โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

มารู้จัก ‘โรคคิดว่าตัวเองไร้ค่า’ พร้อมเช็กตัวเองว่ากำลังตกอยู่ในอาการนี้หรือเปล่า?

Dek-D.com

เผยแพร่ 14 มิ.ย. 2561 เวลา 09.41 น. • DEK-D.com
เช็กตัวเองพร้อมรู้จักวิธีรับมือกับอาการ ‘Imposter Syndrome’ โรคคิดว่าตัวเองไร้ค่า

น้องๆ ชาว Dek-Dเคยมีความรู้สึกว่าบางครั้งเราเองนั้นไม่คู่ควรกับการได้รับคำชม เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างแล้วประสบความสำเร็จ เวลามีคนชมว่าเราทำงานดี เราเองกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องฟลุกมากกว่า หรือบางครั้งเวลาที่น้องๆ ทำคะแนนสอบออกมาได้ดี เรากลับไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่กลับรู้สึกไม่มั่นใจเลยว่าที่ทำไปนั้นคือมาจากความสามารถของเราเอง แต่น้องกลับรู้สึกว่า ที่ได้คะแนนเยอะ คงเป็นเพราะโชคช่วยมากกว่า คงเป็นเรื่องบังเอิญ และคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้ทำขนาดนี้อีกแล้ว
อาการเหล่านี้ที่พี่ยกตัวอย่างไป ทางจิตวิทยาเราเรียกว่า“Imposter Syndrome” หรือ ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองด้อยค่า คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ถ้าน้องๆ กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังตกอยู่อาการเหล่านี้หรือเปล่า? ว่าแล้วก็ตาม พี่วุฒิมาเลยครับ ไปเช็กตัวเองพร้อมๆ กันเถอะ…

จริงๆ แล้ว ถ้าจะบอกว่า ‘Imposter Syndrome’ เป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตเวชก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น และถึงแม้ว่าทางการแพทย์จะไม่ได้ออกมาระบุว่าอาการนี้เป็นโรคทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ แต่การที่เรามีความคิดแง่ลบ มีความคิดว่าตัวเองไร้ค่า และดูถูกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิ่งที่ได้รับ มันก็อาจจะเป็นจุดที่สัมพันธ์กับสภาพจิตใจของเรา และนำไปสู้โรคทางจิตเวชอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘โรคเครียด และ โรคซึมเศร้า’และแน่นอนว่าถ้าพาตัวเองไปถึงจุดนั้นก็คงจะไม่ดีแน่
ถ้าถามถึงที่มาที่ไปของอาการนี้มันมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็อาจจะบอกไม่ได้ เพราะว่ามันเรื่องที่มาจากสภาพจิตใจของแต่ละคน ซึ่งอาจจะมีปัจจัยที่ทำให้ตัวเอง‘รู้สึกว่าไม่เก่งจริง’แต่ละคนอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่เมื่อปี 1978 ได้มีนักจิตวิทยา 2 ท่าน คือ ‘ซูซาน ไอเมส์ และ พอลีน โรส ลนซ์’ที่ได้เริ่มตั้งข้อสงสัยและเริ่มทำการศึกษาและอธิบายปรากฏการณ์ของอาการ Imposter Syndrome แบบจริงจัง ซึ่งพวกเขาก็ได้อธิบายว่า ส่วนใหญ่แล้วอาการเหล่านี้จะพบในกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็คิดว่าความสำเร็จเหล่านี้มันคือภาพมายาที่เค้าสร้างขึ้นมา จริงๆ แล้วเค้าไม่ได้เก่งจริง ไม่สมควรได้รับคำชม สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็คือ ‘ของปลอม’

*แล้วจะรู้ได้ไงว่าเรากำลังเป็น Imposter Syndrome หรือเปล่า? *

เมื่อไม่นานมานี้ ดร. วาเลรี ยังนักเขียนและนักจิตวิทยาชื่อดัง ได้เขียนสรุปเกี่ยวกับอาการ Imposter Syndrome ลงในหนังสือ“The Secret Thoughts of Successful Women: Why Capable People Suffer from the Imposter Syndrome and How to Thrive in Spite of It”เพื่ออธิบายเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ว่าเกิดขึ้นกับใครบ้าง ซึ่งเธอได้สรุปหลักๆ ไว้ 5 ประการดังต่อไปนี้

*1. The Perfectionist *

สำหรับคนประเภทแรกที่เข้าข่ายอาการ Imposter Syndrome ก็คือ คนที่ค่อนข้างทำตัวเจ้าระเบียบ หรือที่หลายคนเรียกว่า “Perfectionist”ดร. วาเลรี ได้วิจัยว่า คนที่เสพติดความเพอร์เฟกต์ในทุกๆ เรื่อง ก็อาจจะสามารถรวมอยู่ในกลุ่มอาการนี้ เพราะคนที่เป็นเพอร์เฟกต์ชันนิสต์มักจะตั้งเป้าหมายไว้สูงในทุกๆ เรื่องที่ทำ และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่สามารถทำได้ตามสิ่งที่หวังไว้ ก็จะเกิดความวิตกกังวลที่สูงมากกว่าคนปกติทั่วไป และอาจทำให้ครุ่นคิดและกล่าวว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้สำเร็จได้

ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?

  • เคยโดนคนอื่นบอกว่าตัวเองเป็นคนประเภท micromanager หรือ คนประเภทที่ชอบตั้งบรรทัดฐานในทุกๆ เรื่องจนเกินไป ชอบเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเวลาทำงานหรือไม่?

  • คุณเคยได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่ๆ ที่มีอุปสรรคมากมายหรือไม่? ซึ่งความจริงแล้วคุณเองก็สามารถทำได้ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ หรือกลัวผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีตามที่คนอื่นคาดหวัง เลยปฏิเสธที่จะไม่ทำ

  • คุณเคยทำงานใหญ่พลาดแล้วเอาแต่โทษตัวเอง และจมอยู่กับความคิดและเอาแต่กร่นด่าตัวเองเป็นเวลาหลายวันหรือไม่?

  • คุณรู้สึกว่าทุกๆ งานที่คุณทำ จะต้องสมบูรณ์แบบ 100% ทุกงานหรือไม่?

*2. The Superwoman / Superman *

สำหรับคนที่มักคิดว่าตัวเองด้อยค่าในสายตาคนอื่น ถ้าพูดถึงในเรื่องของการทำงาน หลายคนมักพยายามที่จะทำให้งานออกมาให้ดีขึ้น และดียิ่งขึ้นในทุกๆ งานเพิ่มไปอีก เหมือนเป็นการสร้างมาตรฐานให้ตัวเองทุกครั้ง ซึ่งเค้าอาจจะไม่ทันคิดว่ายิ่งคาดหวังเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเอง นักวิจัยเลยบอกว่าการกระทำแบบนี้ เข้าข่ายของคนประเภท “Superwoman และ Superman”ที่มักคิดว่าตัวเองจะต้องทำได้ดีในทุกๆ ครั้ง เพราะคิดว่าทุกคนจะต้องคาดหวังว่าเค้าจะได้ดีเพิ่มขึ้นไปอีกเหมือนกับเหล่าฮีโร่ที่ทำได้ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งการทำงานหนักหักโหมตัวเอง ก็ไม่ใช่แค่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของตัวเอง แต่ก็อาจทำให้กระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วยเช่นกัน

ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?

  • เวลาทำงาน คุณมักจะกลับบ้านช้ากว่าเพื่อนร่วมงานหรือไม่ ถึงแม้ว่างานของคุณอาจจะเสร็จแล้ว แต่คุณก็ยังนั่งเคร่งเครียดอยู่กับงาน จนไม่สามารถกลับบ้านได้?

  • คุณเคยรู้สึกเครียดเวลาที่ว่างอยู่เฉยๆ ไม่มีงาน และคิดว่าเวลาว่างที่ได้รับนั้นไร้ประโยชน์?

  • คุณละทิ้งความฝันและงานอดิเรกของคุณไว้ และเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับงานอยู่อย่างเดียวหรือไม่?

  • คุณรู้สึกว่าตำแหน่งหน้าที่การงานที่คุณได้รับมา มันไม่เหมาะสมกับตัวคุณเอง และรู้สึกกดดันมากขึ้นกว่าเดิม และพยายามที่จะทำงานให้หนักมากขึ้นเพื่อให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวคุณเองควรค่ากับตำแหน่งนี้

3. The Natural Genius

มาถึงคนประเภทที่ ‘ฉลาดโดยธรรมชาติหรือมีพรสวรรค์มาแต่เกิด’ บางคนก็สามารถที่จะตกอยู่ในอาการ Imposter Disorder ได้เช่นกัน เพราะว่าคนประเภทนี้มักจะตัดสินความสำเร็จจากความสามารถและความพยายามของตัวเอง พูดง่ายๆ คือ ถ้าต้องทำงานบางอย่างให้หนักขึ้นไปอีก คนเหล่านี้ก็อาจจะคิดว่าตัวเองต้องแย่แน่ๆ และไม่สามารถทำได้ และถึงแม้ว่าในการทำงานแต่ละครั้ง อาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงเหมือนกับคนประเภท Perfectionist แต่มักจะตัดสินจากความคุ้นชินของตัวเอง ประมาณว่า เคยทำได้แค่ไหนก็จะทำได้เท่านั้น แต่ถ้าต้องให้ทำมากกว่านั้นก็จะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า คงทำไม่ได้แน่ๆ

ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?

  • คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบให้ใครมาคอยแสดงความเห็น หรือคอยชี้แนะอยู่ตลอดเวลา เพราะคุณคิดว่าคุณสามารถรับมือทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง

  • เวลาที่คุณเผชิญกับความล้มเหลว คุณจะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ เพราะว่าคุณทำได้ไม่ดี และรู้สึกอับอายมาก

  • คุณมักรู้สึกกลัวความท้าทายใหม่ๆ เพราะว่าคุณจะคิดว่าคุณจะไม่สามารถทำในสิ่งนั้นได้ดี

4. The Rugged Individualist

“The Rugged Individualist” หรือ คนประเภทปัจเจกนิยม ไม่ชอบพึ่งพาใคร รักที่จะทำงานแบบอิสระมากกว่า คิดว่าตัวเองไม่สามารถทำงานกับใครได้ เลยเลือกที่จะพึ่งพาตัวเองมากกว่า จนบางครั้งก็อาจจะส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจตัวเองแบบไม่รู้ตัว ซึ่งการกระทำเหล่านี้อาจจะนำพาให้เราตกอยู่ในอาการ Imposter Syndrome ได้

ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?

  • เป็นคนที่ชอบทำอะไรให้สำเร็จด้วยตัวเองอยู่เสมอ

  • ไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร

  • รู้สึกว่าการขอความช่วยเหลือ คือ การรบกวนคนอื่นให้มาช่วยงานของตัวเองทั้งหมด

5. The Expert

มาถึงประเภทสุดท้ายก็คืิอ “The Expert”หรือ คนที่เก่งและเชี่ยวชาญมากๆ ซึ่งหลายคนอาจจะมีความรู้สึกลึกๆ ว่า ตัวเองไม่ได้เก่งจริง ไม่ใช่ของจริงอย่างที่ใครคิด สิ่งที่เค้าทำอยู่มันไม่ได้ดีขนาดที่ทุกคนจะกล่าวชื่นชมและควรได้รับการยอมรับ และบางคนก็อาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกคนอื่นว่าตัวเองเก่ง กลัวคนอื่นจะมาเปิดโปงว่าที่แท้จริงแล้วเราไม่ได้เก่งจริง และที่แย่ไปกว่านั้นบางคนเก็บความรู้สึกเหล่านี้มาเป็นความเครียด และสะสมมากจนนำไปสู่โรคซึมเศร้า

ลองเช็กตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?

  • คุณมักรู้สึกเขินอายที่จะบอกดีกรีของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ และรู้สึกกลัวคนอื่นไม่เชื่อ

  • คุณมักรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ และอยากที่จะเรียนทุกๆ อย่างเพื่อเพิ่มเติมความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ

  • คุณมักกลัวที่จะถูกถาม และกลัวตอบไม่ได้ เพราะคุณมักคิดว่าคุณยังรู้ไม่พอ

  • คุณรู้สึกประหม่าและเกิดอาการตัวสั่น เวลามีคนมาบอกว่าคุณเชี่ยวชาญในเรื่องนี้

แล้วถ้าเราเป็นแบบนี้ ควรจะแก้อย่างไร? จริงๆ แล้วเชื่อว่าหลายคนเองก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอยากเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว จะให้แก้แบบหายขาดมันก็ยาก เพราะกว่าเราจะมาถึงจุดนี้ มันก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เรามีความคิดและความรู้สึกแบบนี้ หรือถ้าให้ใครมาบอกว่า ก็ลองเลิกคิดมากสิ อย่าไปคาดหวังอะไรมากเกินไป ซึ่งมันก็อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างที่เค้าบอกนั่นแหละ แต่มันก็อาจจะไม่ได้เลิกเป็นกันง่ายๆ
ดังนั้น ลองค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองทีละนิด พยายามอย่ากดดันตัวเองมากเกินไป ลองมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆ และค่อยๆ สร้างความมั่นใจในตัวเอง คิดเอาไว้เสมอว่าใครๆ ก็สามารถทำผิดพลาดได้ และเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นและเปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันให้กับตัวเอง ย้ำเตือนใจตัวเองไว้เสมอว่า“ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา และก็ไม่มีใครที่จะสามารถทำอะไรแล้วไร้ที่ติ 100% หรอก”เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นธรรมดาที่บางครั้งอาจจะผิดหวัง หรือบางครั้งงานที่ทำอาจจะหนัก มีอุปสรรคเข้ามาให้แก้ไข ถึงแม้ว่าเราอาจจะทำได้ไม่ดี แต่อย่างน้อย มันก็คือสิ่งที่จะทำให้เราเติบโต บางครั้งรู้สึกเบื่อๆ ก็ลองก้าวออกจาก comfort zone ออกไปทำอะไรใหม่ๆ ส่วนสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ก็แค่ทำให้มันดีเท่าที่เราจะทำได้ก็พอ “เราจะใช้ชีวิตเอง หรือจะให้ชีวิตมาใช้เรา มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองนั่นแหละ”
Source:
https://www.themuse.com/advice/5-different-types-of-imposter-syndrome-and-5-ways-to-battle-each-one
https://qz.com/1288679/a-new-survey-of-puerto-rico-death-toll-from-hurricane-maria/
https://qz.com/1296783/it-turns-out-men-not-women-suffer-more-from-imposter-syndrome/
https://www.cnet.com/news/impostor-syndrome-tips-for-feeling-less-like-a-fake/

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...