รีวิวโดยทีมแพทย์และเภสัชกร HonestDocs วันที่ 11/02/2562
Dyspepsia (อาหารไม่ย่อย) เป็นภาวะผิดปกติของทางเดินอาหารส่วนต้นบริเวณรอยต่อระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็กส่วนต้น ภาวะนี้ถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนทั่วไป ทำให้ผู้ที่เป็นรู้สึกไม่สบายท้อง
อาการของอาหารไม่ย่อยนั้นสามารถเป็นร่วมกับโรคอย่างอื่นได้ เช่น โรคกรดไหลย้อน หรือโรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น ดังนั้น การซักประวัติอย่างครอบคลุม เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุหลักของปัญหาและได้รับการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาภาวะนี้
สาเหตุของอาหารไม่ย่อย
- รับประทานอาหารมากและเร็วเกินไป
- ดื่มคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป
- รับประทานอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด
- สูบบุหรี่
- ถุงน้ำดีอักเสบ
- กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
- ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
- แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก
- การใช้ยาปฏิชีวนะ
- การรับประทานยาแอสไพริน
- การใช้ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- โรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อ
- ไส้เลื่อนที่กระบังลม
อาการของอาหารไม่ย่อย
อาการทั่วไปที่พบได้
- แสบร้อนกลางหน้าอก
- ปวดท้องส่วนบนหรือเจ็บหน้าอก
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้
- เรอ
- ท้องอืด
อาการร่วมอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงโรคที่มีความรุนแรง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการปวดท้องมากผิดปกติ
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปและไม่เคยมีอาการอาหารไม่ย่อยมาก่อน
อาการที่ควรพบแพทย์ทันที
- อาเจียนมีเลือดปน หรือมีเลือดสีเหมือนกาแฟ
- อาเจียนเป็นเลือดสด
*อาหารไม่ย่อยกับอาการคลื่นไส้พะอืดพะอม *
หากอาการจุกเสียดแน่นท้อง มาพร้อมกับอาการพะอืดพะอมคลื่นไส้ โดยไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย ให้สงสัยว่าปัญหาหลักอาจเกิดจากกระเพาะอาหาร ถ้าอาการเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อาจเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือรับประทานอาหารปริมาณมากและเร็วเกินไป ทำให้กระเพาะย่อยไม่ทัน แต่หากมีอาการบ่อยๆ สาเหตุอาจเกิดจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบก็ได้
การรักษา
- รับประทานยาลดกรดกลุ่ม Proton pump inhibitor หรือ H2 blocker เพื่อยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
- หากเป็นกระเพาะอาหารอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรดด้วย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา
การป้องกัน
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปริมาณมากหรือรวดเร็วเกินไป
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรดในกระเพาะมากเกินไป
*อาหารไม่ย่อยกับอาการท้องเสีย *
หากมีอาการอาหารไม่ย่อยพร้อมด้วยอาการท้องร่วง ถ่ายเหลววันละหลายๆ ครั้ง บางครั้งถ่ายมีมูกเลือดปนและปวดท้องบิดรุนแรง มักเกิดจากลำไส้อักเสบและโรคบิด ซึ่งสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย พยาธิ และโปรโตซัว ที่ปนเปื้อนมากับอาหาร อันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา คือ ภาวะร่างกายขาดน้ำและแร่ธาตุ รวมถึงอาจมีเลือดออกในทางเดินอาหารด้วย
การรักษา
- เน้นป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำผสมเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
- หากสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจให้รับประทานยาปฏิชีวนะ หรือให้ยาทางเส้นเลือด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- รับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก อาหารรสจัด นมวัว เครื่องดื่มคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด อาหารเก่าค้างคืน และอาหารสุกๆ ดิบๆ
อาหารไม่ย่อยกับอาการแสบร้อนกลางอก
สาเหตุของอาการจุกเสียดแน่นท้องและแสบร้อนกลางอก มักมาจากโรคกรดไหลย้อน ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างผิดปกติ ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลกลับขึ้นมายังหลอดอาหารได้ ส่งผลให้มีอาการคลื่นไส้ เรอบ่อย และรู้สึกถึงรสเปรี้ยวๆ ในปากด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนมีมากมาย เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารมากเกินไป นอนทันทีหลังรับประทานอาหารเสร็จ และภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน เป็นต้น
*การรักษา *
- ยาลดกรด หรือยายับยั้งการหลั่งกรด ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต และการควบคุมน้ำหนัก
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการนอนทันที หลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และการสูบบุหรี่
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
*อาหารไม่ย่อยกับภาวะดีซ่าน *
ภาวะดีซ่าน คือ ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง เกิดจากความผิดปกติของตับและท่อน้ำดี ตับทำหน้าที่ผลิตน้ำดีที่เป็นตัวช่วยให้ไขมันจากอาหารแตกตัวในกระบวนการย่อย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ โรคพยาธิใบไม้ตับ นิ่วในถุงน้ำดี ท่อน้ำดีอุดตัน และมะเร็งท่อน้ำดี มักมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ร่วมกับมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองด้วย
การรักษา
โรคเกี่ยวตับและท่อน้ำดีนั้นมีหลายโรค ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่างกัน ดังนั้น การรักษาจึงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความผิดปกตินั้นๆ เช่น หากเป็นตับอักเสบจากไวรัส จะให้ยาต้านไวรัส หรือถ้าเป็นตับอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ ก็อาจให้ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อยับยั้งการอักเสบ ส่วนมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ก็จะรักษาด้วยวิธีฉายรังสีและเคมีบำบัด
*การป้องกัน *
- งดดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันภาวะตับอักเสบจากพิษแอลกอฮอล์
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะไขมันเกาะตับ และนิ่วในถุงน้ำดี
- หลีกเลี่ยงการรับประทานปลาน้ำจืดเกล็ดขาวดิบๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ
*อาหารไม่ย่อยกับอาการเวียนศีรษะ *
สาเหตุหลักของอาหารไม่ย่อยที่มาพร้อมกับอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ นั้นเกิดจากความเครียด เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด การบีบตัวของอวัยวะในทางเดินอาหารและการหลั่งน้ำย่อยจะผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง จุกเสียด และเบื่ออาหารด้วย
*การรักษา *
- ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง นอนหลับ นั่งสมาธิ สวดมนต์ เป็นต้น
- หากมีภาวะเครียดเรื้อรัง ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพราะอาจนำไปสู่อาการป่วยทางจิตได้
- ใช้ยารักษา เช่น ยา Beta-blocker ที่ช่วยยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่เกี่ยวกับความเครียด และยา Diazepam ซึ่งเป็นยาคลายความเครียด แต่การรับประทานยาคลายเครียดต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น
การป้องกัน
- หากิจกรรมทำยามว่างที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ หรือออกไปพบปะพูดคุยกับผู้คน
- หากทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียดบ่อยๆ หรือผ่านเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ ควรพบจิตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา เพื่อป้องกันภาวะเครียดเรื้อรังซึ่งจะนำไปสู่โรคซึมเศร้า
*อาหารไม่ย่อย ปวดท้องรุนแรง และเบื่ออาหาร *
อาการปวดจุกเสียดท้องรอบๆ สะดือและท้องน้อยด้านขวาเป็นพักๆ หรือปวดตลอดเวลา ร่วมกับอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ และมีไข้ เป็นอาการที่เด่นชัดของภาวะไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งหากเกิดไส้ติ่งแตกก่อนพบแพทย์ อาการปวดท้องจะยิ่งรุนแรง พร้อมทั้งมีไข้สูง ร้ายแรงที่สุด คือ เสียชีวิต
*การรักษา *
หากมีภาวะไส้ติ่งอักเสบ ควรรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นการผ่าแบบเปิดหน้าท้องหรือแบบส่องกล้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ
*การป้องกัน *
ไส้ติ่งอักเสบมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงไม่สามารถหาวิธีป้องกันได้ แต่หากมีอาการดังที่กล่าวข้างต้นก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตก และการติดเชื้อจากการอักเสบ
สรุป อาการอาหารไม่ย่อยสามารถเกิดได้หลายสาเหตุ เมื่อเกิดแล้วมักส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น และยังสามารถเกิดร่วมกับภาวะ หรือโรคอื่นๆได้ด้วย ดังนั้น การรักษาและการป้องกันที่ดีที่สุด คือการปรับพฤติกรรมต่างๆ ร่วมกับการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอถ้าจำเป็น เพื่อผลการรักษาที่ดี และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้อย่างยั่งยืน
👨⚕️⚕️👩⚕️⚕️ ค้นหาโรค อาการ ยา โรงพยาบาล คลินิก และอ่านบทความสุขภาพ เขียนโดยคุณหมอหรือผ่านการรีวิวจากคุณหมอแล้ว ที่ www.honestdocs.co และ www.honestdocs.id
💪❤️ ไม่พลาดข้อมูลดีๆ ที่จะทำให้คุณแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ คลิกที่นี่เพื่อแอดไลน์ @honestdocs หรือแสกน QR Code ด้านล่างนี้ และยังติดตามเราได้ที่ Facebook และ Twitter วันนี้
📱📰 โหลดแอป HonestDocs สำหรับ iPhone หรือ Android ได้แล้ววันนี้! จะอ่านบทความ จะเก็บบทความไว้อ่านทีหลัง หรือจะแชร์บทความให้คนที่เราเป็นห่วง ก็ง่ายกว่าเดิมเยอะ
เปรียบเทียบดีลสุขภาพ ทำฟัน และความงาม จาก รพ. และคลินิกกว่า 100 แห่ง พร้อมจองคิวผ่าน HonestDocs คุณหมอมือถือได้เลยวันนี้ ถูกกว่าไปเอง
ขอบคุณที่วางใจ ทุกเรื่องสุขภาพอุ่นใจ ให้ HonestDocs (ออเนสด็อกส์) คุณหมอมือถือ ดูแลคุณ ❤️