โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ข้ามโลกมาเป็นเซียนกระบี่ยอดนักต้มตุ๋น

นิยาย Dek-D

อัพเดต 06 เม.ย. เวลา 11.00 น. • เผยแพร่ 06 เม.ย. เวลา 11.00 น. • Kawebook
ข้ามโลกมาเป็นเซียนกระบี่ยอดนักต้มตุ๋น
‘ช่วยเหลือคนดี ตบตีคนชั่ว’ เมื่อนักต้มตุ๋นกลับใจ เลือกเดินสายเทพยุทธ์เพื่อตามหาความฝัน ทันทีที่คมเหลี่ยมคนประสานเข้ากับคมกระบี่ สารพัดกลยุทธ์สุดขี้โกงจึงถูกงัดมาใช้ เพื่อความยิ่งใหญ่ไร้เทียม

ข้อมูลเบื้องต้น

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ:Guangzhou AlibabaLiteraturelnformationTechnologYCo.,Ltd

ประพันธ์โดย:观棋

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Public Co.,LTD

บรรณาธิการ:ไพสิฐ ต่วนขำ

แปลและเรียบเรียงโดย: AradeerDashaway

พิสูจน์อักษร:จิวสา กำเนิด

“หวางเข่อ” อดีตโจรทะลุมิติสุดแสบที่เปลี่ยนมาทำมาค้าขายจนมั่งคั่ง ภายใต้คติ “ช่วยเหลือคนดี ตบตีคนชั่ว”

เมื่อความฉลาดแกมโกงมาประสมกับการค้า ทุกย่างก้าวของเถ้าแก่จึงพร้อมสรรพด้วยความร่ำรวย

แต่ถึงกระนั้น แม้เงินทองกองเท่าภูเขา แต่กลับไม่เคยลบล้างความใฝ่ฝันลึกๆ ในใจได้เลย

และแล้ว.. โอกาสดีๆ ที่จะได้ทำตามความปรารถนาก็มาเยือน..

เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจสุดโกง กระโจนลงสู่สังเวียนต้มตุ๋นอีกครั้ง

ใครเล่าจะล่วงรู้ สิ่งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานที่เล่าขาน ณ เมืองโจร

ในนามสัญลักษณ์ “การดับสูญของมารร้าย” ด้วยวิธีหลอกล่อสุดแพรวพราว

แล้วโจรชั่วใดในใต้หล้าจะร้ายไปกว่ายอดเซียน 18 มงกุฎผู้นี้ได้เล่า

ทว่า.. เหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่อ “สิ่งนั้น” ปรากฎตัวขึ้น หมายขัดขวางเขาสุดกำลัง

แล้วเช่นนี้เส้นทางเทพยุทธ์ของนักต้มตุ๋นกลับใจจะเป็นอย่างไรกันแน่ ?!

เพื่อไม่ให้พลาดทุกการอัปเดตก่อนใคร

แนะนำนิยายสนุก สุดมันส์ อยากอ่านเรื่องไหน กดที่รูปได้เลย

ตอนที่ 1 หวังเค่อ

เมืองจูเซียน ภายในห้องโถงอันใหญ่โตโอ่อ่าแห่งหนึ่ง

บรรดาเถ้าแก่ร้านค้าและสานุศิษย์ตระกูลผู้ฝึกฌานจากทั่วเมืองจูเซียนนั่งอัดกันจนเต็มขนัด ทุกคนต่างกำลังจับจ้องไปที่บุรุษในอาภรณ์ขาวสะอาดผู้หนึ่งที่กำลังเอ่ยวาจาลื่นไหลคล่องแคล่วอยู่บนเวทีสูงทางฝั่งเหนือของห้องโถง

“ข้าก็พูดไปตั้งขนาดนี้แล้ว คาดว่าทุกท่านคงจะพอเข้าใจในสิ่งที่ข้าต้องการสื่อแล้วกระมัง” บุรุษชุดขาวกวาดตามองคนทั้งห้องด้วยรอยยิ้ม

“ประมุขหวัง สิ่งที่ท่านพูดพวกเราย่อมเข้าใจ เพียงแต่ว่าก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี! ท่านเองก็มีเงินไม่ขาดมือ แล้วยังจะต้องการเงินของพวกเราไปทำอะไรอีกเล่า” ชายที่นั่งอยู่ด้านล่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“เงิน? ใครเล่าจะไม่ชอบเงินเยอะๆ ยิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งสามารถทำเรื่องสำคัญได้มากขึ้นเท่านั้น ข้าสามารถใช้เงินเชิญนักปรุงยาที่มีฝีมือมากกว่านี้มาปรุงโอสถสรรพคุณล้ำเลิศขายออกไปในราคาแพงขึ้น สามารถเชิญนักหลอมศาสตรามาหลอมสร้างอาวุธระดับสูงกว่าเดิม ในหมู่พวกท่านมีใครที่คิดว่าข้าหวังเค่อทำการค้าขาดทุนบ้าง?” บุรุษชุดขาวนามหวังเค่อยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีๆ นับแต่ที่ประมุขหวังมาถึงเมืองจูเซียน การเงินของเมืองนี้ก็ไหลสะพัดเข้าสู่ตระกูลท่านไม่ขาดสาย แล้วประมุขหวังจะทำการค้าขาดทุนได้อย่างไร” คนกลุ่มนั้นพากันหัวเราะโดยพลัน

“งั้นพวกท่านยังต้องกังวลอะไรอยู่อีกเล่า? หรือกังวลว่าข้าหวังเค่อคิดหลอกเอาเงินจากพวกท่านกัน?” หวังเค่อยิ้มถาม

“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? อย่างไรเสียตระกูลหวังของท่านก็คือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองจูเซียน มีสมบัติพัสถานมากมาย การค้าส่วนใหญ่ในเมืองจูเซียนก็มีตระกูลหวังของพวกท่านร่วมหุ้นอยู่ด้วย แล้วมีหรือจะมาสนใจเงินเล็กน้อยของพวกเรา” ชายคนเดิมหัวเราะออกมาทันที

ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องโถงก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

“ช่วงนี้สิบหมื่นมหาบรรพตเปี่ยมภยันตรายมากขึ้น การจะออกไปรวบรวมสมุนไพรหรือศิลาวิญญาณมายิ่งยากเย็นแสนเข็ญ ทุกท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้าหวังเค่อสันทัดทางด้านธุรกิจการค้า ต้องการถามหาความเห็นจากข้า ตัวข้าที่เห็นว่าเราต่างก็เป็นชาวเมืองจูเซียนไม่ต่างกันจึงได้เปิดการชุมนุมนี้ขึ้นมา ชี้แนะแนวทางให้กับพวกท่าน ทำไม? หรือพวกท่านยังมีอะไรอยากจะถามข้าอีก?” หวังเค่อนิ่วหน้าถาม

“ประมุขหวัง ที่ท่านพูดเป็นความจริงรึ? ที่ว่าขอเพียงพวกเราซื้อ ‘แผนการลงทุน’ นี้จากท่าน ในแต่ละปีพวกเราจะได้ดอกเบี้ยสองในสิบส่วน” ชายในชุดสีเทาถามขึ้นด้วยความคาดหวัง

“แน่นอน ใช่ว่าตระกูลหวังของเราทำการค้ามาแค่ปีสองปีเสียเมื่อไหร่ พวกเรามีธุรกิจใหญ่โต แถมยังลงลายลักษณ์อักษรกันเป็นที่เรียบร้อย แล้วพวกเรายังจะหลอกพวกท่านได้อีกหรือ” หวังเค่อเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

“ไม่หรอก พวกเราย่อมต้องเชื่อใจประมุขหวังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเราก็เลยตื่นเต้นกันไปหน่อย!” บุรุษชุดเทาคนเดิมหัวเราะกลบเกลื่อน

“ในเมื่อประมุขหวังรับปาก พวกเราก็ย่อมเชื่อท่าน! แม้ว่าพวกเราเองก็เป็นผู้ฝึกฌาน แต่ย่อมไม่อาจเทียบศิษย์จากตระกูลใหญ่ได้ พวกมันมีทั้งทรัพยากรกับศิลาวิญญาณนับไม่ถ้วน ส่วนพวกเราได้แต่ต้องขวนขวายกันปากกัดตีนถีบ สมุนไพรวิเศษบนสิบหมื่นมหาบรรพตมีอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่ก็ล้วนมีสัตว์อสูรเฝ้าอยู่เช่นกัน คิดถอนเขี้ยวพยัคฆ์รังแต่จะเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ สิบหมื่นมหาบรรพตอันแสนโกลาหลนี้มีแต่เรื่องฆ่าชิงวิ่งปล้นเป็นกิจวัตร แค่จะเก็บเกี่ยวทรัพยากรเล็กๆ น้อยๆ ยังต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ร่ำไป หากพลั้งเผลอแม้เพียงนิดก็อาจตายได้ทุกเมื่อ เส้นทางการฝึกตนของพวกเราลำบากยากเข็ญเกินไปแล้ว!” บุรุษชุดแดงอีกคนโอดครวญออกมา

“นั่นน่ะซี ประมุขหวังคือผู้มีจิตโอบอ้อมอารีโดยแท้ พวกเราแค่นั่งอยู่บ้านก็สามารถทำเงินให้งอกเงยออกมาได้?”

“ประมุขหวังก็พูดแล้วนี่ ว่าหากเจ้าไม่เหลียวแลเงิน เงินก็จะไม่เหลียวแลเจ้าเช่นเดียวกัน วันๆ เจ้าเอาแต่กอดถุงเงินไว้แนบอก มีแต่จะยิ่งทำให้มันลดน้อยถดถอยลงไปเปล่าๆ ยังคงเป็นประมุขหวังที่มอบเส้นทางการทำเงินนี้แก่พวกเรา!”

“มิผิด ประมุขหวัง แผนการลงทุนนี้ ข้าขอซื้อ!”

“ข้าด้วย!”

“หนึ่งปีได้ดอกเบี้ยสองในสิบส่วน? ข้ากักตนครั้งหนึ่งก็กินเวลาร่วมปีเข้าไปแล้ว แบบนี้ไม่เท่ากับว่าหากข้ากักตนหนึ่งครั้ง ศิลาวิญญาณของข้าก็จะงอกเงยขึ้นสองส่วนหรอกรึ?”

………

……

ภายในห้องดูจะมีคนที่คอยปลุกกระแสให้บรรยากาศครื้นเครง ชวนให้พวกมันทุกคนเริ่มเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทีละน้อย

“สิ่งที่ควรพูดข้าก็ล้วนพูดออกไปหมดแล้ว ใครที่อยากซื้อขอเชิญชวนพวกท่านที่โถงหน้าของตระกูลหวังเพื่อทำสัญญาซื้อขายกัน! แผนการลงทุนชุดแรกมีจำนวนจำกัด! ทุกท่าน เชิญ!” หวังเค่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง

“โถงหน้า? ที่ไหน ข้าต้องไปแลกเงินที่ไหน? ข้าให้ศิลาวิญญาณห้าสิบชั่งเลย!” บุรุษชุดเทาเจ้าเก่าเป็นคนแรกที่วิ่งนำออกไปจากห้อง

“เถ้าแก่จางรอข้าด้วยซี่ เหลือไว้ให้ข้าด้วย แผนการลงทุนมีจำกัด ท่านอย่าได้เหมาหมดเชียว!” บุรุษชุดแดงอีกท่านหนึ่งรีบร้อนตามออกไป

“เดี๋ยวก่อนๆ เหลือไว้ให้พวกเราด้วย!”

“ข้าจะซื้อให้เกลี้ยงเลยคอยดู!”

………

……

ห้องโถงที่เพิ่งจะคึกคักพลุกพล่านอยู่หลัดๆ พลันกลับกลายเป็นโล่งโจ้งในพริบตา พวกมันต่างยื้อแย่งกันไปซื้อแผนการลงทุนของตระกูลหวังกันหมด

ภายในห้องโถงใหญ่จึงเหลือเพียงหวังเค่อผู้ยิ้มกริ่มอย่างสุขอุรา รวมถึงศิษย์ในตระกูลหวังอีกกลุ่มหนึ่ง

“เห็นแล้วหรือยัง? แผนการลงทุนเขาขายกันแบบนี้ นอกจากเมืองจูเซียนแล้ว ขอให้พวกเจ้าช่วยกันไปจัดการตามเมืองเซียนอื่นๆ ด้วย!” หวังเค่อพูดจบก็รับถ้วยน้ำชาที่ลูกน้องคนหนึ่งยื่นให้ขึ้นมาจิบ

“ท่านประมุข คนกลุ่มนี้ยินยอมควักเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อกระดาษเพียงแผ่นเดียวจริงหรือ เงินก้อนนี้ไม่ได้มาง่ายเกินไปหน่อยรึ? ท่านประมุข เหตุใดพวกเราถึงไม่ใช้กลยุทธ์นี้เสียแต่เนิ่นๆ เล่า” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความพิศวง

หวังเค่อเหลือบตามองอีกฝ่าย “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ถ้าหากตระกูลหวังของเราไม่ได้ปักหลักยืนฐานในเมืองจูเซียนอย่างมั่นคง ไม่ได้สร้างสมชื่อเสียงความไว้ใจมามากพอ แล้วใครจะเชื่อถือแผนการลงทุนนี้กัน?”

“อ๋า?”

“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยอธิบายให้พวกเจ้าฟังไปแล้วรึไง? หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ข้าควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยดี การชุมนุมครั้งนี้คงล่มไม่เป็นท่าเพราะพวกเจ้าไปแล้ว!” หวังเค่อตำหนิด้วยเสียงทุ้มลึก

“เป็นพวกเราละเลยหน้าที่เอง!” เหล่าลูกน้องต่างลดหน้ายอมรับความผิดโดยปริยาย

“ช่างเถอะ ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าลองใช้แผนการลงทุนนี้เหมือนกัน สามารถได้ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว! จริงสิ เรื่องที่ข้าให้พวกเจ้าคัดเลือกคนล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” หวังเค่อมองลูกน้องคนนั้น

“ท่านประมุขวางใจได้ คนที่พวกเราเชิญมาในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพวกมีเงินแต่ไร้คุณธรรมทั้งนั้น ส่วนเหล่าสาธุชนนั้นข้าไม่ได้ให้พวกเขามาเข้าร่วมแต่แรก แถมข้ายังตั้งใจสร้างเรื่องยุ่งยากจนพวกเขาไม่อาจซื้ออะไรกลับไปได้อีกด้วย!” ลูกน้องคนนั้นตอบด้วยความเคารพ

“ดี! ข้าหวังเค่อมีแต่ทำเงินจากพวกทรชนเท่านั้น!” หวังเค่อจิบชาพลางเอ่ยด้วยความพึงพอใจ

“แต่ว่าท่านประมุข แผนการลงทุนที่ท่านว่านี้ พวกมันสามารถนำมาขึ้นเงินได้ตลอดเวลา แล้วถ้าเกิดพวกมันมาขอขึ้นเงินแล้วจะทำอย่างไร?” ลูกน้องคนนั้นเอ่ยด้วยความกังวล

“ก็ปล่อยให้พวกมันมาขึ้นเงินไป! เจ้าลืมเรื่องการ ‘สร้างภาพลักษณ์’ ของตระกูลหวังในเมืองจูเซียนไปแล้วรึไง? ความมีหน้ามีตา ในเมืองจูเซียนนี้ พวกเราก็คือความมีหน้ามีตาอย่างไรเล่า!” หวังเค่อกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“อ๋า? เงินที่อุตส่าห์ใช้ความสามารถฉ้อฉลมา สุดท้ายก็ยังต้องคืนกลับให้พวกมันไปหรือขอรับ?”

“ฮึ่ม หากไม่คืนพวกมัน แล้วพวกมันจะไปเอาเงินจำนวนมากกว่าเดิมเพื่อมาซื้อแผนการลงทุนของพวกเราได้ยังไง?” หวังเค่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“เอ๋? อ๊ะ!”

“รอจนหิมะปกคลุมศิลาวิญญาณเมืองจูเซียน พวกเราตระกูลหวังจะไปจากที่นี่กันทันที!” หวังเค่อสูดลมหายใจลึกพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจัง

“ไปจากเมืองจูเซียน? งั้นก็น่าเสียดายแย่เลยสิขอรับ พวกเราเริ่มกิจการกันมาสิบปีแล้วแท้ๆ!”

“ผลตอบแทนก้อนโตย่อมต้องแลกมาซึ่งความเสี่ยงมหาศาล! ตอนนี้พวกเราต้องการศิลาวิญญาณเป็นการด่วน เมื่อหิมะครั้งนี้มาเยือนย่อมมีศิลาวิญญาณมากพอจะอุดช่องโหว่ของพวกเราได้” หวังเค่อเอ่ย

“ท่านประมุข ท่านเองก็เก่งกล้ามากฝีมือ ท่านไม่มีวิธีที่จะทำให้พวกเราอยู่ต่อได้เลยหรือ? หากจากไปเช่นนี้คงน่าเสียดายแย่!” ลูกน้องคนนั้นยังคงอาลัยอาวรณ์ไม่หาย

“มีอยู่ เปิดธนาคาร ขายประกัน!” หวังเค่อสูดลมหายใจลึก

“อ๋า? ธนาคาร? ประกัน? มันคืออะไรหรือขอรับ?” ลูกน้องคนนั้นถามด้วยสีหน้าเหลอหลา

หวังเค่อถอนหายใจบาง “ช่างเถอะ ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น หากไม่มีคนหนุนหลังที่แกร่งพอ อาศัยพวกเราในตอนนี้ก็รังแต่จะถูกผู้อื่นเอาเปรียบ! ทั้งธนาคาร ทั้งประกัน ไว้เวลาสุกงอมเมื่อไหร่ข้าค่อยสอนพวกเจ้าแล้วกัน หน้าที่ของพวกเจ้าตอนนี้คือขายแผนการลงทุนให้ได้มากๆ ชะล้างพวกที่ได้เงินมาในทางที่ไม่ชอบ แล้วเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพวกเราเอง! เรื่องในอนาคตก็ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง!”

“ทราบ!” เหล่าลูกน้องขานรับ

“เมืองจูเซียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จากนี้เมืองเซียนอื่นๆ ต้องฝากไว้ในมือพวกเจ้าแล้ว!” หวังเค่อมองตรงไปที่เหล่าลูกน้องตรงหน้าพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

“ท่านประมุขวางใจได้เลย!” เหล่าลูกน้องตอบรับด้วยความเทิดทูน

“อืม! ไปได้!” เมื่อนั้นหวังเค่อถึงค่อยเอนหลังได้อย่างวางใจ

“ทราบ!” ลูกน้องกลุ่มนั้นตอบรับก่อนถอนตัวจากไป

แต่ในตอนนั้นเองลูกน้องอีกคนหนึ่งก็ผลุนผลันเข้ามาในห้อง

“ท่านประมุข ด้านนอกมีชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นสหายซี้ปึ้กของท่าน บอกว่าต้องการเข้าพบท่านขอรับ!” ลูกน้องคนนั้นเอ่ยด้วยความเคารพ

“ข้าไปมีสหายซี้ปึ้กตั้งแต่เมื่อไหร่? มันหน้าตายังไง?” หวังเค่อเลิกคิ้วสูง เผยสีหน้ากังขาชัดเจน

“หน้าตารึ? มันค่อนข้างเจ้าเนื้อ สวมชุดนักพรตสีดำตลอดศก ในมือถือพัดอันหนึ่ง แต่สีหน้าสีตาของมันออกจะ…ออกจะ…” ชายคนนั้นไม่รู้ว่าจะพรรณนาออกมาอย่างไรดี

แต่หวังเค่อดูคล้ายจะเดาได้แล้วว่าผู้มาเป็นใคร ทันใดนั้นสีหน้าชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป “หน้าตามันชั่วร้ายมากใช่หรือไม่”

“อ๊ะ ใช่ขอรับ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นอยู่จริงๆ!” ลูกน้องคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าแปลกพิกล

อย่างไรก็ตามหวังเค่อกลับหน้าดำทะมึน ผุดลุกขึ้นทันควัน “ไอ้คนไร้ยางอาย มันหาที่นี่เจอได้ยังไงกัน”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหวังเค่อดี มันก็เห็นบุรุษเจ้าเนื้อในชุดดำพรวดพราดเข้ามาแล้ว

“โอ้ พี่หวัง ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องอยู่ที่นี่ ข้าตามหาท่านซะแทบแย่แหน่ะ!” บุรุษชุดดำเอ่ยปากทักทายหวังเค่ออย่างกระตือรือร้น

ศิษย์ตระกูลหวังสองคนที่อยู่ด้านหลังพุ่งตัวตามมาโดยพลัน สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น “ท่านประมุข พะ พวกเราห้ามมันไม่อยู่!”

แต่หวังเค่อดูจะคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มโบกมือ “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ออกไปก่อน!”

“ทราบ!” ศิษย์ตระกูลหวังถอนตัวออกจากห้องโถงใหญ่ด้วยสีหน้างุนงง

“พี่หวัง ตอนนี้ท่านใช้ชีวิตอย่างสุขสบายดีเหลือเกิน อาศัยอยู่ที่นี่คงจะปลอดโปร่งสบายอุราไม่น้อยเลยกระมัง ครั้งก่อนที่ท่านย้ายสำมะโนครัว ไฉนจึงไม่บอกกล่าวข้าบ้างเลยสักคำ ลำบากข้าต้องพลิกแผ่นดินหาท่านอยู่นานตั้งสิบปี!” บุรุษชุดดำแม้จะพูดเช่นนั้นแต่ก็ยิ้มกว้างขยับเข้ามาใกล้

หวังเค่อมองดูบุรุษชุดดำตรงหน้าแล้วสีหน้าก็ต้องหม่นลง “จางเจิ้งเต้า เจ้ามีจมูกสุนัขรึยังไง! ข้าอุตส่าห์หนีมาขนาดนี้แล้วแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงยังหาข้าเจออีก”

“พี่หวัง เหตุใดทุกครั้งที่เราเจอกันท่านต้องดุดันกับข้าเรื่อยเลยเล่า? ท่านคงจะไม่รู้ แต่ตลอดสิบปีที่ไม่มีท่าน ทุกวันข้าล้วนกินไม่ได้นอนไม่หลับ คอยแต่จะคิดถึงท่านอยู่ตลอดเวลา!” จางเจิ้งเต้าย่างสามขุมเข้าหาด้วยรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ

“ไสหัวไปเลย เจ้ายังสร้างความวอดวายให้ข้าไม่พออีกหรือ? ความอับโชคจากเรื่องครั้งก่อนยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ ส่วนเจ้ากลับหนีเอาตัวรอดไวปานลมกรด!” หวังเค่อถลึงตาใส่

“ครั้งก่อน? เรื่องครั้งก่อนจะมาโทษข้าไม่ได้นะ พวกเราสองคนไปขุดสุสานบรรพชนของราชาปีศาจ เดิมทีก็เป็นเรื่องอัปมงคลอยู่แล้ว หากจะเกิดโชคร้ายอะไรตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ท่านเองก็ได้ประโยชน์ไปไม่น้อยไม่ใช่รึไง” จางเจิ้งเต้าจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

“ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเจ้าไม่ตรวจสอบข้อมูลมาให้ดีก่อนรึ!” หวังเค่อตาแทบถลนออกจากเบ้า

“นะ นี่จะมาโทษข้าไม่ได้! ข้าเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน! ข้าสิ้นเปลืองของวิเศษกับศิลาวิญญาณไปตั้งมากมาย สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลยสักอย่าง ท่านคงจะไม่รู้ แต่ตลอดสิบปีที่ไม่มีท่านอยู่ด้วย ข้าไม่กล้าออกไปใส่ความรับบทเป็นเหยื่อเรียกค่าเสียหายเลยสักครั้ง! พี่หวัง ท่านคือผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศ แต่ทุกวันนี้ท่านกลับเอาแต่อยู่เหย้าเฝ้าเมืองจูเซียนอันกระจ้อยร่อยนี่มันใช้ได้ที่ไหน เอาเป็นว่าพวกเราออกไปก่อกวนเรื่องราวกันอีกครั้งดีหรือไม่?” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย

“เจ้าจะให้ข้าไปช่วยเจ้าเลือกเหยื่อมาใส่ความอีกอย่างนั้นรึ”

“ใส่คงใส่ความอันใด พวกเรากำลังปล้นคนรวยประทังชีพคนจนกันอยู่ต่างหาก ดูสิ ข้ายากจนข้นแค้นขนาดไหน! วันๆ ท่านเองก็เอาแต่พร่ำบ่นว่าจนๆๆ พวกเราต่างก็จนกรอบกันขนาดนี้ เพราะงั้นก็ต้องเอาเงินจากพวกใจดำขูดรีดประชาชนมาแจกจ่ายทำการกุศลจึงจะถูกต้อง! ตัวท่านเฉียบแหลมชาญฉลาด ตัวข้าหน้าหนาไร้ยางอาย หากเราสองคนร่วมมือกัน ใต้หล้าใครเล่าจะสู้ได้!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าแววตาแสนภาคภูมิ

หวังเค่อหรี่ตามองเจ้าคนหน้าหนาไร้ยางอายตรงหน้าโดยไม่ขยับ

ตอนที่ 2 ข้าคือคนลวงโลกรึไง

การที่สามารถทำตัว ‘หน้าหนาไร้ยางอาย’ ได้อย่างภาคภูมิใจ กระทั่งออกลวดลายได้สมบทบาทขนาดนี้ ในหมู่คนที่หวังเค่อรู้จักเห็นทีจะมีแต่จางเจิ้งเต้าผู้นี้นี่แหละที่ทำได้!

“พี่หวัง ตอนนี้ข้ามีงานใหญ่มาให้ท่าน เห็นแก่มิตรภาพตลอดหลายปีของพวกเรา ข้าเลยมาที่นี่เพื่อให้พวกเราได้ร่ำรวยอู้ฟู่ไปด้วยกัน!” จางเจิ้งเต้าจ้องหวังเค่อด้วยแววตาคาดหวัง

หวังเค่อหรี่ตาพินิจพิเคราะห์จางเจิ้งเต้า ตอนนี้แผนการลงทุนเพื่อชะล้างเมืองจูเซียนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ จำต้องรอให้ตนเข้ากำกับดูแลสถานการณ์โดยรวม แล้วจะมีเวลาไปหาลู่ทางทำเงินอื่นได้อย่างไร?

“งานสำคัญ? งานสำคัญที่ว่าคืนกำไรให้ข้าได้เท่าไหร่? ไหนลองว่ามา!” หวังเค่อพลันเปิดปาก

“เงินรึ? ไม่ได้หรอก!” จางเจิ้งเต้าโบกมือโดยไม่ต้องคิด

“ไม่ได้? แต่เจ้าก็ยังมาหาข้าเนี่ยนะ?” หวังเค่อจ้องอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ท่านก็รู้นี่ว่าข้ามีเท่าไหร่ก็ใช้ไปเท่านั้น แล้วข้าจะมีเงินเหลือได้ยังไงกัน!” จางเจิ้งเต้าตอบรับทันควัน

หวังเค่อหน้าแข็งกระด้าง “ค่อยๆ กลับล่ะ ไม่ขอส่ง!”

“อย่าเพิ่งๆๆ! ท่านฟังข้าก่อน แม้ว่าข้าจะไม่มีเงิน แต่เรื่องที่ท่านครุ่นคิดถวิลหามาโดยตลอด เรื่องนั้นน่ะกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว!” จางเจิ้งเต้ารีบเอ่ย

“เรื่องที่ข้าครุ่นคิดถวิลหา?” หวังเค่อเอ่ยด้วยความกังขา

“ไม่ใช่ว่าท่านกำลังตามหายักษ์ใหญ่มาหนุนหลังอยู่หรอกหรือ ก็ที่ท่านเคยพูดถึงเมื่อครั้งก่อน…นั่นน่ะ…!” จางเจิ้งเต้าพูดพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า

หวังเค่อรูม่านตาหดวูบในบัดดล แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นพลางส่งยิ้มกว้าง “พี่จาง มาๆๆ นั่งก่อน นั่งก่อน! ฮ่าๆ วันนี้เป็นวันดี ไหนท่านลองบอกข้ามาซิว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่!”

ระหว่างที่คุยกันหวังเค่อก็ส่งถ้วยชาที่ลูกน้องเพิ่งยื่นให้ส่งต่อกับจางเจิ้งเต้า

จางเจิ้งเต้าเองก็รับถ้วยชาที่เหลือแต่เศษใบชาติดก้นถ้วยมาอย่างนอบน้อม

“ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘รางวัลนำจับพรรคอีกาทองคำ’ มาบ้างหรือไม่?” จางเจิ้งเต้าถาม

“รางวัลนำจับที่ ‘พรรคอีกาทองคำ’ เป็นผู้ออก ระบุว่าใครก็ตามที่จับตัวองค์หญิงโยวเยว่มาได้มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์พรรคอีกาทองคำเป็นจำนวนถึงห้าคนด้วยกัน” หวังเค่อว่า

“ใช่ รางวัลนำจับที่พรรคอีกาทองคำเป็นผู้ออกนี่แหละ! ที่ว่างห้าตำแหน่งที่จะได้ฝากตัวเป็นศิษย์เชียวนะ! พรรคอีกาทองคำเป็นถึงพรรคระดับแถวหน้าของสิบหมื่นมหาบรรพต นี่คือรางวัลนำจับของพรรคชั้นนำ! แถมตอนนี้ทุกที่ทางตลอดสิบหมื่นมหาบรรพตต่างก็เดือดระอุกันไปทั่ว ท่านไม่ทราบเลยรึ? ท่านไม่เคยคิดจะไปจับตัวองค์หญิงโยวเยว่เพื่อขึ้นรางวัลบ้างหรือไร?” จางเจิ้งเต้าจับจ้องหวังเค่อขณะถาม

สีหน้าของหวังเค่อหม่นลง “คนที่พรรคอีกาทองคำจับไม่ได้ เจ้าจะให้ข้าไปจับเนี่ยนะ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันหนึ่งข้าทำเงินได้มากน้อยขนาดไหน? ข้าไหนเลยจะมีเวลามาทำเรื่องเสียเปล่าได้? อีกอย่าง ข้างกายองค์หญิงโยวเยว่นั่นจะมียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ ไหนจะองครักษ์อีก เจ้าสืบข้อมูลมาดีแล้วรึยัง? สิบหมื่นมหาบรรพตกว้างใหญ่ไพศาลเพียงไหน นี่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร เต็มไปด้วยเรื่องไม่แน่นอนทั้งนั้น! ถ้าหากว่านี่คืองานใหญ่ที่เจ้าพูดถึงล่ะก็ งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรกันต่อแล้ว! ศึกวิวาทของเทพเซียน ข้าไม่อยากเอาตัวเข้าไปยุ่งด้วยหรอก!”

“ไม่เอาน่า! ข้าไม่ได้จะให้ท่านไปจับตัวองค์หญิงโยวเยว่เสียหน่อย แต่ข้าจะให้ท่านไปช่วยนางต่างหาก!” จางเจิ้งเต้ารีบกล่าวอย่างกระตือรือร้น

หวังเค่อมองจางเจิ้งเต้าเหมือนมองคนเสียสติ เจ้าบ้าไปแล้วรึ? จะให้ข้าไปเป็นศัตรูกับสำนักเซียน? แถมยังเป็นสำนักเซียนที่แข็งแกร่งอย่างพรรคอีกาทองคำอีก?

“อันที่จริง เมื่อวานนี้องค์หญิงโยวเยว่ถูกคนจับตัวไปแล้ว!” จางเจิ้งเต้าอธิบาย

“ถูกจับไปแล้ว?” หวังเค่ออุทานอย่างคาดไม่ถึง

“ใช่ ประมุขตระกูลเนี่ยแห่งเมืองจูเซียนที่ท่านกำลังพำนักอยู่เป็นคนจับนางได้ ตอนนี้นางก็คงจะถูกขังอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในตระกูลเนี่ยนั่นแหละ ตระกูลเนี่ยได้ส่งคนไปรายงานต่อพรรคอีกาทองคำเพื่อเตรียมตัวรับรางวัลแล้ว คาดว่าอีกแค่ครึ่งเดือนพรรคอีกาทองคำก็คงจะมารับตัวองค์หญิงโยวเยว่ไป! และก็เพราะเรื่องนี้ข้าถึงได้มาที่เมืองจูเซียน ไปๆ มาๆ ก็ได้รู้ว่าท่านอาศัยอยู่ที่นี่เข้าโดยบังเอิญ นับว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ! พี่หวัง ครั้งนี้ท่านจะต้องช่วยข้าช่วยองค์หญิงโยวเยว่ให้ได้! เพ้ย! ไม่สิ เราสองคนต้องทำเรื่องนี้ไปด้วยกัน!” จางเจิ้งเต้าทำสายตาคาดหวัง

หวังเค่อหรี่ตามองจางเจิ้งเต้า “จางเจิ้งเต้า เจ้าคงคิดช่วยองค์หญิงโยวเยว่ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยฉุดข้าลงน้ำคลำล่ะสิท่า?”

“อ๋า? จะเป็นเช่นนั้นไปได้ยังไง!” จางเจิ้งเต้าละล่ำละลัก

“ที่เจ้ากำลังจะทำคือการถอนเขี้ยวพยัคฆ์ ตอแยพรรคอีกาทองคำ! แต่ข้านั้นไม่กล้า ข้ายังต้องอยู่ที่สิบหมื่นมหาบรรพตนี้ไปอีกนาน หากล่วงเกินพรรคอีกาทองคำขึ้นมา ข้าอย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเลย!” หวังเค่อส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน

“ไม่เอาน่า พี่หวัง ไม่ใช่ว่าท่านอยากฝากตัวเข้าเป็นศิษย์กับพรรคเทพหมาป่าสวรรค์มาโดยตลอดหรอกหรือ? พรรคเทพหมาป่าสวรรค์เองก็เป็นสำนักเซียนชั้นแนวหน้าของสิบหมื่นมหาบรรพตไม่ต่างกัน! ขอเพียงท่านช่วยองค์หญิงโยวเยว่และพานางไปที่พรรคเทพหมาป่าสวรรค์ได้ พรรคเทพหมาป่าสวรรค์จะต้องรับท่านเข้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน! ข้ารับรองได้! เช่นนี้ท่านเองก็จะได้สมดั่งใจปรารถนา!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

หวังเค่อทำหน้าไม่เชื่อถือ

“พรรคเทพหมาป่าสวรรค์จะซาบซึ้งที่ข้านำตัวองค์หญิงโยวเยว่ไปให้ จากนั้นก็จะรับข้าเข้าเป็นศิษย์เนี่ยนะ?” หวังเค่อถามจางเจิ้งเต้า

“มิผิด มิผิด!” จางเจิ้งเต้าพยักหน้าระรัว

“ถุ้ย!” หวังเค่อถ่มน้ำลายอย่างดูถูก

“อะไรกัน? ท่านไม่เชื่อข้า?”

“เหลวไหล หากพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ให้ความสำคัญกับองค์หญิงโยวเยว่ผู้นี้จริง แล้วทำไมถึงปล่อยให้พรรคอีกาทองคำออกรางวัลนำจับนางได้? เจ้ากำลังดูถูกสติปัญญาของข้าอยู่รึยังไง?” หวังเค่อถามอย่างดูแคลน

“นี่เป็นความจริง ที่จริงแล้วองค์หญิงโยวเยว่ยังมีอีกฐานะหนึ่ง ทุกวันนี้ยังคงไม่มีใครทราบ มีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้! รอจนช่วยคุ้มครององค์หญิงโยวเยว่พานางกลับไปถึงพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ได้ก็จะสามารถยืนยันอีกหนึ่งฐานะของนางได้ ต่อจากนั้นพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ก็จะคุ้มครองนางเอง แต่ตอนนี้เวลาไม่คอยท่า ต่อให้ข้าไปขอกำลังเสริมมาจากพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ก็จะสายเกินไป มีแต่ต้องรบกวนท่านเท่านั้น!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยความร้อนใจ

แม้ภายนอกหวังเค่อจะไม่อยากเชื่อ แต่ภายในใจกลับหวั่นไหวอย่างแรง เพราะพรรคเทพหมาป่าสวรรค์มีของที่มันต้องการเป็นการด่วนอยู่ และหวังเค่อเองก็อยากฝากตัวเข้าเป็นศิษย์กับพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ด้วยเช่นกัน เมื่อจางเจิ้งเต้าเอ่ยถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา แล้วจะให้หวังเค่อนิ่งเฉยได้อย่างไร? ชายหนุ่มเพียงแค่กังวลว่าจางเจิ้งเต้าใช่กำลังล่อหลอกตนอยู่หรือไม่เท่านั้น

“พี่หวัง นี่ท่านยังไม่เชื่ออีกรึ? เอาเป็นว่าข้ายอมสาบานสาปแช่งตัวเองเลยเป็นไง?” จางเจิ้งเต้ายังคงร้อนใจไม่หาย

“ไม่จำเป็น ข้าไม่เคยเชื่อในคำสาบาน! ถ้าเกิดว่าคำสาบานมีผลจริง กากเดนพวกนั้นก็คงถูกฟ้าผ่าตายไปไม่รู้กี่ครั้งไปตั้งนานแล้ว!” หวังเค่อส่ายหน้า

“งั้นข้าต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมเชื่อ?” จางเจิ้งเต้าถาม

“ก็แค่เอาของรักของหวงที่สุดของเจ้ามาให้ข้า ถ้าเกิดว่าเจ้าหลอกข้าละก็! ข้าจะได้ทำลายมันซะ!” หวังเค่อเอ่ยเสียงเหี้ยม

“หวังเค่อ เจ้าต้องทำตัวโหดเหี้ยมขนาดนี้ด้วยรึ? ข้าคือทายาทเพียงคนเดียวตลอดเก้าชั่วโคตร ทั้งยังไม่เคยได้มีทายาทเอาไว้ให้สืบสกุล แต่เจ้ากลับคิดอยากทำลายตระกูลข้า?” จางเจิ้งเต้าพูดแล้วก็ใช้มือปิดอวัยวะส่วนล่างพลางกระถดหนีด้วยความผวา

หวังเค่อ “…”

“พัดในมือเจ้าไม่ใช่ของรักของหวงของเจ้ารึ? ครั้งก่อนเพื่อที่จะได้พัดอันนี้มา แม้แต่ชีวิตตัวเองเจ้าก็ไม่สน เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าพัดอันนี้คือของรักของหวงน่ะ!” หวังเค่อกล่าวด้วยใบหน้ามืดทึม

“ท่านก็พูดแต่เนิ่นๆ ซี่! ทำเอาข้ากลัวแทบตาย! แต่ว่าพัดในมือข้า พัดของข้า…!” จางเจิ้งเต้ามองพัดสีดำในมืออย่างหวงแหน

พัดอันนี้เป็นสีดำสนิท ต่อให้กางออกก็ยังถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำอยู่ชั้นหนึ่ง มองไม่ออกว่าเป็นของแบบไหนกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นจางเจิ้งเต้าก็ยังกำพัดเอาไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์

หวังเค่อแบมือรอ “หากเจ้าไม่ได้หลอกข้า ถึงตอนนั้นข้าค่อยคืนให้!”

จางเจิ้งเต้ามองพัดในมืออย่างแสนอาลัย แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า “ก็ได้ แต่ท่านอย่าทำหายเชียวล่ะ!”

“วางใจเถอะ!” หวังเค่อรับพัดมาก่อนที่จะเก็บมันไว้ในชายแขนเสื้อ

หวังเค่อในตอนนี้กำลังตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเพราะพัดอันนี้ แต่เป็นเพราะคำพูดก่อนหน้าของจางเจิ้งเต้าต่างหาก ตราบใดที่มันช่วยองค์หญิงโยวเยว่ได้ก็จะสามารถเข้าร่วมพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ได้สินะ? นั่นคือความปรารถนาตลอดสิบปีของมันเชียว มีแต่การได้เข้าร่วมกับพรรคเทพหมาป่าสวรรค์เท่านั้นมันถึงจะจัดการกับโชคร้ายที่เกาะติดอยู่ได้

“เอาละ ข้ายอมเชื่อคำพูดเจ้าแล้ว ทีนี้ก็บอกรายละเอียดสถานการณ์ขององค์หญิงโยวเยว่มาให้ข้า! เจ้าไปหาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน? แล้วก็ รางวัลนำจับที่พรรคอีกาทองคำเป็นผู้ออกมีภาพเหมือนของนางอยู่เสียที่ไหนกัน! แล้วตระกูลเนี่ยยืนยันตัวตนนางได้ยังไง” หวังเค่อจ้องตาจางเจิ้งเต้าขณะถาม

“ข้ารู้มาว่าองค์หญิงโยวเยว่หนีไปที่สิบหมื่นมหาบรรพต ข้าจึงไล่ตามไป ไม่กี่วันก่อนข้าพบร่องรอยการต่อสู้ครั้งล่าสุดบนหุบเขาแห่งหนึ่ง ข้าจึงตามรอยพวกนั้นมาจนถึงเมืองจูเซียน และก็จับตัวศิษย์ตระกูลเนี่ยที่กำลังมุ่งหน้าไปรายงานต่อพรรคอีกาทองคำได้พอดี จากปากคำของมันข้าจึงรู้ว่าเดิมทีตระกูลเนี่ยเองก็ไม่อาจยืนยันตัวตนขององค์หญิงได้ แต่เป็นเพราะว่าหนึ่งในคนติดตามขององค์หญิงพลั้งเผลอหลุดปากออกมา ประมุขตระกูลเนี่ยเมื่อรู้ข่าวก็วางอุบายทันที ก่อนอื่นมันหลอกให้พวกองค์หญิงตายใจ จากนั้นค่อยวางยาพิษ ปิดท้ายด้วยการฆ่าคนรับใช้ขององค์หญิงไปสองคนจนสามารถจับกุมนางมาได้ในที่สุด! ตอนนี้พวกมันกำลังรอรับรางวัลจากพรรคอีกาทองคำกันอยู่! แม้ว่าข้าจะสกัดหนึ่งในศิษย์ตระกูลเนี่ยไว้ได้ก็จริง แต่ก็ยังมีศิษย์ตระกูลเนี่ยอีกสามคนที่มุ่งตรงไปยังพรรคอีกาทองคำจากอีกสามเส้นทางต่างกัน อย่างมากอีกเพียงครึ่งเดือนคนของพรรคอีกาทองคำก็จะมาถึงแล้ว!” น้ำเสียงของจางเจิ้งเต้าร้อนรนเป็นกังวลยิ่ง

“ตระกูลเนี่ย? นั่นเป็นถึงตระกูลผู้ฝึกฌานลำดับหนึ่งของเมืองจูเซียนเลยนะ! ประมุขตระกูลเนี่ยเทียนป้าก็คือจิ้งจอกเฒ่าแสนเจ้าเล่ห์! การจะชิงตัวองค์หญิงมาจากเงื้อมมือของมันเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด!” หวังเค่อนิ่วหน้ากล่าว

“คนอื่นอาจทำไม่ได้ แต่ท่านต้องทำได้อย่างแน่นอน!” จางเจิ้งเต้ารีบเอ่ย

หวังเค่อหน้าดำ “แม้ว่าตระกูลหวังจะตั้งรกรากอยู่ที่เมืองจูเซียนมาได้สิบปี แต่ก็แค่วางรากฐานทางการค้าไว้เท่านั้น คนที่ต่อยตีเก่งที่สุดในตระกูลก็คือตัวข้าที่อยู่แค่ขอบเขตเซียนเทียนธรรมดาๆ เท่านั้น! แต่ตระกูลเนี่ยมีผู้บรรลุขอบเขตเซียนเทียนนับสิบ เมื่อสามสิบปีก่อนเนี่ยเทียนป้าเองก็บรรลุขอบเขตเซียนเทียนขั้นสูงสุดแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยิ่งทรงพลังขนาดไหน! แต่เจ้าจะให้ข้าไปชิงตัวคนมาจากมันเนี่ยนะ?”

“เช่นนั้นแล้วท่านช่วยข้าตามหาสถานที่ที่องค์หญิงโยวเยว่ถูกขังเอาไว้ได้หรือเปล่าล่ะ? ข้าจะขุดอุโมงค์แอบพานางออกมาเอง!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยอย่างหมายมาด

“ข้าก็บอกเจ้าแล้วไงว่าเนี่ยเทียนป้าผู้นั้นเป็นจิ้งจอกเฒ่ามากเล่ห์ ก่อนที่จะได้พบศิษย์จากพรรคอีกาทองคำมีหรือจะยอมแพร่งพรายพิกัดที่ซ่อนตัวขององค์หญิง? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้ากลับไม่เคยได้ยินผ่านหูมาเลยสักครั้ง เห็นได้ชัดว่าเนี่ยเทียนป้าเหยียบเรื่องนี้ไว้จนมิดชนิดที่ว่าไม่ได้บอกใครเลยสักคน! อีกฝ่ายตั้งใจจะรับรางวัลอย่างเงียบๆ!” หวังเค่อหรี่ตาคาดการณ์

“จริงแท้ คนที่ไปรายงานข่าวต่อพรรคอีกาทองคำที่ข้าจับตัวมาได้เรียกได้ว่าเป็นคนสนิทของเนี่ยเทียนป้า แต่ถึงอย่างนั้นมันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าองค์หญิงโยวเยว่ถูกขังอยู่ที่ไหน!” หวังเค่อเอ่ยด้วยสีหน้าวิตก

“เนี่ยเทียนป้าจะต้องซ่อนตัวองค์หญิงโยวเยว่ไว้เป็นอย่างดีแน่ มันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องทำนองหากไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยวอยู่แล้ว![1]คิดจะแย่งตัวองค์หญิงโยวเยว่มาจากเงื้อมมือมัน ยาก!” หวังเค่อหรี่ตากล่าว

“งั้นจะทำยังไงกันดี? ของรักของข้าก็ยกให้ท่านไปแล้ว ท่านจะทำเหมือนว่าเห็นคนตายแล้วไม่ยอมช่วยไม่ได้นะ! หากองค์หญิงโยวเยว่ตายไปละก็ เบื้องบนจะต้องเอาชีวิตข้าแน่! พี่หวัง เห็นแก่มิตรภาพที่เราร่วมขุดสุสานบรรพชนราชาปีศาจมาด้วยกันกับผลประโยชน์ที่ท่านได้ไปมากมาย ท่านจะต้องช่วยข้านะ!” จางเจิ้งเต้าพุ่งตัวเข้ามากะทันหัน

แต่หวังเค่อก็หลบใบหน้าเปื้อนน้ำหูน้ำตาของจางเจิ้งเต้าได้ทันท่วงที

“ไม่ต้องแตกตื่นไป ขอเวลาข้าคิด ขอเวลาข้าคิดก่อน!” หวังเค่อขมวดคิ้วครุ่นคิด

จางเจิ้งเต้าที่อยู่ด้านข้างไม่กระดิกตัว รอให้หวังเค่อคิดหาทาง

จางเจิ้งเต้าต้องการช่วยองค์หญิงโยวเยว่ หวังเค่อในตอนนี้เองก็ต้องการช่วยนางด้วยเช่นกัน เพราะว่านั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้มันได้เข้าร่วมกับพรรคเทพหมาป่าสวรรค์

ภายในตำหนักใหญ่ หวังเค่อเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น ขณะกำลังเค้นสมองขบคิดจู่ๆ ดวงตาของมันก็ลุกวาว

“พี่หวัง ท่านหาทางชิงตัวองค์หญิงโยวเยว่มาจากมือเนี่ยเทียนป้าได้แล้วหรือ?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างมีหวัง

แต่หวังเค่อกลับส่ายหน้า “ชิงตัว? ชิงได้ที่ไหนกันเล่า! แต่ว่าข้ายังสามารถแปลงโฉมองค์หญิงโยวเยว่ได้อยู่ไม่ใช่รึไง!”

“แปลงโฉม? ท่านคงไม่ได้คิดหาคนมาเล่นละครเป็นองค์หญิงโยวเยว่ จากนั้นก็หลอกพรรคเทพหมาป่าสวรรค์ว่านี่คือนางหรอกกระมัง?” จางเจิ้งเต้าถามด้วยสีหน้าเหม่อลอย

“ในสายตาของเจ้า เห็นข้าเป็นจอมลวงโลกรึยังไง?” หวังเค่อถามด้วยใบหน้าดำทะมึน

จางเจิ้งเต้าที่ยังคงเหม่อลอยเริ่มมีความแน่วแน่สอดแทรกเข้ามา จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ

หวังเค่อ “…”

[1] หมายถึง ลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น

ตอนที่ 3 ปลอมเป็นจริง

วันที่สอง ตระกูลหวัง บริเวณปากทางเข้าออกโถงใหญ่

“ถ่ายทอดคำสั่งออกไปให้ยุติการขายแผนการลงทุนของแต่ละเมืองเซียนไว้แต่เพียงเท่านี้! เอาแค่เมืองจูเซียนเพียงแห่งเดียวก็พอแล้ว!” หวังเค่อออกคำสั่งต่อลูกน้องของตนเอง

“ท่านประมุข พวกเราวางแผนกันมานานขนาดนี้ นี่ก็ถึงเวลาเก็บเงินแล้ว หากไม่ยอมเก็บตอนนี้ เท่ากับว่าต้องเสียเปล่าเลยนะขอรับ!” ลูกน้องคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ไม่ต้องห่วง หากแผนการในครั้งนี้สำเร็จ ข้าจะได้ฝากตัวเข้าเป็นศิษย์พรรคเทพหมาป่าสวรรค์ มีพรรคเทพหมาป่าสวรรค์คอยหนุนหลัง ถึงตอนนั้นแผนการลงทุนจะนับเป็นอย่างไรได้อีก? แนวทางเศรษฐกิจที่ไม่ยั่งยืนแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้ามุ่งหวัง! ตอนนี้พวกเจ้าแค่ต้องทุ่มเทจัดการเรื่องภายในเมืองจูเซียนก็พอ! ศึกนี้พวกเราต้องชนะ!” หวังเค่อเอ่ยเสียงจริงจัง

“ทราบ!” ลูกน้องกล่าวรับคำด้วยความยำเกรง

คล้อยหลังลูกน้องรายนั้น จางเจิ้งเต้าก็โผล่เข้ามาทักทาย

“พี่หวัง ข้ารอท่านอยู่ที่จวนมาหนึ่งคืนเต็ม ท่านวางแผนไว้ดีแล้วรึยัง?” จางเจิ้งเต้าถูมือถาม

ในที่สุดเมื่อวานนี้หวังเค่อก็ยอมตกปากรับคำช่วยองค์หญิงโยวเยว่ สร้างความตื่นเต้นยินดีแก่จางเจิ้งเต้าอยู่นานสองนาน แต่เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว จางเจิ้งเต้าจึงอดกระวนกระวายไม่ได้

“ข้าเตรียมการใกล้จะเสร็จทุกอย่างแล้ว มา มาดูนี่!” หวังเค่อยิ้มกล่าว

“อ้อ?” จางเจิ้งเต้าตาลุกวาว เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง

เมื่อเข้ามาจึงเห็นว่ามีสตรีสองนางยืนอยู่ที่นั่น ทั้งสองต่างก็หันหลังให้กับพวกมัน

“พี่หวัง ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะแอบซ่อนสาวงามเอาไว้อย่างนี้! ฮ่าๆ!” จางเจิ้งเต้าได้ทีก็แซวหวังเค่อ

“พูดอะไรของเจ้า? พวกนางต่างก็เป็นญาติผู้พี่ของข้า ข้าเร่งให้คนไปพาตัวพวกนางมาเมื่อคืนนี้เอง! คิดจะช่วยองค์หญิงโยวเยว่ มีแต่ต้องพึ่งพวกนางเท่านั้น!” หวังเค่อสูดลมหายใจลึกพลางเอ่ยอย่างตั้งตาคอย

“พวกนาง? ช่วยองค์หญิงโยวเยว่? อย่าบอกนะว่าท่านตั้งใจจะใช้อุบายสาวงาม? ยั่วยวนเนี่ยเทียนป้าให้ปล่อยตัวองค์หญิงโยวเยว่? แต่ข้าได้ยินมาว่าเนี่ยเทียนป้ามีอนุแปดคน แต่ละคนล้วนเป็นสาวงามล่มเมือง หากญาติผู้พี่ของท่านคิดใช้อุบายสาวงาม เช่นนั้นก็สมควรมีรูปโฉมงดงามชนิดจันทร์ต้องหม่นแสงบุปผาต้องหลีกทางให้เป็นแน่!” จางเจิ้งเต้าตาลุกวาว จับจ้องมองดูแผ่นหลังของสตรีทั้งสองด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

“พี่หญิงรอง!” หวังเค่อเรียก

จากนั้นสตรีรูปร่างแน่งน้อยก็หันมาคารวะต่อหวังเค่ออย่างสำรวม “ท่านประมุข!”

“อ๋า?” จางเจิ้งเต้าหน้าแข็งค้าง

“พี่หญิงรองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หวังเค่อยิ้มถาม

“พี่หญิงรองท่านนี้แม้จะงดงามน่ามองตามแบบฉบับดรุณีในตระกูลเล็ก แต่เมื่อเทียบกับโฉมงามล่มเมืองแล้วก็ดูจะเป็นรองอยู่นิดหน่อย อย่างมากก็นับเป็นสาวงามระดับกลางค่อนบน ไม่อาจนับเป็นสาวงามไร้คู่เปรียบกระมัง?” จางเจิ้งเต้านิ่วหน้า

“สาวงามก็เหมือนกับบุปผา จำต้องพึ่งบริบทอื่นเพื่อขับเน้นความงาม! พี่หญิงใหญ่!” หวังเค่อเรียกอีกครั้ง

คราวนี้สตรีที่รูปร่างออกจะกำยำเล็กน้อยเป็นฝ่ายหมุนตัวมา

“อ๋า?” จางเจิ้งเต้าตาโต เนื้อตัวเริ่มสั่นเทิ้ม

ลองดูพี่หญิงใหญ่ท่านนี้ซี ไม่เพียงแต่เงาหลังที่หนากว้าง แม้แต่ด้านหน้าเองก็สมบุกสมบันเป็นอย่างยิ่ง บนดวงหน้าที่ค่อนข้างแบนหนาคือริมฝีปากขนาดใหญ่เท่าฝาหอย บนฝาหอยคือเงาหนวดที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ดูแล้วชวนพิศวงสงสัยและน่าสะพรึงอยู่ลึกๆ

“ทะ ท่านเป็นผู้หญิงแน่นะ?” จางเจิ้งเต้าปากคอสั่น หนังศีรษะชาด้าน

“มองอะไรนักหนา ไม่เคยเห็นผู้หญิงไว้หนวดรึไง?” พี่หญิงใหญ่ถลึงตาใส่

ตาคู่นั้นเหมือนพยัคฆ์ตัวเมียที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่จางเจิ้งเต้าจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว เกือบต้องอาเจียนออกมา!

“อย่าได้กังวลไป พี่หญิงใหญ่ของข้าแค่เลือกฝึกวิชาผิดไปตอนเริ่มฝึกเท่านั้น ฮอร์โมนเพศชายของนางก็เลยทำงานได้ดีเกินไปนิด!” หวังเค่อยิ้มกล่าว

“ท่านประมุข!” พี่หญิงใหญ่ประคองมือคารวะให้กับหวังเค่อ

จางเจิ้งเต้ากลืนน้ำลาย ยังคงใช้สายตาหวาดสะพรึงมองดูพี่หญิงใหญ่

“พี่หวัง นะ นี่น่ะหรือสาวงามใต้หล้าไร้ทัดเทียมของท่าน? สายตาของท่านช่างพิเศษไม่เหมือนใคร! ข้าว่า เนี่ยเทียนป้าผู้นั้นพอได้เห็นพี่หญิงใหญ่หนวดเฟิ้มผู้นี้ของท่านเข้าจะต้องโงหัวไม่ขึ้นแน่…อุบายสาวงามเรอะ? ไม่มีทางซะหรอก!” จางเจิ้งเต้ายกมือปาดเหงื่อเยียบเย็นที่ไหลลงมาจากหน้าผากขณะกล่าวคำ

“หลังจากที่เห็นพี่หญิงใหญ่แล้ว เจ้าลองหันกลับไปดูพี่หญิงรองข้าอีกทีแล้วบอกซิว่าเป็นยังไง” หวังเค่อยิ้ม

จางเจิ้งเต้าลองหันไปมองพี่หญิงรองอีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกเหมือนกลับจากนรกขึ้นสู่สรวงสวรรค์โดยพลัน

“ไอ้หยา พอลองดูอีกที พี่หญิงรองท่านนี้ก็คือนางเซียนนางสวรรค์โดยแท้! พี่หวัง แบบนี้ใช้การได้! ก่อนอื่นก็ให้พี่หญิงให้สร้างความขยาดต่อเนี่ยเทียนป้า จากนั้นค่อยให้พี่หญิงรองใช้อุบายสาวงามตบท้าย เช่นนี้จะต้องสามารถช่วยองค์หญิงโยวเยว่กลับมาได้อย่างแน่นอน!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดี

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ใครว่าข้าจะใช้อุบายสาวงามกัน? เจ้าคิดว่าเนี่ยเทียนป้าจะเป็นเหมือนอย่างเจ้าที่สมองมีแต่น้ำเชื้องั้นรึ” หวังเค่อถลึงตาใส่

“ไม่ใช่อุบายสาวงาม? งั้นท่านไปตามตัวพี่หญิงใหญ่มาทำไม?” จางเจิ้งเต้างุนงงสับสน

“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานนี้ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วรึ? ข้าจะให้คนมาแปลงโฉมเป็นองค์หญิงโยวเยว่อย่างไรเล่า!” หวังเค่อหรี่ตากล่าว

“แปลงโฉม? ท่านตั้งใจจะให้พี่หญิงของท่านปลอมตัวเป็นองค์หญิงโยวเยว่?” จางเจิ้งเต้าอุทานด้วยความตกใจ

“มิผิด!” หวังเค่อพยักหน้า

“แต่…ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร? พี่หญิงของท่านคือองค์หญิงโยวเยว่ตัวปลอม ส่วนที่อยู่ในมือของเนี่ยเทียนป้าต่างหากจึงจะเป็นองค์หญิงโยวเยว่ตัวจริง ต่อให้ท่านมีตัวปลอมก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น! ทันทีที่คนของพรรคอีกาทองคำมาถึง องค์หญิงโยวเยว่ตัวจริงก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่รึไง?” จางเจิ้งเต้ายังคงงุนงงไม่หาย

“ผิดแล้ว ข้าจะทำให้ตัวปลอมกลายเป็นตัวจริง เปลี่ยนตัวจริงในมือเนี่ยเทียนป้าให้เป็นตัวปลอม!” หวังเค่อเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ

“เปลี่ยนจริงเป็นปลอม เปลี่ยนปลอมเป็นจริง?” จางเจิ้งเต้ายิ่งฟังยิ่งงง

“นี่เรียกว่าจากไม่มีจึงมี ทำลายความคาดหมายของเนี่ยเทียนป้า ขอเพียงมันคิดว่าองค์หญิงโยวเยว่ที่มันมีคือตัวปลอม เช่นนั้นแผนการช่วยชีวิตองค์หญิงโยวเยว่ของเราก็ง่ายดุจพลิกฝ่ามือแล้ว!” หวังเค่อเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“นะ นี่จะเป็นไปได้หรือ?” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“เจ้าบอกเองไม่ใช่รึว่าองค์หญิงโยวเยว่สวมผ้าปิดหน้ามาโดยตลอด แถมคนที่เคยเห็นโฉมหน้าของนางก็มีไม่ถึงสิบคน แม้แต่พรรคอีกาทองคำเองก็ยังไม่มีรูปเหมือนของนาง แล้วเจ้าจะกังวลอะไร?” หวังเค่อหัวเราะ

“แต่ แต่… เอาเถอะ ท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ข้าจะทำตามที่ท่านว่า ให้พี่หญิงรองปลอมตัวเป็นองค์หญิงโยวเยว่ บางทีอาจเป็นไปได้ก็ได้!” จางเจิ้งเต้ามองไปทางพี่หญิงรองที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“ใครว่า พี่หญิงรองจะรับบทเป็นสาวใช้ขององค์หญิงโยวเยว่ ส่วนคนที่รับบทเป็นองค์หญิงโยวเยว่ตัวปลอมคือพี่หญิงใหญ่ต่างหาก!” หวังเค่ออธิบาย

“อะไรนะ นางน่ะหรือ? พี่หญิงใหญ่หนวดเฟิ้มคนนี้น่ะนะที่ท่านจะให้ปลอมตัวเป็นองค์หญิงโยวเยว่?” จางเจิ้งเต้าปากอ้าตาค้าง

“มองอะไรของเจ้า คิดว่าข้าเล่นบทเป็นองค์หญิงโยวเยว่ไม่ได้งั้นรึ?” พี่หญิงใหญ่หนวดเฟิ้มตาเขียวปั้ด

จางเจิ้งเต้าตาโตเหมือนระฆังทองแดง นี่ไม่ฝากงานสำคัญไว้ผิดคนหรือยังไง! คนจะยอมเชื่อหรือว่าเจ้าสิ่งนี้คือองค์หญิงโยวเยว่? เจ้าคิดว่าทุกคนหูหนวกตาบอดกันหมดรึยังไง?

“พี่หวัง ทำไมท่านถึงจัดแจงเรื่องราวไว้เช่นนี้เล่า” จางเจิ้งเต้าใกล้ร่ำไห้เต็มทน

“พี่หญิงใหญ่เก่งกาจทางด้านการละคร ไม่มีใครกังขานางง่ายๆ หรอก อีกอย่าง ทักษะการตีบทแตกของพี่หญิงใหญ่นั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ! ถึงตอนนั้นเจ้ากับนางเล่นเข้าขากัน! ไม่มีใครจับได้แน่!” หวังเค่ออธิบาย

แสดงดีแล้วมีผายลมอันใด? ใครมันจะยอมเชื่อว่าเจ้าสิ่งนี้คือองค์หญิงโยวเยว่?

“ช้าก่อน ตีบทแตกหมายถึงอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” จางเจิ้งเต้าเปลี่ยนสีหน้าทันควัน

“ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง!” หวังเค่อยังคงยิ้ม

แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้จางเจิ้งเต้าหนาววาบไปทั้งแผ่นหลัง

“พี่หวัง เอาเป็นว่าข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านก็ทำเหมือนว่าข้าไม่เคยมาหาท่าน ท่านว่าเป็นอย่างไร?” จางเจิ้งเต้ามองหวังเค่อ ใบหน้ากระตุกยิกๆ

“เจ้าว่าเป็นไปได้มั้ยล่ะ?” หวังเค่อย้อนถาม ใบหน้าเริ่มหม่นลง

“แต่ แต่ ข้าไม่เห็นความหวังเลยนี่นา! องค์หญิงโยวเยว่เป็นตายร้ายดียังไงก็เป็นถึงองค์หญิง! แล้วจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนอย่างพี่หญิงใหญ่ไปได้ยังไง? ใครมันจะไปยอมเชื่อ!” จางเจิ้งเต้าอยากร่ำไห้แต่ไม่มีน้ำตา

“นั่นก็คือสิ่งที่ข้ากำลังจะทำเป็นลำดับต่อไป!” หวังเค่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ทำอะไร?”

“สร้างกระแส!” ดวงตาของหวังเค่อฉายประกายความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

เมืองจูเซียน ตระกูลเนี่ย ภายในห้องโถงหลัก!

บรรดาศิษย์หลักของตระกูลเนี่ยต่างมารวมตัวอยู่รอบชายร่างบึกบึนที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงกลาง ชายผู้นั้นมีบุคลิกราวมังกรดวงตาราวพยัคฆ์ กลิ่นอายทรราชกวาดสะพัดไปรอบบริเวณ เพียงแค่นั่งอยู่กับที่ก็แผ่อำนาจดุดันน่าเกรงขามออกมา ภายในตระกูลเนี่ยมีเพียงประมุขตระกูลเนี่ยเทียนป้าเท่านั้นที่มีกลิ่นอายสภาวะเช่นนี้

“ท่านประมุข นับแต่เมื่อวานนี้ที่ตระกูลหวังเริ่มวางขายแผนการลงทุนข้าก็แอบไปสังเกตการณ์มารอบหนึ่ง ตอนนี้คนในเมืองซื้อของชนิดนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังแก่งแย่งที่จะเป็นคนแรกกันให้ได้ เพียงแค่ระลอกนี้ อย่างน้อยที่สุดตระกูลหวังก็ต้องได้ศิลาวิญญาณกว่าสองหมื่นชั่ง!” ศิษย์ตระกูลเนี่ยคนหนึ่งกล่าวรายงานด้วยความเคารพ

“สองหมื่นชั่ง?” เนี่ยเทียนป้ารูม่านตาหดวูบ

“นั่นสิขอรับ สองหมื่นชั่ง? เมื่อคิดรวมกับดอกเบี้ยในปีหลังพวกมันจะต้องคืนเงินถึงสองหมื่นสี่พันชั่งเลยนะ! ตระกูลหวังนั่นจะนำเงินจำนวนขนาดนั้นออกมาได้รึ?” ศิษย์อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“หวังเค่อนั่นมาถึงเมืองจูเซียนได้สิบปี แต่ไรมาไม่เคยทำการค้าขาดทุนเลยสักครั้ง ทักษะการค้าของมันร้ายกาจจริงๆ มันบอกว่าตั้งใจจะใช้เงินที่ได้จากแผนการลงทุนมาจ้างวานนักปรุงยาและนักหลอมศาสตราที่มีฝีมือกว่าเดิม ก็น่าจะทำเงินได้นั่นแหละ!”

“เห็นทีคราวนี้ตระกูลหวังคงจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ!”

“นั่นน่ะซี ตระกูลการค้าตระกูลหนึ่ง ในเวลาแค่สิบปีกลับสามารถติดหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ฝึกฌานที่ทรงพลังที่สุดในเมืองจูเซียนได้ ฮึ่ม มันช่าง…!”

………

……

แววตาของศิษย์ตระกูลเนี่ยต่างฉายแววอิจฉาตาร้อน

แต่เนี่ยเทียนป้ากลับยิ้มเย็น “ไม่ต้องห่วง ให้พวกมันทำเงินไปนั่นแหละ!”

“ท่านประมุข เมืองจูเซียนล้วนอยู่ในกำมือเรามาโดยตลอด ท่านจะยอมดูคนนอกอย่างหวังเค่อกวาดเงินเข้ากระเป๋าทั้งที่อยู่ในอาณาเขตของเราหรือขอรับ” ศิษย์ตระกูลเนี่ยคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอมพร้อมใจ

เนี่ยเทียนป้าจิบชาก่อนยิ้มเย็น “แม้ว่าหวังเค่อจะจ่ายค่าน้ำชาให้ข้ามาไม่น้อย แต่ถึงที่สุดแล้วตระกูลผู้ฝึกฌานอย่างไรก็ต้องวัดกันด้วยพละกำลัง คิดทำเงิน? งั้นก็ต้องปกป้องของของตัวเองได้จึงจะนับว่าสำเร็จ!”

“ท่านประมุขคิดลงมือต่อมัน?” ศิษย์ตระกูลเนี่ยคนหนึ่งตาวาวโรจน์

“แกะถูกขุนจนพ่วงพีดีแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาเชือด!” เนี่ยเทียนป้ายิ้มเหี้ยม

“โอ้” ศิษย์ทุกคนพากันตาลุกวาว

“เพียงแต่ ตอนนี้ตระกูลเนี่ยยังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ!” เนี่ยเทียนป้าเอ่ยเสียงทุ้มลึก

ทันใดนั้นทุกคนพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมทันที

“ตระกูลผู้ฝึกฌานถึงที่สุดแล้วก็เพิ่งหลุดพ้นความเป็นมนุษย์มาได้ไม่นาน ยังห่างชั้นจากสำนักเซียนที่แท้จริงอีกมาก สำนักเซียนมีเคล็ดวิชาอายุวัฒนะของจริงที่จะทำให้กลายเป็นเซียนอยู่ มีแต่การได้เข้าร่วมกับสำนักเซียนจึงจะได้ก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกฌานที่แท้จริง ครั้งนี้เองก็เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้แก่พวกเรา พวกเราจึงได้ตัวองค์หญิงโยวเยว่มาครอง ทันทีที่คนของพรรคอีกาทองคำมายืนยัน ศิษย์ห้าคนในตระกูลเนี่ยเราก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของพรรคอีกาทองคำ ห้าคนเชียวนะ! ถึงตอนนั้นตระกูลเนี่ยของเราจะต้องเจิดจรัสเหมือนตะวันกลางนภาแน่!” เนี่ยเทียนป้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าเปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

“นั่นสิขอรับ พรรคอีกาทองคำเป็นหนึ่งในสำนักเซียนชั้นแนวหน้าของสิบหมื่นมหาบรรพต จะบอกว่าพวกเราทะยานก้าวเดียวถึงสรวงสวรรค์เลยก็ยังได้! นี่ต่างหากคือเรื่องสำคัญ!” ศิษย์ทุกคนปรบมือโห่ร้องด้วยความคึกคัก

“ข่าวนี้ห้ามรั่วไหลออกไปเด็ดขาด ไม่อาจปล่อยให้มีปัญหาอื่นตามมา! มีแต่พวกเราที่รู้ก็พอแล้ว! ส่วนเจ้าแกะอ้วนหวังเค่อนั่น ไว้รอคนของพรรคอีกาทองคำมาสะสางเรื่องราวจนเสร็จแล้วค่อยเชือดมันทิ้งแล้วกัน!” เนี่ยเทียนป้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก

“ทราบ!” ศิษย์ทุกคนตอบรับอย่างนอบน้อม

“ท่านประมุข องค์หญิงโยวเยว่ผู้นั้นถูกซ่อนไว้ที่ไหนหรือขอรับ? จะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่?” ศิษย์คนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงติดกังวล

“หืม?” เนี่ยเทียนป้าหรี่ตามอง

“ขะ ข้าก็แค่อดกังวลไม่ได้ เรื่องนี้เราจะให้มีอะไรผิดพลาดไม่ได้นี่ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นรีบเอ่ย

“ฮึ่ม ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ห้ามใครถามถึงที่ซ่อนขององค์หญิงโยวเยว่อีก เรื่องนั้นมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ พวกเจ้าจงทำใจให้สบาย ไม่ต้องไปห่วงเรื่องอื่น เมื่อทุกอย่างลุล่วงดีแล้วข้าค่อยจัดการเรื่องที่ว่างห้าตำแหน่งนั่น!” เนี่ยเทียนป้าเอ่ยเสียงเย็น

“ทราบ!” ศิษย์ตระกูลเนี่ยตอบรับอย่างแข็งขัน

ไม่มีใครกล้าถามอะไรอีก ที่ซ่อนขององค์หญิงโยวเยว่มีแต่เนี่ยเทียนป้าเท่านั้นที่รู้

“เวลาแค่ครึ่งเดือน เพียงไม่นานก็ผ่านไป ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่!” เนี่ยเทียนป้าเอ่ยเสียงต่ำก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ

ตอนนั้นเองข้ารับใช้คนหนึ่งก็ผลีผลามเข้ามาจากนอกห้อง

“ท่านประมุข ท่านประมุข แย่แล้วขอรับ!” ข้ารับใช้คนนั้นร่ำร้องเสียงตื่น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เนี่ยเทียนป้าถามเสียงเย็น

“เมื่อครู่มีข่าวมาจากในเมืองว่าหวังเค่อพาศิษย์ตระกูลหวังจำนวนมากเข้าจับกุมตัวองค์หญิงโยวเยว่ตามรางวัลนำจับของพรรคอีกาทองคำได้แล้วขอรับ!” ข้ารับใช้คนนั้นเอ่ยออกมารวดเดียว

“อะไรนะ?” เนี่ยเทียนป้าเลิกคิ้วสูงชัน

“เป็นไปไม่ได้!” ศิษย์ภายในห้องทะลึ่งกายขึ้นพรวด ต่างอุทานอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

องค์หญิงโยวเยว่ก็ถูกจับขังไว้ในตระกูลเนี่ยของพวกมันนี่ไง แล้วเหตุไฉนถึงได้มีองค์หญิงโยวเยว่อีกคนหนึ่งขึ้นมาได้?

“เป็นความจริงขอรับ ตอนนี้คนทั้งเมืองต่างก็ทราบข่าวกันหมดแล้ว ทุกคนต่างยื้อแย่งกันไปดูจนวุ่นวายกันใหญ่! ทุกคนต่างก็อยากเห็นว่าองค์หญิงโยวเยว่ตามรางวัลนำจับของพรรคอีกาทองคำจะมีรูปโฉมเช่นไร ตอนนี้ที่ปากทางเข้าออกเมืองจูเซียนมีแต่คลื่นมนุษย์ขอรับ!” ข้ารับใช้เอ่ยอย่างร้อนรน

ใบหน้าของเนี่ยเทียนป้ากระตุก ถ้วยชาในมือเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0