โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที

9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด "Your Connection is Not Private" บนเว็บเบราว์เซอร์ ด้วยตัวเอง

Thaiware

อัพเดต 17 ส.ค. 2565 เวลา 02.00 น. • เผยแพร่ 17 ส.ค. 2565 เวลา 02.00 น. • Talil
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด

9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด “Your connection is not private” บนเว็บเว็บเบราว์เซอร์

คุณกำลังท่องเว็บไซต์ ผ่าน โปรแกรมเปิดเว็บ หรือ เว็บเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) แล้วดันเจอข้อความแจ้งเตือน "Your connection is not private" ใช่หรือไม่ ? แน่นอนว่านั่นหมายถึง การเชื่อมต่อของคุณไม่เป็นส่วนตัว และเว็บเบราว์เซอร์พยายามที่จะเตือนคุณ

โดยปกติแล้วปัญหานี้มักเกิดขึ้นจากการตรวจสอบ Secure Sockets Layer (SSL) ที่มีข้อผิดพลาด แต่ก็ยังมีปัญหาอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุได้เหมือนกัน เช่น การตั้งค่าที่ผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ ปัญหาจาก DNS, ตัวเว็บเบราว์เซอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย บทความนี้เราจะมาวิเคราะห์สาเหตุและหาวิธีแก้ไขไปพร้อมกัน

9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด
9 วิธีแก้ปัญหาข้อผิดพลาด

เนื้อหาภายในบทความ

  • การเตือน "Your connection is not private" คืออะไร ?
  • วิธีที่ 1 : รีโหลดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ใหม่อีกครั้ง
  • วิธีที่ 2 : เว็บสลับไปใช้เว็บเบราว์เซอร์อื่น
  • วิธีที่ 3 : ตรวจสอบว่าคุณใช้เครือข่ายสาธารณะอยู่หรือเปล่า
  • วิธีที่ 4 : เว็บล้างการตั้งค่า (Reset) เราเตอร์
  • วิธีที่ 5 : ตรวจสอบการตั้งค่า "วันที่และเวลา" บนอุปกรณ์
  • วิธีที่ 6 : ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
  • วิธีที่ 7 : เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์
  • วิธีที่ 8 : ล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์บนเว็บเบราว์เซอร์
  • วิธีที่ 9 : ล้างแคชของ DNS

การเตือน "Your connection is not private" คืออะไร ?

ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก Secure Sockets Layer (SSL) สาเหตุหลักของข้อผิดพลาด "Your connection is not private" โดย SSL ก็คือเทคโนโลยีการเข้ารหัสความปลอดภัย ที่ใช้บนโปรโตคอล HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) หรือโปรโตคอลการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต เหมือนกับที่เวลาคุณใส่ URL เว็บไซต์ใด แล้วจะมีคำว่า "https" ขึ้นต้นก่อนเสมอนั่นเอง

โดยหลัก ๆ แล้วหน้าที่ของ SSL คือช่วยในการเข้ารหัสข้อมูลที่สื่อสารกันระหว่างเว็บไซต์กับเว็บเบราว์เซอร์ โดยจะมีสิ่งที่เรียกว่า "SSL Certificates" หรือใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นข้อมูลไฟล์ขนาดเล็กที่ผูกกับเว็บไซต์และใช้เป็นเครื่องยืนยันว่าเว็บดังกล่าวมีความปลอดภัย และ น่าเชื่อถือขนาดไหน

ถ้าเกิดว่าเว็บเบราว์เซอร์ตรวจสอบแล้วเจอความผิดพลาดของ "SSL Certificates" เช่น ใบรับรองหมดอายุ หรือ ขัดข้องบางประการ เว็บเบราว์เซอร์ของเราก็จะแจ้งเตือนว่า "Your connection is not private" นั่นเอง เป็นการย้ำเตือนคุณว่า ไม่ควรเข้าชมเว็บไซต์เหล่านั้นเพราะมันอันตรายและอาจมีแฮกเกอร์มาล้วงข้อมูลไปได้

ซึ่งจากปัญหานี้ หลายคนอาจจะเลือกที่จะไม่สนใจ และเข้าเว็บไซต์ต่อไปโดยคลิกที่ "ปุ่ม Advanced" และกดที่คำว่า "Proceed to …ชื่อเว็บไซต์ (unsafe)" แต่หลายคนก็อาจรู้สึกกลัวและปิดมันไป

การเตือน 
การเตือน 

อย่างไรก็ตามนั่นคือกรณีปกติ เพราะนอกจากการแจ้งเตือน "Your connection is not private" นั้นจะเกิดขึ้นเพราะ "มันไม่ปลอดภัยจริง ๆ แล้ว" มันอาจจะมีสาเหตุอื่นอีกก็ได้ และถ้าคุณยืนยันที่จะต้องการเข้าเว็บไซต์เหล่านั้นให้ได้ แบบไม่ต้องกังวล หรือสงสัยว่ามันเกิดจากข้อผิดพลาดอื่น เรามีวิธีที่จะตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง

วิธีที่ 1 : รีโหลดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ใหม่อีกครั้ง

รีโหลดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ใหม่อีกครั้ง (Reload Browser Page)
รีโหลดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ใหม่อีกครั้ง (Reload Browser Page)

บางทีปัญหาอาจจะไม่ได้ใหญ่นัก เว็บเบราว์เซอร์อาจทำงานพลาดเอง แก้ง่าย ๆ คือกด "ปุ่ม F5" เพื่อรีโหลดหน้าเว็บเหล่านั้นอีกรอบ

วิธีที่ 2 : เว็บสลับไปใช้เว็บเบราว์เซอร์อื่น

หากรีโหลดหน้าเว็บไซต์แล้วยังเป็นเหมือนเดิม ทางแก้ที่ง่ายอีกทางคือให้ลองสลับไปใช้เว็บเบราว์เซอร์อื่นดู ถ้าพบว่าผลลัพธ์ต่างกัน คุณก็จะทราบได้ง่ายว่าปัญหาเกิดจากอะไรและควรจะเปลี่ยนเว็บเบราว์เซอร์ไหม

วิธีที่ 3 : ตรวจสอบว่าคุณใช้เครือข่ายสาธารณะอยู่หรือเปล่า

บางครั้งสาเหตุก็เกิดจากเครือข่ายที่ใช้งาน โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังใช้เครือข่ายสาธารณะ เช่น Wi-Fi อาคาร, ร้านอาหาร โรงแรม และอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว และมันอาจทำให้เกิดปัญหาของเราตามมาด้วย เพราะส่วนใหญ่ Wi-Fi สาธารณะมักจะไม่รันบน HTTPS แต่ใช้เว็บพอร์ทัลของตัวเองเพื่อให้ผู้ใช้ยินยอมข้อตกลง และ เข้าถึงเครือข่ายได้ ดังนั้นเวลาอยู่นอกสถานที่ ควรใช้เครือข่ายมือถือ หรืออะไรจำพวกนี้ดีกว่า

วิธีที่ 4 : คืนค่าโรงงาน (Factory Reset) เราเตอร์

ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์และเครือข่ายในบ้านอยู่แล้ว สาเหตุก็อาจเกิดจาก ข้อผิดพลาดของ เราเตอร์ (Router) ก็เป็นได้ ให้ลองรีเซ็ตเราเตอร์กลับมาเป็นค่าโรงงานดูสักครั้ง มันอาจช่วยคุณได้ ปกติเราเตอร์แต่ละรุ่น มีวิธีการรีเซ็ตไม่เหมือนกัน คุณสามารถหาขั้นตอนและวิธีทำได้ตามรุ่นที่ใช้งานเลย

วิธีที่ 5 : ตรวจสอบการตั้งค่า "วันที่และเวลา" บนอุปกรณ์

การตั้งค่า วันที่และเวลาของอุปกรณ์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือ เขตโซนที่คุณอาศัยอยู่ สามารถส่งผลกระทบต่อความเข้าใจผิดของเบราวเซอร์ในการตรวจสอบใบรับรอง SSL (SSL Certificate) ได้เหมือนกัน ทางทีดีให้ตรวจสอบว่าเวลาตรงกันไหม ? หรือปรับเป็นอัตโนมัติจะเหมาะสมที่สุด

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ Mac

ตรวจสอบการตั้งค่า วันที่และเวลา บนอุปกรณ์ (Check Date and Time Settings on Device)
ตรวจสอบการตั้งค่า วันที่และเวลา บนอุปกรณ์ (Check Date and Time Settings on Device)

  • กดไปที่ "เมนู Apple" ที่มุมซ้ายจอ และเลือก "เมนู System Preferences"
  • เลือก "เมนู Choose Date & Time"
  • ตรวจสอบว่าวันและเวลาถูกต้อง

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ Mac
การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ Mac

  • ปรับเวลาให้เป็นอัตโนมัติ โดยคลิกที่แท็บ "เมนู Time Zone”
  • คลิกรูปล็อกที่มุมล่างซ้ายเพื่อทำการปลดล็อกการเปลี่ยนแปลง
  • จากนั้นติ๊กที่ช่อง "เมนู Set time zone automatically using current location"

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนระบบปฏิบัติการ Windows

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนระบบปฏิบัติการ Windows
การตั้งค่าวันที่และเวลาบนระบบปฏิบัติการ Windows

  • คลิกขวาที่ "ไอคอน Date & Time" บนแถบงาน (Taskbar)
  • คลิก "เมนู Adjust Date & Time" เพื่อตรวจสอบว่าวันและเวลาถูกต้อง

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนระบบปฏิบัติการ Windows
การตั้งค่าวันที่และเวลาบนระบบปฏิบัติการ Windows

  • คลิกเปิดใช้ "Set time automatically" หรือเปิดใช้ "Set time zone automatically"
  • เสร็จแล้วให้ปิด และ เปิดเว็บเบราว์เซอร์ขึ้นมาใหม่

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ iPhone

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ iPhone
การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ iPhone

  • สำหรับ iPhone ให้ไปที่การตั้งค่า
  • เลือก "เมนู General" กด "เมนู Date & Time"
  • และเปิดใช้ "เมนู Set Automatically" (ปกติทุกเครื่องจะเปิดไว้อยู่แล้ว)

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ Android

การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ iPhone
การตั้งค่าวันที่และเวลาบนอุปกรณ์ iPhone

  • สำหรับ Android ไปที่การตั้งค่า
  • เลือก "เมนู General Management" กด "เมนู Date & Time"
  • และเปิดใช้ "Automatic date and time หรือ "Automatic Time zone"

วิธีที่ 6 : ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

ลองปิดการใช้งาน Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัสดู หากโหลดหน้าเว็บแล้วขึ้น "Your connection is not private" วิธีนี้น่าจะช่วยคุณได้

  • กดเปิด "เมนู Settings" ด้วย "ปุ่ม Windows + i" บนคีย์บอร์ด
  • เข้าไปที่ "เมนู Privacy & Security" จากนั้นไปที่ "เมนู Windows Security"
  • คลิกที่คำว่า "Virus and Threat Protection"

วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

  • เมื่อเปิดหน้าต่างถัดมาให้เลื่อนไปคลิกที่ "ปุ่ม Manage Settings" ใต้ "เมนู "Virus and Threat Protection Settings"

วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

  • จากนั้นที่ใต้ "คำว่า Real-time Protection" ให้เปลี่ยนจาก "ปุ่ม On เป็น Off"

วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

  • กดกลับมาและเปลี่ยนไปที่ "แท็บ Firewall & network protection" คุณจะเห็นชื่อเมนู 3 ตัวได้แก่

  • Domain Network

  • Private Network

  • Public Network

วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

  • ให้คุณเข้าไปที่ละเมนูจากนั้นเปลี่ยน "คำสั่ง Microsoft Defender Firewall" ทุกเมนูให้เป็น "Off" ให้หมด
  • จากนั้นให้ลองเข้าเว็บไซต์เดิม

วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
วิธีที่ 6 ปิดการทำงานของ Firewall และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

กรณีถ้าคุณมี โปรแกรมแอนตี้ไวรัส (Antivirus Software) แบบ บุคคลที่สาม (3rd Party) ให้ปิดการทำงานของโปรแกรมด้วย จากนั้นเข้าสู่หน้าเว็บไซต์เดิมที่มีปัญหา

วิธีที่ 7 : เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์

นอกจาก โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito Mode) จะช่วยให้คุณเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ แบบส่วนตัวได้แล้ว ก็สามารถช่วยให้คุณแก้ "Your connection is not private" ได้เหมือนกัน และเรายังสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อคุณเข้าเว็บไซต์ด้วยโหมดไม่ระบุตัวตนแล้วก็ยังเจอผลลัพธ์เหมือนเดิม แสดงว่าข้อผิดพลาดนั้นอาจเกิดจากเว็บไซต์นั้นมีปัญหาด้านความปลอดภัยจริง ๆ หรืออาจเป็นที่ปัจจัยอื่นของเว็บเบราว์เซอร์ เช่น การติดตั้งส่วนเสริม หรือ ข้อมูลแคชที่ทำงานผิดพลาด

โดยนอกจาก เว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome แล้ว เว็บเบราว์เซอร์อื่น ๆ อย่าง Microsoft Edge, Mozilla Firefox และอื่น ๆ ก็มีโหมดไม่ระบุตัวตนให้ใช้เหมือนกัน แต่ชื่อเมนูอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย

วิธีที่ 7 เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์
วิธีที่ 7 เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์
วิธีที่ 7 เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์
วิธีที่ 7 เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์
วิธีที่ 7 เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์
วิธีที่ 7 เปิด โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito mode) บนเบราว์เซอร์

วิธีที่ 8 : ล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์

แน่นอนว่าพวก ไฟล์คุกกี้ (Cookies) ข้อมูลแคช (Cache) และประวัติเว็บเบราว์เซอร์ (Browsing History) ที่เว็บเบราว์เซอร์ได้บันทึกเอาไว้ให้คุณต่างเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ และช่วยในการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้งานครั้งต่อไป แต่อีกทางมันก็อาจเป็นสาเหตุของปัญหานี้ได้เหมือนกัน และการล้างประวัติเว็บเบราว์เซอร์ก็สามารถช่วยคุณได้

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บ บนเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome

  • ไปที่ "เมนู Settings → Privacy and Security"
  • กดคลิกที่ "เมนู Clear browsing data"

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome

  • เปลี่ยนช่อง "Time range" เป็น "All Time"
  • ติ๊กทุกช่อง จากนั้นกด "ปุ่ม Clear data"

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บ บนเว็บเบราว์เซอร์ Mozilla Firefox

  • ให้ไปที่ "เมนู Settings → Privacy and Security"
  • ใต้ "เมนู Cookies and Site Data" คลิกที่ "ปุ่ม Clear Data"

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Mozilla Firefox
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Mozilla Firefox

  • ต่อมาติ๊กทุกช่อง และกด "ปุ่ม Clear"

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Mozilla Firefox
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Mozilla Firefox

วิธีล้างข้อมูลบนเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge

  • ให้ไปที่ "เมนู Settings → Privacy, Search, and Security"
  • ใต้ "เมนู Clear browsing data" คลิกที่ "ปุ่ม Choose what to clear"

วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge

  • จากนั้นเปลี่ยน "ช่อง Time range" เป็น "All Time"
  • ติ๊กทุกช่อง และกด "ปุ่ม Clear now"
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge
วิธีล้างข้อมูลการท่องเว็บไซต์ บนเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge

วิธีที่ 9 : ล้างแคชของ DNS

เวลาเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่าง ๆ คอมพิวเตอร์ของคุณจะมีการเก็บข้อมูล Domain Name และ IP Address ที่เคยค้นหามาแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องส่งไปถาม DNS Server ทุกครั้งเวลาเรียกใช้เว็บไซต์ที่เคยเชื่อมต่อ แต่บางครั้งข้อมูลที่เก็บไว้ก็อาจเสียหาย หรือ เก่าไปจนทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากการเชื่อมต่อเว็บไซต์ ทางแก้คือต้องล้างแคช DNS บนอุปกรณ์ของคุณ หรือ การ "Flush DNS"

  • เปิดใช้ Command Prompt ด้วย "Run as administrator"

  • จากนั้นพิมพ์ "คำสั่ง ipconfig /flushdns" ลงไป

  • ตามด้วยคำสั่ง

  • ipconfig /registerdns

  • ipconfig /release

  • ipconfig /renew

  • จากนั้นพิมพ์ "คำสั่ง netsh winsock reset"

  • และทำการ Restart คอมพิวเตอร์ของคุณ

ล้างแคช DNS (Clear DNS Cache)
ล้างแคช DNS (Clear DNS Cache)

ภาพจาก https://www.technewstoday.com/your-connection-is-not-private/

เราหวังว่ามันจะช่วยคุณได้ แต่หากลองทำวิธีทั้งหมดแล้วยังไม่ได้ผล ก็อาจต้องพิจารณาว่าเว็บไซต์เหล่านั้นผิดข้อกำหนดและไม่ผ่านการตรวจสอบ "SSL Certificates" ของเว็บเบราว์เซอร์จริง ๆ ซึ่งคุณคงแก้อะไรไม่ได้

➤ Website : https://www.thaiware.com
➤ Facebook : https://www.facebook.com/thaiware
➤ Twitter : https://www.twitter.com/thaiware
➤ YouTube : https://www.youtube.com/thaiwaretv

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0