โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ผ่าน กม.ปราบ ‘คอลเซ็นเตอร์’ ให้ ‘เจ้าของแอปฯ-แบงก์-ค่ายมือถือ’ จ่ายค่าเสียหาย

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 29 ม.ค. เวลา 13.33 น. • เผยแพร่ 28 ม.ค. เวลา 22.12 น.
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

28 กุมภาพันธ์ 2568 ครม. เห็นชอบ ‘ร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี’ จัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภัยไซเบอร์ พนันออนไลน์ เพิ่มความรับผิดชอบ แบงก์-ค่ายมือถือ-แอป ร่วมจ่ายค่าเสียหาย กันลอยตัวพ้นผิด โทษสูงสุด ปรับ 5 ล้านบาท – จำคุก 5 ปี คาดบังคับใช้ ก.พ.68 เผย ร่าง พ.ร.ก. ฉบับใหม่ ครอบคลุมถึงอำนาจ กสทช. – แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล

เพิ่มความรับผิดชอบ แบงก์-ค่ายมือถือ เร่งรัดคืนเงินผู้เสียหาย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รายงานภายหลังการประชุม ครม. ว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีสาระสำคัญที่ได้รับการแก้ไข 5 ประเด็น ดังนี้

  • การกำหนดความรับผิดชอบร่วมของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือและสื่อสังคมออนไลน์ กำหนดให้ผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นหากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนด
  • กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องมีหน้าที่ระงับการใช้งานซิมการ์ดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที
  • การเร่งรัดขบวนการคืนเงินให้ผู้เสียหาย เป็นการเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้าที่เชื่อมโยงกับการกระทำความผิดไปยังสำนักงาน ปปง. เพื่อให้สามารถตรวจสอบและคืนเงินให้ผู้เสียหายได้โดยเร็ว ซึ่งเดิมการคืนเงินให้ผู้เสียหายต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าปีหรือสองปี ต้องผ่านกระบวนการทางศาล แต่การแก้ไข ร่างพ.ร.ก. ครั้งนี้ ทำให้คืนเงินได้รวดเร็วขึ้น
  • การเพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์มโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มต้องร่วมรับผิดชอบในการป้องกันและตรวจสอบการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระบบของตน
  • เพิ่มบทลงโทษสำหรับการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล กรณีเปิดเผยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ต้องมีบทลงโทษที่เหมาะสม

คาดโทษข้อมูลหลุด ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท จำคุก 5 ปี-ร่าง พ.ร.ก. คืนเงินผู้เสียหายเร็วสุด

นายประเสริฐ ขยายความว่า ร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้กำหนดโทษเพิ่มเติม 2 ลักษณะ คือ (1) ลักษณะเปิดเผยแบบส่งต่อ และ (2) ลักษณะเปิดเผยแบบขายข้อมูล ซึ่งโทษสูงสุดปรับ 5 ล้านต่อต่อหนึ่งกระทง และจำคุก 5 ปี

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เมื่อถามว่า การคืนเงินที่เร็วขึ้นตามข้อ (3) จะเร็วขึ้นจากเดิมแค่ไหน นายประเสริฐ ตอบว่า ประมาณ 6 เดือน หรืออย่างช้าสุด 1 ปี หรือบางกรณีสามารถคืนได้ทันทีหากผู้เสียหายพิสูจน์และยืนยันตัวตนและบัญชีได้ตรงกัน

“ในอดีตต้องผ่านกระบวนการฟ้องร้องของศาล แต่อันนี้เราให้อำนาจกำหนดให้ธนาคารส่งข้อมูลให้ ปปง. ได้รับทราบ บัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพื่อตรวจสอบได้ทันที”

เมื่อถามถึงรายละเอียดของความรับผิดชอบร่วมกัน นายประเสริฐ อธิบายว่า นำมาใช้้ในกรณีที่คณะกรรมการได้กำหนดมาตรการไปแล้วไม่ปฏิบัติตามหรือเกิดความเสียหาย ส่วนความเสียหายจะเกิดขึ้นเท่าไรต้องมีการฟ้องศาล และศาลจะเป็นคนกำหนดว่าส่วนรับผิดชอบแต่ละส่วนเป็นอย่างไร

“เป็นมาตรการที่ทุกคนต้องระมัดระวังมากขึ้นในการดูแลและปกป้องทรัพย์สินของประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว

ถามต่อว่า สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการจดทะเบียนในต่างประเทศ สามารถพูดคุยกับเจ้าของได้หรือไม่ นายประเสริฐ ตอบว่า “พูดได้ เป็นกฎหมายในประเทศเราเอง ถ้ามีความผิดเกิดขึ้นในประเทศ เราก็สามารถใช้ข้อกฎหมายในประเทศบังคับได้”

ถามต่อว่า ร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เมื่อไร นายประเสริฐ ตอบว่า “กฤษฎีกาฯ จะขอดูรายละเอียดอีกเล็กน้อย วันนี้ ครม. ผ่านความเห็นชอบแล้ว กฤษฎีกาฯ ดูอีก ผมว่าใช้เวลาไม่นาน”

โฆษกฯ ชี้ กม. เดิม ขาดอำนาจจัดการบัญชีม้า-ความรับผิดชอบร่วมกัน

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลในช่วงแถลงข่าวของคณะโฆษกว่า พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 (ฉบับปัจจุบัน) ยังขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะอำนาจการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P, อำนาจการคืนเงินให้กับประชาชน, และการรับผิดร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

ทั้งนี้ พ.ร.ก. ฉบับนี้มีสาระสำคัญ ในการเสนอการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก. ฉบับเดิม พ.ศ. 2566 ดังนี้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
  • เพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์ม P2P ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
  • เพิ่มหน้าที่ให้ telco provider ต้องระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
  • เพิ่มหน้าที่การส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้าของธนาคารต่าง ๆ ไปยัง ปปง. เพื่อตรวจสอบและคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้รวดเร็วมากขึ้น
  • เพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์ม P2P รวมถึงธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของคนร้าย
  • เพิ่มบทลงโทษผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
  • เพิ่มบทลงโทษให้สถาบันทางการเงิน เครือข่ายมือถือ สื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

ยกเป็นวาระเร่งด่วน เพิ่มอำนาจ กสทช. – ระงับกลุ่มเสี่ยงฟอกเงินผ่านคริปโต

จากกฎหมายฉบับปัจจุบันและมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอกับรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทำให้อาชญากรรมออนไลน์ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลพบว่า ประชาชนยังได้รับความเสียหายเฉลี่ยต่อวัน 60 – 70 ล้านบาท (ก่อนการดำเนินการมาตรการต่างๆ ของ ดศ. อยู่ที่ 100 – 120 ล้านบาทต่อวัน) และตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 – พ.ย. 67 มีจำนวนคดีออนไลน์รวม 402,542 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 42,662 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการแก้ปัญหานี้

**[

  • ดีอี เปิดรายงาน-ข้อเสนอ พบปิดเว็บ ‘พนันออนไลน์’ 62,215 โดเมน พบเงินตกค้างบัญชีม้ากว่า 1.5 พันล้าน ](https://thaipublica.org/2025/01/de-reports-shutdown-of-online-gambling-websites/)**

ดังนั้น ร่าง พ.ร.ก. ฉบับใหม่ จึงเพิ่มมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ เช่น

  • ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P) โดยห้ามให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซีโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์ และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชีและระงับการให้บริการหรือการทำธุรกรรมกับ ลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)
  • ให้ สนง.กสทช. หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราวเมื่อพบเหตุอันควรสงสัย
  • ให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือสื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หากหน่วยงานดังกล่าวไม่ได้ใช้ความระมัดระวังที่พึงปฏิบัติในวิชาชีพ
  • ให้อำนาจแก่ คกก. ธุรกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน

คาดบังคับใช้ ก.พ. 68

นายจิรายุ รายงานว่า ในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงการประกาศใช้เป็น พ.ร.ก. ว่า จะสามารถจัดการกระบวนการหลอกลวงที่เป็นปัญหาสังคมอยู่ในขณะนี้ได้อย่างไร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้มีความเห็นอย่างไร โดยมีหน่วยงานที่ให้คำตอบ ได้แก่

  • เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าหาก ครม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ และเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ย่อมสามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าวได้
  • นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. ดีอี รายงานในที่ประชุมว่ากฎหมายฉบับนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และจะสามารถป้องกันและปราบปรามได้มากยิ่งขึ้น

จากนั้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติในหลักการตามที่ ก.ดิจิทัลฯ เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับร่าง พ.ร.ก. ไปพิจารณาปรับรูปแบบ โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณาสำหรับร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้หลัง ครม. เห็นชอบ และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งเลขาธิการกฤษฎีกา ระบุจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่าประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนหน้านี้

รมว. ประเทศในอาเซียน เห็นพ้องในหลักการ

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า พ.ร.ก. ฉบับนี้ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบต่างๆ ประกอบกัน เนื่องจากกฎหมายนี้เป็นหนึ่งในมาตรการดำเนินการอีกทั้งยังมีมาตรการอื่น เช่น การทำงานร่วมกับต่างประเทศในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานที่ตั้งบริเวณชายแดน ถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

“ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลครั้งล่าสุด ได้นำเสนอเรื่องนี้เป็นรายงานในที่ประชุม ซึ่งทุกประเทศก็เห็นพ้องในการยกระดับร่วมกันและถือว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงในโซเชียล เป็นภัยที่ทุกประเทศต้องตระหนัก จึงต้องทำงานร่วมกัน” นายจิรายุ กล่าว