วันนี้( 20 ก.ค.62) สำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส ได้นำเสนอข่าว “Thai farmers on the cash trail with snail slime” ระบุว่า เกษตรกรไทยในพื้นที่ภาคกลางกำลังทำเงินอย่างเป็นกอบเป็นกำจากการเลี้ยง “หอยทาก” โดยเกษตรกรไทยรายหนึ่ง ( Phatinisiri Thangkeaw) เปิดเผยว่า ในอดีตหอยทากถือเป็นศัตรูตัวร้ายของชาวนา เพราะพวกมันชอบกินต้นข้าวที่เพิ่งปลูกใหม่ๆ แต่วันนี้มันกลายเป็นสิ่งมีค่าเพราะเป็นที่ต้องการของบริษัทเครื่องสำอาง ซึ่ง Phatinisiri ที่มีอาชีพหลักเป็นครู กล่าวว่า หอยทาก 1 พันตัว ทำให้มีรายได้เพิ่ม 320-650 เหรียญสหรัฐต่อเดือน
ทั้งนี้ มีฟาร์มหอยทากกว่า 80 แห่งในพื้นที่ จ.นครนายก ซึ่งใช้เวลาเดือนทางราว 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย เมือกจากหอยทากจะถูกส่งเข้าสู่ตลาดเสริมความงาม ที่มีมูลค่าทั่วโลกรวมกันถึง 314 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเริ่มตั้งแต่โรงงานผลิตเครื่องสำอางในประเทศไทย ก่อนส่งออกผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแล้วไปขายยังต่างประเทศ
ขณะที่ เจ้าของกิจการแปรรูปเมือกหอยทากเป็นเครื่องสำอาง ( Kitpong Puttarathuvanun) เล่าว่า เขาเริ่มต้นกิจการเมื่อ 3 ปีก่อน จากความพยายามแก้ไขปัญหาศัตรูพืชใน จ.นครนายก ปัจจุบันมีสินค้าของตนเองคือยี่ห้อ Acha นอกจากนี้ยังรับงานเป็นฐานการผลิตเครื่องสำอางส่งไปขายที่เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา โดยเมือกหอยทากที่ แปรรูปเป็นผงแห้งแล้วขายได้ราคาสูงถึง 58,200 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม แพงกว่าทองคำที่มีราคา 46,300 บาทต่อกิโลกรัมเสียอีก เพราะหอยทากไทยนั้น ได้รับอาหารหลากหลายรวมถึงผัก ธัญพืชและเห็ด เมือกที่ออกมาจึงมีคุณภาพสูงไปด้วยทั้งนี้ เมือกหอยทากมีคอลลาเจนและอิลาสติน มีสรรพคุณช่วยลดริ้วรอยบนผิวหนัง กระตุ้นเซลล์ผิวและรักษาผิวได้ อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่มีผลสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่เกษตรกรไทยก็มองเห็นการเจริญเติบโตอย่างร้อนแรงของตลาดเมือกหอยทาก จากก่อนหน้านี้ไม่นานนักที่ยังเป็นเพียงการรับซื้อหอยทากจากชาวนา ปัจจุบันได้พัฒนาสู่การทำฟาร์มอย่างเป็นเรื่องเป็นราว