โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อาหารไม่ย่อยที่มาพร้อมอาการต่างๆ เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?

HonestDocs

อัพเดต 21 ก.ย 2562 เวลา 21.32 น. • เผยแพร่ 21 ก.ย 2562 เวลา 21.32 น. • HonestDocs
อาหารไม่ย่อยที่มาพร้อมอาการต่างๆ เป็นสัญญาณของโรคอะไรบ้าง?
อาหารไม่ย่อย พะอืดพะอม ท้องเสีย คลื่นไส้ เวียนหัว กรดไหลย้อน ปวดท้อง เรอบ่อย เป็นเพราะอะไร? บอกโรคอะไรได้บ้าง? อาหารไม่ย่อย รักษาอย่างไร ควรกินยาอะไร? อ่านที่นี่

รีวิวโดยทีมแพทย์และเภสัชกร HonestDocs วันที่ 11/02/2562

Dyspepsia (อาหารไม่ย่อย) เป็นภาวะผิดปกติของทางเดินอาหารส่วนต้นบริเวณรอยต่อระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็กส่วนต้น ภาวะนี้ถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนทั่วไป ทำให้ผู้ที่เป็นรู้สึกไม่สบายท้อง 

อาการของอาหารไม่ย่อยนั้นสามารถเป็นร่วมกับโรคอย่างอื่นได้ เช่น โรคกรดไหลย้อน หรือโรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น  ดังนั้น การซักประวัติอย่างครอบคลุม เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุหลักของปัญหาและได้รับการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาภาวะนี้

สาเหตุของอาหารไม่ย่อย

  • รับประทานอาหารมากและเร็วเกินไป
  • ดื่มคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป
  • รับประทานอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด
  • สูบบุหรี่
  • ถุงน้ำดีอักเสบ
  • กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
  • ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
  • แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก
  • การใช้ยาปฏิชีวนะ
  • การรับประทานยาแอสไพริน
  • การใช้ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
  • โรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อ
  • ไส้เลื่อนที่กระบังลม

อาการของอาหารไม่ย่อย

อาการทั่วไปที่พบได้

  • แสบร้อนกลางหน้าอก
  • ปวดท้องส่วนบนหรือเจ็บหน้าอก
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้
  • เรอ
  • ท้องอืด

อาการร่วมอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงโรคที่มีความรุนแรง

  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีอาการปวดท้องมากผิดปกติ 
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปและไม่เคยมีอาการอาหารไม่ย่อยมาก่อน

อาการที่ควรพบแพทย์ทันที

  • อาเจียนมีเลือดปน หรือมีเลือดสีเหมือนกาแฟ
  • อาเจียนเป็นเลือดสด

*อาหารไม่ย่อยกับอาการคลื่นไส้พะอืดพะอม *

หากอาการจุกเสียดแน่นท้อง มาพร้อมกับอาการพะอืดพะอมคลื่นไส้ โดยไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย ให้สงสัยว่าปัญหาหลักอาจเกิดจากกระเพาะอาหาร ถ้าอาการเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อาจเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือรับประทานอาหารปริมาณมากและเร็วเกินไป ทำให้กระเพาะย่อยไม่ทัน แต่หากมีอาการบ่อยๆ สาเหตุอาจเกิดจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบก็ได้

การรักษา

  • รับประทานยาลดกรดกลุ่ม Proton pump inhibitor หรือ H2 blocker เพื่อยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร 
  • หากเป็นกระเพาะอาหารอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรดด้วย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

การป้องกัน

  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปริมาณมากหรือรวดเร็วเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรดในกระเพาะมากเกินไป

*อาหารไม่ย่อยกับอาการท้องเสีย *

หากมีอาการอาหารไม่ย่อยพร้อมด้วยอาการท้องร่วง ถ่ายเหลววันละหลายๆ ครั้ง บางครั้งถ่ายมีมูกเลือดปนและปวดท้องบิดรุนแรง มักเกิดจากลำไส้อักเสบและโรคบิด ซึ่งสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย พยาธิ และโปรโตซัว ที่ปนเปื้อนมากับอาหาร อันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา คือ ภาวะร่างกายขาดน้ำและแร่ธาตุ รวมถึงอาจมีเลือดออกในทางเดินอาหารด้วย

การรักษา

  • เน้นป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำผสมเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
  • หากสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจให้รับประทานยาปฏิชีวนะ หรือให้ยาทางเส้นเลือด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก อาหารรสจัด นมวัว เครื่องดื่มคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด อาหารเก่าค้างคืน และอาหารสุกๆ ดิบๆ 

อาหารไม่ย่อยกับอาการแสบร้อนกลางอก

สาเหตุของอาการจุกเสียดแน่นท้องและแสบร้อนกลางอก มักมาจากโรคกรดไหลย้อน ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างผิดปกติ ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นมายังหลอดอาหารได้ ส่งผลให้มีอาการคลื่นไส้ เรอบ่อย และรู้สึกถึงรสเปรี้ยวๆ ในปากด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนมีมากมาย เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารมากเกินไป นอนทันทีหลังรับประทานอาหารเสร็จ และภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน เป็นต้น

*การรักษา *

  • ยาลดกรด หรือยายับยั้งการหลั่งกรด ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต และการควบคุมน้ำหนัก

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการนอนทันที หลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และการสูบบุหรี่
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

*อาหารไม่ย่อยกับภาวะดีซ่าน *

ภาวะดีซ่าน คือ ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง เกิดจากความผิดปกติของตับและท่อน้ำดี ตับทำหน้าที่ผลิตน้ำดีที่เป็นตัวช่วยให้ไขมันจากอาหารแตกตัวในกระบวนการย่อย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ โรคพยาธิใบไม้ตับ นิ่วในถุงน้ำดี ท่อน้ำดีอุดตัน และมะเร็งท่อน้ำดี มักมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ร่วมกับมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองด้วย

การรักษา

โรคเกี่ยวตับและท่อน้ำดีนั้นมีหลายโรค ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่างกัน ดังนั้น การรักษาจึงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความผิดปกตินั้นๆ เช่น หากเป็นตับอักเสบจากไวรัส จะให้ยาต้านไวรัส หรือถ้าเป็นตับอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ ก็อาจให้ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อยับยั้งการอักเสบ ส่วนมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ก็จะรักษาด้วยวิธีฉายรังสีและเคมีบำบัด

*การป้องกัน *

  • งดดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันภาวะตับอักเสบจากพิษแอลกอฮอล์
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
  • ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะไขมันเกาะตับ และนิ่วในถุงน้ำดี
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานปลาน้ำจืดเกล็ดขาวดิบๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ

*อาหารไม่ย่อยกับอาการเวียนศีรษะ *

สาเหตุหลักของอาหารไม่ย่อยที่มาพร้อมกับอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ นั้นเกิดจากความเครียด เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด การบีบตัวของอวัยวะในทางเดินอาหารและการหลั่งน้ำย่อยจะผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง จุกเสียด และเบื่ออาหารด้วย

*การรักษา *

  • ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง นอนหลับ นั่งสมาธิ สวดมนต์ เป็นต้น
  • หากมีภาวะเครียดเรื้อรัง ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพราะอาจนำไปสู่อาการป่วยทางจิตได้
  • ใช้ยารักษา เช่น ยา Beta-blocker ที่ช่วยยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่เกี่ยวกับความเครียด และยา Diazepam ซึ่งเป็นยาคลายความเครียด แต่การรับประทานยาคลายเครียดต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น

การป้องกัน

  • หากิจกรรมทำยามว่างที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ หรือออกไปพบปะพูดคุยกับผู้คน  
  • หากทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียดบ่อยๆ หรือผ่านเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ ควรพบจิตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา เพื่อป้องกันภาวะเครียดเรื้อรังซึ่งจะนำไปสู่โรคซึมเศร้า

*อาหารไม่ย่อย ปวดท้องรุนแรง และเบื่ออาหาร *

อาการปวดจุกเสียดท้องรอบๆ สะดือและท้องน้อยด้านขวาเป็นพักๆ หรือปวดตลอดเวลา ร่วมกับอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ และมีไข้ เป็นอาการที่เด่นชัดของภาวะไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งหากเกิดไส้ติ่งแตกก่อนพบแพทย์ อาการปวดท้องจะยิ่งรุนแรง พร้อมทั้งมีไข้สูง ร้ายแรงที่สุด คือ เสียชีวิต

*การรักษา *

หากมีภาวะไส้ติ่งอักเสบ ควรรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นการผ่าแบบเปิดหน้าท้องหรือแบบส่องกล้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ 

*การป้องกัน *

ไส้ติ่งอักเสบมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงไม่สามารถหาวิธีป้องกันได้ แต่หากมีอาการดังที่กล่าวข้างต้นก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตก และการติดเชื้อจากการอักเสบ

สรุป อาการอาหารไม่ย่อยสามารถเกิดได้หลายสาเหตุ เมื่อเกิดแล้วมักส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น และยังสามารถเกิดร่วมกับภาวะ หรือโรคอื่นๆได้ด้วย ดังนั้น การรักษาและการป้องกันที่ดีที่สุด คือการปรับพฤติกรรมต่างๆ ร่วมกับการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอถ้าจำเป็น เพื่อผลการรักษาที่ดี และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้อย่างยั่งยืน

👨‍⚕️⚕️👩‍⚕️⚕️ ค้นหาโรค อาการ ยา โรงพยาบาล คลินิก และอ่านบทความสุขภาพ เขียนโดยคุณหมอหรือผ่านการรีวิวจากคุณหมอแล้ว ที่ www.honestdocs.co และ www.honestdocs.id 

💪❤️ ไม่พลาดข้อมูลดีๆ ที่จะทำให้คุณแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ คลิกที่นี่เพื่อแอดไลน์ @honestdocs หรือแสกน QR Code ด้านล่างนี้ และยังติดตามเราได้ที่ Facebook และ Twitter วันนี้

📱📰 โหลดแอป HonestDocs สำหรับ iPhone หรือ Android ได้แล้ววันนี้! จะอ่านบทความ จะเก็บบทความไว้อ่านทีหลัง หรือจะแชร์บทความให้คนที่เราเป็นห่วง ก็ง่ายกว่าเดิมเยอะ

เปรียบเทียบดีลสุขภาพ ทำฟัน และความงาม จาก รพ. และคลินิกกว่า 100 แห่ง พร้อมจองคิวผ่าน HonestDocs คุณหมอมือถือได้เลยวันนี้ ถูกกว่าไปเอง

ขอบคุณที่วางใจ ทุกเรื่องสุขภาพอุ่นใจ ให้ HonestDocs (ออเนสด็อกส์) คุณหมอมือถือ ดูแลคุณ ❤️

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0