โลกรวน ใกล้ตัวแล้วหรือยัง? เต่าบินขึ้นราคาเมนูโกโก้ จากวิกฤตการณ์เมล็ดโกโก้ขาดแคลน
บริษัทเต่าบินออกแถลง ปรับราคาเมนูที่มีส่วนผสมของ “โกโก้” โดยในเนื้อหามีความว่า
“เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกพบกับวิกฤตการณ์เมล็ดโกโก้ขาดแคลนทำให้มีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น โดยระยะเวลาที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้พยายามที่ยังคงซึ่งไว้ราคาเดิมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่าน
บริษัทฯ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขอปรับราคาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโกโก้เพิ่มขึ้นเมนูละ 5 บาท โดยราคาที่ปรับขึ้นจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ ขออภัยสำหรับความไม่สะดวก และขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณลูกค้าจะให้การสนับสนุนเต่าบินต่อไป บริษัทฯ ยังคงคุณภาพ รวมถึงบริการที่ดียิ่งขึ้น”
ดังนั้นเมนูที่มีส่วนผสมของโกโก้อย่างโกโก้เย็น ราคาปัจจุบัน 35 บาท จะปรับขึ้นเป็นราคาใหม่ 40 บาท รวมถึงเมนูโกโก้อื่น ๆ ด้วย
หลายคนคงงงว่าแล้ว #โกโก้เกี่ยวยังไงกับโลกร้อน ? กรณีนี้จริง ๆ สอดคล้องกับข่าวที่เราเพิ่งลงไปเมื่อวันก่อนว่า ยุโรปอาจจะต้องเชิญกับสภาวะขาดแคลนกาแฟ โกโก้ อ้อย น้ำมันปาล์ม และถั่วเหลือง จนอาจทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้พุ่งทะยานขึ้น
ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจาก สภาพอากาศที่แปรปรวน #ฝนที่ตกหนักขึ้น อย่างในกานาและโกตดิวัวร์ที่เป็นอีกสองประเทศ ผลิตโกโก้เกือบ 60% ของโลก กำลังเผชิญกับฝนที่ตกหนัก จนทำให้เกิดน้ําท่วมและทําให้พืชผลเสียหาย ทําให้ต้นโกโก้เน่าด้วยโรคฝักดํา
รายงานจากองค์การโกโก้นานาชาติ (ICCO) คาดการณ์ว่า โกโก้จะมีปริมาณการขาดแคลนจะอยู่ที่ 374,000 ตันในฤดูกาล 2023-2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 405% จากปริมาณการขาดแคลน 74,000 ตันในฤดูกาลที่แล้ว
ปัจจุบัน กานาก็ได้ลดประมาณการการผลิตโกโก้แล้วจาก 850,000 เป็น 650,000 ตัน เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออํานวยและการลักลอบนําเข้า ผู้ผลิตช็อกโกแลตจึงกําลังพยายามซื้อโกโก้ไว้ แต่ด้วยปริมาณอุปทานที่ลดลง แต่อุปสงค์เพิ่มขึ้น ราคาโกโก้จึงสูงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องเจอกับราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโกโก้สูงขึ้น
กลุ่มสิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหากําไรกล่าวว่า โกโก้มีราคาสูงกว่าปีที่แล้วถึง 3 เท่าเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบจากสภาพอากาศของเอลนีโญ ราคาสูงไปจนถึง 8,000 ดอลลาร์ต่อตัน เทียบกับ 2,500 ดอลลาร์ในปีที่แล้วในเวลานี้
ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ประเทศผู้ผลิตโกโก้ในแอฟริกาก็เป็นประเทศที่อ่อนแอและมีความพร้อมในการปรับตัวและจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปน้อยสุด ในเวลาเดียวกัน ประเทศเหล่านี้กลับเป็นผู้ปล่อยมลพิษน้อยเป็นอันต้นต้น ๆ ด้วย
ส่วนกาแฟและพืชอื่น ๆ ก็เจอกับ #ปัญหาภัยแล้งและปรากฏการณ์คลื่นความร้อน (heat wave) ที่ทำให้พืชพรรณล้มตาย และออกดอกออกผลไม่เหมือนเดิม บราซิลและเวียดนาม ผู้ผลิตกาแฟหลักก็จะต้องเจอกับภัยสภาพภูมิอากาศที่ทำให้คุณภาพเมล็ดกาแฟลดลง
ที่มา