โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ยานยนต์

Lamborghini Urus SE ซูเพอร์เอสยูวี 800 แรงม้า ระบบ PHEV

autoinfo.co.th

เผยแพร่ 15 พ.ค. เวลา 19.41 น.
Lamborghini Urus SE ซูเพอร์เอสยูวี 800 แรงม้า ระบบ PHEV

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด เปิดตัว Lamborghini Urus SE ซูเพอร์เอสยูวีระบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รุ่นแรกของ Lamborghini

The first Plug-in Hybrid Super SUV

Urus SE รถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ และเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น และระบบส่งกำลัง 800 แรงม้า ที่มาในแบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ถือเป็นรุ่นทอพในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสบาย ประสิทธิภาพ และประสบการณ์ความสนุกสนานในการขับ ผสานกำลังเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้า ที่ทำให้ได้กำลังเครื่อง และแรงบิดสูงสุด รวมทั้งสามารถลดการปล่อยไอเสียได้มากถึง 80 %

ภายนอกเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์

รูปทรงเน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ท และความแข็งแกร่งบึกบึน การออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design เสริมความลื่นไหลต่อเนื่อง เป็นการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto

นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมด โดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ทมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S

ด้านอากาศพลศาสตร์ Lamborghini ออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วน และเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15 % การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่าง เพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ และระบายความร้อนให้แก่ระบบเบรค ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า

ชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED

ชุดไฟท้ายสะดุดตาด้วยไฟรูปตัว “Y”

Urus SE มีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัพเดทใหม่ พร้อมดีไซจ์น Galanthus ขนาด 23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐาน พร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือกมากมาย และออพชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสีส้ม Arancio Egon ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสีส้ม Arancio Apodis และโทนสีขาว Bianco Sapphirus จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสีน้ำตาลแดง Terra Kedros

ภายในได้รับการอัพเดทใหม่

การตกแต่งภายในได้รับการอัพเดทใหม่ “Feel like a pilot” โดยนำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้า และยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนักเบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto

หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัด และมอบการแสดงผลกราฟิค Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดาย และเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่ง ด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง

ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว ที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัด และยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น

ขุมกำลังระบบ PHEV 800 แรงม้า

Urus SE ที่มาในแบบ PHEV เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ 4.0 V8 ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม ให้กำลัง 620 แรงม้า (456 กิโลวัตต์) และแรงบิดสูงสุด 81.6 กก.-ม. (800 นิวตันเมตร) รวมกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่ให้กำลัง 192 แรงม้า (141 กิโลวัตต์) และแรงบิด 49.3 กก.-ม. (483 นิวตันเมตร) กำลังรวม 800 แรงม้า (588 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. และแรงบิดรวม 96.9 กก.-ม. (950 นิวตันเมตร) ที่ 1,750-5,750 รตน. คิดเป็นอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลัง 3.13 กก./แรงม้า (ขณะที่ Urus S ทำได้ 3.3 กก./แรงม้า)

อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S: 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.2 วินาที (Urus S: 12.5 วินาที) ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 312 กม./ชม. (Urus S: 305 กม./ชม.)

สัมผัส 4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง

แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออพชัน โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนน และสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออพชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge

ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์ และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้ เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า

ระบบ Hybrid ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพ และความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ระบบ Recharge ซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และ Neve โดยสามารถชาร์จไฟให้แบทเตอรีได้ถึง 80 % โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด ส่วนระบบ Performance เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของ Urus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sport และ Corsa เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และ Terra อีกด้วย โดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของซูเพอร์เอสยูวีตัวจริงแม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย

เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกัน สปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทางระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่ นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE

ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบการณ์การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้นไปอีก ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ โดยเสริมคาแรคเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ ในการสตาร์ท และการดริฟท์ที่มันอย่างต่อเนื่อง โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทำให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สำหรับระบบกันสะเทือน ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซีส์ (ทั้งการ Pitch, Yaw, Roll และ Pump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูง และตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุะขระ และพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท

Lamborghini Urus SE ราคา 24,980,000 บาท

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น