู้สึกแย่ๆ แปลว่าล่าสุดจากกันด้วยความรู้สึกแย่ๆ หรือมีบาปเก่าที่เคยทำร่วมกันมา จัดฉากชีวิตของทั้งสองฝ่าย ให้พร้อมจะหันด้านร้ายเข้าหากัน เช่น มองกันด้วยสายตาดูถูก แต่ในที่สุดก็ทนราคะไม่ไหว หรือมีเหตุให้ตกล่องปล่องชิ้นกันแบบไม่สมยอม หรือมาพบและพิศวาสกันก็เมื่อมีคู่ผัวตัวเมียกันอยู่แล้ว หรือไม่มีใครสนับสนุนเลย มีแต่เสียงเตือนให้ระวัง แต่ก็จะปิดหูปิดตา ไม่ฟังใคร ไม่ยอมแหกตาดูความจริงเสียอย่างนั้น
๒) อยู่กินด้วยความรู้สึกแย่ๆ
ถ้าอยู่กินกันแล้วยังคงรู้สึกแย่ไม่เลิก แปลว่ากำลังใช้บาปเก่าต่อบาปใหม่ ขอให้ทราบว่า บาปเก่าอย่างเดียวไม่อาจขับเคลื่อนให้เป็นทุกข์จนสิ้นกาลนาน อย่างมากก็ตกแต่งรูปชีวิตให้ไม่น่าพอใจ แต่ไม่อาจกะเกณฑ์ให้คุณเลือกคิด เลือกพูด เลือกทำร้ายกันได้ตลอดไป ต่อให้บาปเก่าแย่แค่ไหน ถ้าเติมบุญใหม่ใส่กันเรื่อยๆ วันต่อวัน ความทุกข์ก็เจือจาง ความรักก็เบ่งบานขึ้นมาจนได้
๓) จากลาด้วยความรู้สึกแย่ๆ
ถ้าจากเป็นหรือจากตาย แล้วยังรู้สึกเข็ด จะชาตินี้หรือชาติไหนไม่อยากอยากเจอกันอีก แปลว่าความทรงจำด้านร้ายมีบทบาทมากกว่าความทรงจำด้านดี หรืออีกที บาปที่ทำร่วมกันมาทั้งชาติ ก็มีพลังผลักไสมากกว่าพลังดึงดูดของบุญ ขอให้เข้าใจว่า พลังผลักไสของบาปนั้น อาจทำให้อยากเบือนหน้าหนีได้สุดคอหมุน สะท้อนอาการของจิตที่อยากถอยห่างสุดหล้า สุดภพ ซึ่งจะสุดจริงแค่ไหน ก็วัดกันได้จากความรู้สึกในวาระสุดท้ายนี่เอง
หากเป็นคู่บาปชนิดเจ็บแค้นไม่เผาผี ประเภทเคยทำร้ายพ่อแม่ของอีกฝ่าย หรือมีลูกด้วยกันแล้วทิ้งให้อีกฝ่ายเลี้ยงดูตามลำพัง หรือทารุณจิตใจกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเข็ดขยาดสุดทน ประมาณว่า แค่คิดจะคืนดี ก็คลื่นเหียนวิงเวียนเหมือนสำรอกอาเจียนใส่แก้ว แล้วถูกบังคับกรอกปากให้กลืนกลับเข้าไปใหม่ ระดับนี้คงไม่ว่ากัน ไม่ทันแล้วที่จะเปลี่ยนภาวะคู่บาปให้เป็นคู่บุญในชาติเดียวไหว อย่างดีคือตั้งอธิษฐานไม่เอาโทษเอาภัยเขา เพื่อให้เราเองพ้นเวรพ้นภัย ไม่ต้องมาจองล้างกันอีก ถ้าต้องพบกันใหม่ตามแรงเหวี่ยงของกรรมสัมพันธ์ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเป็นฝ่ายจุดชนวนบาป กับทั้งเลื่อนชั้น ห่างภพ ห่างภาวะต้องไปพัวพันกับเขาออกมามากขึ้นเรื่อยๆได้
แต่หากเป็นคู่บาปชนิดที่ยังคุยกันรู้เรื่อง ยังพอมองหน้ากันได้ติด อันนี้ก็มีสิทธิ์ใช้ ‘วิชาปรับธาตุ’ ของพุทธเจ้ากันอยู่ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราเข้ากันได้โดยธาตุ ซึ่งหมายความคือ ถ้าธาตุไม่ตรงกัน ก็ค่อยๆปรับให้ตรงเสีย อย่างเร็วชาตินี้ อย่างช้าชาติหน้า อย่างไรก็ต้องเป็นคู่บุญกันจนได้
สิ่งที่คนเราปรับให้เสมอกันแล้วกลายเป็น ‘ธาตุคู่บุญ’ ได้แก่
๑) ศรัทธา คือ ใจที่มีทิศแห่งความเลื่อมใสไปในทางเดียวกัน เช่น ความเลื่อมใสแบบพุทธ เห็นตรงกันว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เปิดความจริงให้เห็นว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมที่ทำด้วยกาย ด้วยวาจา หรือแม้ด้วยใจ ล้วนมีผล ทั้งขณะมีชีวิต และหลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว เมื่อปรับใจให้ตรงกันตามศรัทธาแบบพุทธ ก็ย่อมพร้อมใจสามัคคี เริ่มทำกรรมในแบบคู่บุญ ลดละกรรมในแบบที่จะเป็นคู่บาปไปด้วยกันได้ นับแต่การพูดจาไม่เข้าหูกัน เป็นต้น
๒) ศีล คือ ใจที่ไม่เอาบาป ไม่คิดร่วมกันฆ่า ไม่คิดร่วมกันโกง ไม่คิดนอกใจกัน ไม่คิดโกหกกัน ไม่คิดมอมเหล้ายาบั่นทอนสติกัน ซึ่งแค่ยอมให้อีกฝ่ายเตือนสติเมื่อทำท่าจะหลุด หลงผิดคิดเอาบาป สองใจจะสดชื่นตื่นตา รู้สึกถึงความหอมสะอาดขึ้นมาพร้อมกัน จนเข้าใจซึ้งเลยว่า บนเส้นทางอันตรายของการเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมนี้ มีอีกฝ่ายเป็นคู่ศีล คู่สติ ช่างดีขนาดไหน น่าอุ่นใจเพียงใด
๓) น้ำใจ คือ ใจที่เอาความชุ่มชื่นจากการหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กันและกัน ไม่เอาความแห้งแล้งอันเกิดจากวิถีทางต่างคนต่างอยู่มาสุมใส่ ตลอดจนเห็นการเจือจานคนด้อยโอกาส เป็นความสนุกสนาน ความรื่นเริงในชีวิตคู่ไปด้วยกัน เป็นความเย็นใจในท่ามกลางมรสุมร้อนๆ เป็นความอุ่นใจในท่ามกลางความเหน็บหนาวให้แก่กันและกันได้
๔) สติปัญญาความคิดอ่าน คือ ใจที่ระงับอารมณ์ได้ดีพอกัน ใช้เหตุใช้ผลได้ดีพอจะคุยกันรู้เรื่องทุกคำ ยิ่งถ้าศึกษาเข้าใจธรรมะ ทั้งขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูงพร้อมกันไปด้วย ก็จะมีเรื่องดีๆไว้คุยกัน ถึงขนาดที่มีชีวิตประเสริฐสุดไปด้วยกันได้
ในความรู้ตัวว่าเป็นคู่บาปคู่เวร ใครจะเป็นผู้จุดประกายความเป็นคู่บุญไม่สำคัญ สำคัญที่ได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายแค่ไหน คุณต้องมองว่าบาปเก่าจะพยายามรักษาเส้นทางของตัวเอง ด้วยการบังตาบังใจไว้ หรือพยายามยื้อแขนยื้อขาไว้ ไม่ให้เปลี่ยนเส้นทางจากมืดเป็นสว่างได้ง่ายนัก
เครื่องทุ่นแรงที่ดี น่าจะได้แก่การสวดมนต์ร่วมกัน ตั้งใจถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชาร่วมกัน กระทั่งรู้สึกถึงความกลมกลืน กลมเกลียวกันระหว่างสองกระแสเสียงกุศล สวดจบเมื่อรู้สึกถึงความสว่างอย่างเดียวกัน ก็ตั้งใจมั่นว่า จะร่วมกันรักษาสองกุศลจิต ด้วยการยอมให้กล่าวตักเตือนกันได้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหลงเขว
สวดด้วยอาการอย่างนี้ ตั้งใจอย่างนี้ไม่นาน จิตของพวกคุณจะสว่างรับกัน จูนกันติดง่าย และผลัดกันฉุดดึงขึ้นสูงไปเรื่อยๆแบบยอดต่อยอดได้ ด้วยความรู้สึกสบาย ไม่ฝืด ไม่ฝืน เปลี่ยนเสียงทะเลาะเป็นเสียงกระหนุงกระหนิง เปลี่ยนการถลึงตาขู่เป็นการเชื่อมตามีไมตรี เปลี่ยนชะตาร้ายๆให้กลายเป็นเกมแก้ปัญหาร่วมกันสนุกๆ เพียงปีสองปี คุณจะรู้สึกขึ้นมาเองว่า ปรับแต่งภาวะคู่บาปให้กลายเป็นภาวะคู่บุญได้ มองกันและกันด้วยความทรงจำว่าเป็นคู่บุญได้เต็มภาคภูมิ!
ความเห็น 3
งงกับคำพูด แต่ละประโยคมาก ไม่เชื่อมโยงแบบไม่ประตืประต่อวกไปวนมา ก็ยังพยายามอ่านจนจบ แต่ไม่ได้อะไรเลย คือ ...มึนไปเลยค่ะ
28 มี.ค. 2562 เวลา 08.42 น.
นิภาดา นิลแสงศรี
อ่านกี่รอบก้อยังงงและไม่เข้าใจ
27 มี.ค. 2562 เวลา 15.23 น.
ทุกอย่างย่อมที่จะแก้ไขให้ดีได้ก็ด้วยเพราะความคิดและจิตใจของตนเอง.
24 มี.ค. 2562 เวลา 14.20 น.
ดูทั้งหมด