โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ข้าผู้นี้ขอตัดสิ้นวาสนา

นิยาย Dek-D

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • ซ่งอู๋ซวง
ข้าผู้นี้ขอตัดสิ้นวาสนา
นางทุ่มเททุกอย่างเพื่อสามี ทว่าสิ่งที่เขาตอบแทนนางกลับมา คือการพาหญิงชู้มาเหยียบย่ำนางอย่างไม่ให้เกียรติ ทั้งเหยียดหยามและตราหน้านางว่าเป็นภรรยาผู้โหดเหี้ยม เช่นนั้นข้าผู้นี้ขอตัดสิ้นวาสนานี้เอง!

ข้อมูลเบื้องต้น

ข้าผู้นี้ขอตัดสิ้นวาสนา

ตลอดสามปีที่สามีผู้เป็นถึงรัชทายาทได้ไปออกรบที่ชายแดน ‘จ้าวหว่านถิง’ ในฐานะพระชายาของเขา นางได้คอยดูแลปกครองตำหนักบูรพามาโดยตลอด คอยสู้รบปรบมือกับศัตรูเพื่อรักษาตำแหน่งและอำนาจของพระสวามีอยู่ทุกคืนวัน

ทว่าสามปีต่อมา เมื่อเขาหวนคืนกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง ข้างกายเขากลับมีสตรีอีกนางอยู่เคียงข้างไม่ห่างกาย!

เขาไม่เพียงไม่สนใจความทุ่มเททั้งหมดที่นางเคยทำ แต่ยังหยามเกียรติพระชายาเช่นนางด้วยการพาสตรีในดวงใจผู้นั้นเข้ามาพลอดรักที่ตำหนักบูรพา อีกทั้งยังกล่าวหาว่านางเป็นพระชายาโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม

ในเมื่อภรรยาเช่นนางเป็นเขาที่ไม่ต้องการ เช่นนั้นนางก็ขอเป็นผู้ตัดสิ้นวาสนานี้เอง!

#สามีที่ดีคือสามีใหม่

ช่องทางการติดตามข้อมูลข่าวสารและการแจ้งเตือน

เพจ facebook : ซ่งอู๋ซวง

จิ้ม >>> https://www.facebook.com/songwushuang/

- อัพนิยายทุกวัน เวลา 19.00 น. -

บทที่ 1 การกลับมาของรัชทายาท (1)

บทที่ 1 การกลับมาของรัชทายาท (1)

ณ ตำหนักบูรพาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่สูงส่งที่ไม่ว่าใครต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะครอบครองที่แห่งนี้ ภายในห้องนอนด้านในสุดของตำหนัก มีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งเหยียดแผ่นหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ โดยมีนางกำนัลอีกคนกำลังช่วยตัดแต่งทรงผมอย่างพิถีพิถัน

จ้าวหว่านถิงในวัยสิบเก้าปี นางกำลังนั่งมองเงาสะท้อนของตนเองเบื้องหน้ากระจก ใบหน้าที่งามล่มเมืองนั้นได้เผยสีหน้าเรียบเฉยและมีท่าทีที่สุขุมนุ่มลึก ดวงตาของนางเรียบนิ่งดุจผิวน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่างในใจตลอดเวลา

“พระชายาทรงงดงามมากเลยเพคะ ในใต้หล้านี้จะหาผู้ใดที่งดงามกว่าพระชายาของหม่อมฉันกัน”

นางกำนัลคนสนิทผู้มีนามว่า หมิงหมิง ได้เอ่ยชมเชยผู้เป็นนายอย่างไม่ขาดปาก ทว่าผู้ถูกชมกลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย นางเพียงแค่เผยรอยยิ้มบางออกมาเท่านั้น

“ในที่สุดพระชายาก็จะได้พบกับรัชทายาทเสียทีนะเพคะ รัชทายาททรงไปออกรบนานกว่าสามปีแล้ว ทรงต้องคิดถึงพระชายามากเป็นแน่เพคะ” หมิงหมิงยังคงพูดต่อด้วยท่าทีเป็นสุข

ตลอดสามปีมานี้นางรู้ดีว่าพระชายาต้องลำบากและโดดเดี่ยวเพียงใด เพียงแค่คิดว่าพระชายาจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ข้ารับใช้เช่นนางก็อดไม่ได้ที่จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง

จ้าวหว่านถิงไม่ได้ตอบอันใดออกไป เพียงแค่เหยียดยิ้มเย็นออกมาเท่านั้น ดวงตาของนางมืดมนลงครู่หนึ่ง

คิดถึงอย่างนั้นหรือ?

ไฉนนางจึงไม่คิดว่ารัชทายาทผู้เป็นสามีจะทรงคิดถึงนางกัน…

หากเขาคิดถึงนางจริง เหตุใดตั้งแต่หนึ่งปีก่อนใยเขาถึงไม่เคยคิดจะส่งจดหมายมาหานางอีก? ทั้งๆ ที่ในสองปีแรกที่เขาจากไป เขามักจะส่งจดหมายมาอย่างสม่ำเสมอ

ถึงแม้นางจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่จู่ๆ รัชทายาทได้แปรเปลี่ยนไป ทว่าจ้าวหว่านถิงก็มั่นใจได้หลายส่วนว่าพระสวามีคงไม่มีทางคิดถึงพระชายาเช่นนางเป็นแน่

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?”

จ้าวหว่านถิงมองหมิงหมิงผ่านกระจกเบื้องหน้า ภาพที่นางเห็นคือหมิงหมิงที่มองนางอย่างภาคภูมิใจ อีกฝ่ายบรรจงทำผมให้นางด้วยความประณีตอย่างถึงที่สุด

“เพคะ พระชายาทั้งมากความสามารถ เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจและรูปโฉมที่งดงามล่มเมืองเชียวนะเพคะ บุรุษผู้ใดในใต้หล้ากันที่จะไม่หลงรักพระชายา”

หมิงหมิงเอ่ยตามที่นางคิด หากแต่จ้าวหว่านถิงกลับไม่คิดเช่นนั้น นางอาจจะได้รับความรักมามากมายก็จริง แต่นางไม่เคยได้รับความรักจากผู้เป็นทั้งสหายและพระสวามีเลยสักครา

เนื่องจากการที่เขาและนางอภิเษกสมรสด้วยกัน นั่นก็เป็นเพราะสาเหตุทางการเมือง หาใช่ความรักตามประสาหนุ่มสาวไม่

ความรู้สึกที่จ้าวหว่านถิงและรัชทายาทมีให้กัน ก็คงมีเพียงแค่ความสัมพันธ์ตามประสาสหายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเท่านั้น ไร้ซึ่งความรักใดๆ นางจึงพยายามอยู่ในขอบเขตของตนและทำหน้าที่พระชายาให้ดีที่สุดเท่านั้น…

จ้าวหว่านถิงหลุบตาลงเล็กน้อยพลางพ่นลมหายใจออกมาบางเบา ก่อนจะสลัดความคิดในหัวทิ้งทั้งหมด

“ไปกันเถิด”

เมื่อหมิงหมิงทำผมให้จ้าวหว่านถิงเสร็จ นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยความสง่างาม ก่อนที่จะเดินออกมานอกห้องนอนของตนเอง ท่ามกลางนางกำนัลและขันทีกว่ายี่สิบคนที่พากันทำความเคารพนางด้วยความนอบน้อม

“ถวายบังคมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเตรียมรถม้ารออยู่ทางหน้าตำหนักเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่มีหน้าที่เหล่านั้นบอกกล่าวกับจ้าวหว่านถิง บ่งบอกว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว

จ้าวหว่านถิงก้าวขึ้นไปบนรถม้าด้วยหัวใจที่เย็นชา ใบหน้าของนางเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นางไม่ได้ดีใจกับการกลับมาของรัชทายาทมากนัก แต่นางก็ไม่ได้เสียใจกับการกลับมาของเขาเช่นกัน

บางทีอาจเป็นเพราะความห่างเหินระหว่างนางและเขาตลอดสามปีมานี้ จึงทำให้นางคุ้นชินกับการอยู่คนเดียวไปเสียแล้ว ดังนั้นการกลับมาของรัชทายาทจึงไม่ได้มีความหมายใดกับนางมัก

ไม่นานนักรถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวง จ้าวหว่านถิงจึงได้เดินลงมาจากรถม้าไปยังกลุ่มขุนนางที่มารออยู่ก่อนแล้ว ครั้นเหล่าขุนนางเห็นหญิงสาวก็พากันทำความเคารพด้วยความยำเกรง

เนื่องด้วยพวกเขาต่างให้เกียรตินางในฐานะพระชายาผู้สูงส่ง และทุกคนต่างก็ประจักษ์ในฝีมือความสามารถของพระชายาตลอดสามปีที่ผ่านมา ตลอดเวลาที่นางคอยสู้รบตบมือกับขั้วอำนาจในราชสำนักมาโดยตลอด

ทั้งหมดนี่ก็เพื่อรักษาตำแหน่งและอำนาจของตำหนักบูรพาให้มั่นคง ทำให้ขุนนางทั้งหลายต่างพากันยอมรับนางด้วยความสามารถที่มีจากใจจริงและยำเกรงนางมากขึ้นเป็นเท่าตัว แม้นางจะเป็นสตรีแต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วว่าไม่อาจดูแคลนนางได้แม้แต่น้อย

ระหว่างที่เหล่าขุนนางเข้ามาทักทายและทำความเคารพนาง จ้าวหว่านถิงก็ยิ้มรับพวกเขาตามมารยาท ด้วยท่าทีสง่างามและสูงส่ง ไม่มีท่าทีหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก เชิญพวกท่านตามสบายเถิด”

ก่อนที่นางจะเดินไปหยุดยังเบื้องหน้าสุดของขบวนต้อนรับการกลับมาของรัชทายาท และเป็นขบวนที่แสดงความยินดีกับกองทัพที่รบชนะศึกกลับมา โดยมีจ้าวหว่านถิงรับราชโองการจากฮ่องเต้เป็นตัวแทนผู้นำของขบวนในครั้งนี้

เพียงไม่นานนัก กองทัพก็เคลื่อนตัวมาถึงด้านหน้าประตูเมืองหลวง โดยมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งควบม้ามาเป็นผู้นำขบวน ด้านหลังของพวกเขามีรถม้าหลังหนึ่งที่เคลื่อนที่ตามมาด้วยไม่ห่าง

“นั่นรถม้าอะไรกัน ดูแปลกตาเสียจริง หรือว่ารัชทายาทจะทรงนำของล้ำค่ามาฝากพระชายาของเขากัน” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยออกมาเมื่อเห็นรถม้าคนใหญ่หลังหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้

จนกระทั่งกองทัพเหล่านั้นหยุดอยู่ไม่ห่างจากจ้าวหว่านถิง จึงทำให้หญิงสาวสามารถมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นำขบวนได้อย่างชัดเจน ซึ่งก็คือรัชทายาทผู้เป็นสามีของนั่นเอง

“รัชทายาทเสด็จ!”

เสียงของชายผู้หนึ่งประกาศออกมาเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้รับทราบถึงการมาถึงของรัชทายาท ทำให้สายตาทุกคู่พากันจับจ้องไปยังชายหนุ่มบนหลังม้าด้านหน้าสุด

เขามีอายุสิบเก้าปี มีใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย ผิวสีแทนจากการกรำศึกมานานหลายปีช่วยทำให้เขาดูสมชายชาตรีมากขึ้น ใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง เย็นชา ยากที่จะคาดเดาอารมณ์และความคิดของเขาได้ ดวงตาเฉียบคมคู่นั้นยามที่มองผ่านผู้คนพลันทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไม่ทราบสาเหตุ

รัชทายาทที่นั่งอยู่บนหลังม้าหันมาสบตากับจ้าวหว่านถิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างช้าๆ ทั้งสองต่างสบตากันท่ามกลางความเงียบ มีเพียงความเฉยชาและความเย็นชาเท่านั้นที่เผยออกมาจากแววตาของทั้งสอง

หาได้มีความคิดถึงคะนึงหาและความรักอันใดที่แผ่ออกมาไม่….

เพียงไม่นานรัชทายาทก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินไปยังรถม้าด้านหลัง ท่ามกลางสายตาสงสัยของเหล่าขุนนางที่มารอต้อนรับ จ้าวหว่านถิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองตามการกระทำของรัชทายาทอย่างเงียบๆ

และเพียงไม่นานสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในเวลาต่อมา ก็ทำให้กลุ่มขบวนเหล่าขุนนางที่มารอต้อนรับต่างนิ่งค้างด้วยความตกใจกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า พวกเขาพากันจ้องภาพตรงหน้าด้วยความสับสนและงุนงง

เนื่องจากบัดนี้รัชทายาทได้เดินไปยังรถม้าที่ติดตามตนมา แล้วเอื้อมมือไปรับใครบางคน ก่อนที่ฝ่ามือเรียวบางของสตรีนางหนึ่งจะแหวกม่านออกมาพร้อมกับกุมฝ่ามือของรัชทายาทเอาไว้

“ข้าลงเองได้…ไม่เห็นต้องลำบากอาข่ายขนาดนี้เลย”

น้ำเสียงหวานไพเราะพลันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ก่อนจะปรากฏเงาร่างของสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ นางก้าวลงมาจากรถม้าโดยมีรัชทายาทคอยดูแลนางอยู่เคียงข้างไม่ห่าง ทั้งท่าที สีหน้าและแววตาของรัชทายาทยามที่มองไปยังสตรีนางนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและอบอุ่นต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

“นั่นรัชทายาทพาใครมากันแน่ สตรีนางนั้นเป็นผู้ใดกันรึ?”

ฉับพลันได้เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นในหมู่ขุนนาง เมื่อพวกเขาเห็นว่ารัชทายาทไม่ได้มาตัวคนเดียว แต่ยังพาสตรีอีกนางหนึ่งกลับมาด้วย อีกทั้งท่าทางของเขาก็ดูรักใคร่สตรีนางนี้มากทีเดียว

“หุบปากของเจ้าเสียก่อนเถิด!” ขุนนางที่อยู่ข้างๆ เขาพูดเตือนสติอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ

แม้ว่าทุกคนจะตกใจจนสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนหรือมีท่าทีผิดปกติมากเพียงใด ทว่าจ้าวหว่านถิงกลับยังคงมีท่าทีสุขุม นิ่งเงียบเช่นปกติ สีหน้าของนางนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าแววตาของนางได้ขรึมลงหลายส่วนพร้อมกับความเย็นชาที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา…

บทที่ 1 การกลับมาของรัชทายาท (2)

บทที่ 1 การกลับมาของรัชทายาท (2)

ดวงตาของจ้าวหว่านถิงยังคงจับจ้องการกระทำของพระสวามีตนเองสลับกับสตรีแปลกหน้านางนั้นอย่างเงียบๆ เมื่อนางมองสำรวจสตรีนางนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จึงพบว่าอีกฝ่ายมีรูปโฉมที่งดงามไม่น้อย

หญิงสาวผู้นั้นมีความงามที่แสนบริสุทธิ์ ประกอบกับดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของอีกฝ่าย ทำให้นางดูคล้ายกับดอกบัวขาวบริสุทธิ์ที่ชวนให้ใครเห็นเป็นต้องอยากทะนุถนอมอย่างแน่นอน

จ้าวหว่านถิงไล่สายตามองไปยังฝ่ามือของทั้งสองคนที่กอบกุมกันแน่น ก่อนจะหยุดลงที่สายตาอบอุ่นของรัชทายาทผู้ซึ่งเป็นพระสวามีของนาง ตลอดเวลาที่นางได้รู้จักกับเขา นางไม่เคยได้รับสายตาอบอุ่นเช่นนี้จากเขาเลยสักนิด

ทางด้านรัชทายาทนั้น เขาไม่คิดจะสนใจสายตาแปลกประหลาดของขุนนางแม้แต่น้อย มือแกร่งยื่นออกไปประคองหญิงสาวข้างกายให้ลงมาจากรถม้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน

“ม่านเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง? เดินทางมาไกลคงจะทำให้เจ้าลำบากไม่ใช่น้อย”

สตรีผู้มีนามว่า ลู่จินม่าน ได้ยิ้มแย้มออกมาอย่างอ่อนโยนและส่ายหน้าปฏิเสธอย่างน่ารักน่าทะนุถนอม ทำเอารัชทายาทที่มองอยู่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“ข้าไม่ลำบากหรอก เป็นอาข่ายเองมากกว่าที่ต้องลำบาก ท่านต้องขี่ม้าไม่หยุดเลย หากข้าไม่บอกให้ท่านหยุดพักบ้างท่านก็คงมิพัก”

ลู่จินม่านเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แกมดุเล็กน้อย เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของรัชทายาทเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนพาต่างสนทนากันด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น แววตาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใยรักใคร่

ลู่จินม่านเปรียบเสมือนดอกบัวขาวที่เขาต้องทะนุถนอม เปรียบดั่งหยกล้ำค่าที่เขาครอบครองอยู่ นางคือสิ่งที่เขารักและหวงแหนมากที่สุด จึงทำให้เขานั้นอยากดูแลนางให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ระหว่างที่หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีกำลังแสดงท่าทีรักใคร่เหล่านั้นออกมาอย่างไม่สนใจสายตาผู้คนนับร้อยที่มารอต้อนรับเขาอยู่นั้น จ้าวหว่านถิงพลันกระตุกยิ้มที่มุมปากคราหนึ่ง

อาข่ายอย่างนั้นรึ?

สตรีนางนั้นถึงกับเรียกขานชื่อเล่นของพระสวามีของนางอย่างสนิทสนมเช่นนี้ เห็นทีคงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว ก่อนที่นางจะครุ่นคิดบางอย่างขึ้นได้

บางที…นี่อาจเป็นสาเหตุที่พระสวามีไม่ได้ส่งจดหมายหานางถึงหนึ่งปีเต็ม!

“เป็นเช่นนี้นี่เอง…”

จ้าวหว่านถิงพึมพำกับตนเองเสียงเย็น ดวงตาของนางเย็นชาราวกับมีม่านน้ำแข็งปกคลุมอยู่ก็มิปาน

พระสวามีของนางไปรบนานถึงสามปี ไม่ส่งข่าวคราวมานานนับปี คิดไม่ถึงว่ากลับมาครานี้เขาจะพาสตรีในดวงใจกลับมาด้วยเสียนี่

หากเขาพานางมาเพียงเท่านั้นนางมิถือสาอันใด จ้าวหว่านถิงอาจไม่สนใจนัก แต่ทว่าบัดนี้สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ การพลอดรักโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด นั่นไม่ต่างจากการหยามเกียรติของนางหรอกหรือ?

ต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนักและประชาชน นางกลับต้องมามองพวกเขาฉีกกระชากและหยามเกียรตินางเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ภรรยาผู้ภักดีเช่นนางได้รับตอบแทนกลับมา?

เหอะ!

น่าขันสิ้นดี!

“ถวายบังคมรัชทายาท ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการรับสั่งให้เหล่าขุนนางมารอคอย ต้อนรับการกลับมาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางท่านหนึ่งที่มารอต้อนรับรัชทายาทได้รวบรวมความกล้า แล้วก้าวเข้าไปเอ่ยยังเบื้องหน้าของรัชทายาท

เขาไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะลอบสังเกตเห็นว่าท่าทีของพระชายายังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม มิได้เปลี่ยนแปลงไปก็ตามที แต่หากยังไม่หยุดสถานการณ์เหล่านี้ ไม่แน่ว่าราชสำนักอาจจะเกิดพายุลูกใหญ่ก็เป็นได้

เมื่อรัชทายาทได้ฟัง สีหน้าที่เคยฉายแววอ่อนโยนก็กลับมาเย็นชาทันที “เหตุใดต้องแห่แหนกันมาด้วยก็ไม่รู้ มากพิธีจนข้านั้นเอือมระอาเต็มทน!”

เขามองขุนนางผู้นั้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะกวาดสายตามองเหล่ากลุ่มขุนนางที่มารอต้อนรับด้วยสีหน้าบึ้งตึง ราวกับว่าไม่พอใจที่เหล่าขุนนางทั้งหลายมาขัดช่วงเวลาที่แสนดีของตนกับหญิงในดวงใจ

ลู่จินม่านที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาพูดปลอบโยน เพื่อให้รัชทายาทใจเย็นลง

“อาข่าย อย่าโกรธพวกเขาไปเลย พวกเขามารอต้อนรับท่านนะ ท่านรีบไปหาพวกเขาเถิด”

“ได้ ข้าไม่โกรธแล้ว มาทางนี้เถิด ข้าขอคุยกับคนผู้หนึ่งสักครู่” รัชทายาทว่าจบก็กระชับมือที่กุมลู่จินม่านแน่น ก่อนที่เขาจะจูงมือนางก้าวเข้าไปหาจ้าวหว่านถิง

ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความตกใจให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีกันทันที

เมื่อครู่รัชทายาทเมินเฉยต่อพระชายาและมีท่าทีสนิทสนมกับสตรีอื่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแล้ว

บัดนี้พระองค์กลับพาหญิงนางนั้นไปหาพระชายาด้วยตนเองอีก!

นี่รัชทายาทไปรบจนเสียสติแล้วหรืออย่างไรกัน!

“นางคือคนที่ท่านเล่าให้ข้าฟังเมื่อตอนที่อยู่ชายแดนหรืออาข่าย?” ลู่จินม่านหันมามองจ้าวหว่านถิงด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเอ่ยถามรัชทายาทด้วยความสงสัย ซึ่งรัชทายาทก็ได้พยักหน้าให้นางแทนคำตอบ

ทางด้านจ้าวหว่านถิง นางไม่ได้เผยสีหน้าอันใดออกมา ทำเพียงแค่สบตากับรัชทายาทด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เงียบๆ และมองสตรีแปลกหน้าข้างกายเขาครู่หนึ่ง

“เจ้าคงเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อสินะ รีบๆ ทำพิธีให้เสร็จเร็วๆ เสีย ข้าจะได้พาม่านเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนด้านใน” รัชทายาทเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมไร้ความยินดีที่ได้พบหน้าภรรยาเช่นจ้าวหว่านถิงแม้แต่น้อย

ลู่จินม่านที่ยืนข้างกายรัชทายาทก็มองสำรวจจ้าวหว่านถิงด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ก่อนที่นางจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานผิดกับประโยคที่นางเอ่ยออกมาอย่างสิ้นเชิง

“แม่นางผู้นี้คงเป็นภรรยาของอาข่ายสินะ ข้ามีนามว่าลู่จินม่าน ข้า…ข้าเป็นคนที่คอยดูแลอาข่ายแทนเจ้าตอนที่เขาออกรบที่ชายแดน ฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าด้วยนะ”

สิ้นเสียงดังกล่าว เหล่าขุนนางต่างพากันหน้าถอดสีอีกครั้ง ด้วยเพราะคำพูดของสตรีนางนี้ไม่ต่างจากการจาบจ้วงและไม่ให้เกียรติจ้าวหว่านถิงในฐานะพระชายาแม้แต่น้อย

ทว่ารัชทายาทกลับไม่คิดเอ่ยห้ามหรือตำหนินางเลยสักนิด อีกทั้งยังเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจกับคำพูดของนาง ไม่ว่านางจะพูดหรือกระทำเรื่องอันใดไม่เหมาะสมเขาก็ล้วนพึงพอใจในตัวนางทั้งสิ้น

เหล่าขุนนางต่างพากันสอดส่องสายตามามองพระชายาอย่างพร้อมเพรียง ราวกับว่าต้องการจะดูปฏิกิริยาของพระชายาว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะมีโทสะบ้างหรือไม่

ทว่ากลับกลายเป็นพวกเขาที่ต้องผิดหวังเสียเอง เพราะนอกจากจ้าวหว่านถิงจะไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาแล้ว นางยังเผยรอยยิ้มบางออกมาอย่างอ่อนโยนอีกด้วย

“ถวายบังคมรัชทายาทเพคะ ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จด้วยนะเพคะ นำทัพไปรบถึงสามปีท่านคงจะเหนื่อยล้ามาก เชิญเข้าไปพักผ่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันคงไม่รบกวนพระองค์แล้ว”

จ้าวหว่านถิงมิได้สนใจอีกฝ่าย นางเมินเฉยต่อลู่จินม่านแล้วหันไปย่อกายคำนับรัชทายาทด้วยความสง่างาม พร้อมกับเอ่ยอวยพรเขาที่รบชนะศึกกลับมาตามที่ควรทำ

การกระทำของจ้าวหว่านถิงตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมามองหรือสนใจลู่จินม่านเลยแม้แต่น้อย นางทำราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงธาตุอากาศไร้ตัวตนอย่างนั้น

ลู่จินม่านที่เห็นว่าจ้าวหว่านถิงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หรือคิดจะตอบโต้นาง ซ้ำร้ายยังเมินเฉยต่อนางเสียอีก ทำให้นางนั้นหน้าเสียเล็กน้อย ใบหน้าหวานก้มหน้ามองพื้นอย่างเสียหน้าที่ถูกปฏิบัติเช่นนั้น

“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้ากลับไปเสีย”

รัชทายาทกล่าวส่งๆ สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้มิใช่การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติของตำแหน่งรัชทายาท หากแต่เป็นความสบายของหญิงสาวข้างกายเขาต่างหาก

“ขอโทษเจ้าแทนเหล่าขุนนางพวกนั้นด้วย จุ้นจ้านกันจนทำให้เจ้ามิได้พักผ่อนโดยเร็วเสียแล้ว” รัชทายาทบัดนี้กลายเป็นคนละคน จากบุรุษที่เคยตวาดกร้าวกลับกลายเป็นอ่อนโยนเสียอย่างนั้น

รัชทายาทจูงมือพาลู่จินม่านกลับไปยังรถม้าด้วยความอ่อนโยน ตลอดระยะทางเขาทะนุถนอมนางราวกับหยก เมื่อพาลู่จินม่านถึงที่หมายเขาก็ควบม้านำขบวน มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองหลวง

เมื่อรัชทายาทจากไป เหล่าขุนนางก็พากันแยกย้ายสลายตัว เดินทางกลับเรือนของตนเองทั้งๆ ที่เต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามนับร้อยเต็มอยู่ในหัวของพวกเขา

ด้านนางกำนัลคนสนิทของจ้าวหว่านถิงอย่างหมิงหมิง นางก็รีบเข้ามาดูพระชายาของตนอย่างเป็นห่วง เนื่องจากการกระทำอันหยามเกียรติของรัชทายาทเมื่อครู่นี้ทุกคนต่างมองเห็นกันทั้งสิ้น

“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ…” หมิงหมิงกล่าวด้วยความกังวลเมื่อเห็นว่านายของตนนิ่งเงียบ นางเป็นห่วงพระชายาเหลือเกินว่าจะเสียใจกับเรื่องเมื่อครู่

ในขณะที่หลายคนพากันนึกคิดไปว่าพระชายาคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าความเป็นจริงแล้ว จ้าวหว่านถิงกลับไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย นางมองตามขบวนของรัชทายาทที่จากไปจนลับสายตา ก่อนที่รอยยิ้มปริศนาจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ดวงตาที่เคยเรียบนิ่งก็พลันทอประกายเยือกเย็น

“น่าสนุกดีนี่…”

บทที่ 2 กฏเกณฑ์ (1)

บทที่ 2 กฎเกณฑ์ (1)

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูเมือง ข่าวลือเหล่านั้นก็ได้แพร่หลายไปทั่วทั้งเมืองหลวง เกี่ยวกับการกลับมาของรัชทายาทที่กลับมาพร้อมกับสตรีปริศนานางหนึ่ง

โดยเฉพาะในหมู่แวดวงขุนนางชนชั้นสูง พวกเขาต่างพากันออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปต่างๆ นานา บ้างก็รอชมความสนุกที่จะเกิดขึ้น บางคนก็รอดูปฏิกิริยาจากพระชายาว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้

เพราะผู้ที่เสียหน้าที่สุดคือพระชายาของรัชทายาทอย่างจ้าวหว่านถิง นางถึงกลับถูกกระทำเช่นนั้นต่อหน้าคนหมู่มาก นางคงจะไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่หากถูกกระทำเช่นนี้

ทางด้านรัชทายาทนั้น เมื่อเขากลับมาถึงก็ได้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวัง ส่วนจ้าวหว่านถิงก็กลับมาที่ตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของนาง

ตำหนักบูรพา

เมื่อจ้าวหว่านถิงกลับมาถึงตำหนัก นางก็เดินเข้ามาภายในห้องโถงก่อนจะพบว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปรากฏกายอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลู่จินม่านพร้อมกับสาวใช้นางหนึ่งและยังมีลูกน้องคนสนิทของรัชทายาทคอยอยู่ดูแลสตรีสองนางไม่ห่างอีกด้วย

“นะนั่น…สตรีนางนั้นนี่เพคะ บังอาจนัก!”

หมิงหมิงที่อยู่ข้างหลังผู้เป็นนายพลันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่าย เหตุการณ์เมื่อครู่ก็นับว่าหยามเกียรติพระชายาของนางมากแล้ว บัดนี้ยังกล้ามาเหยียบถึงตำหนักบูรพาอีก

นี่มันเกินไปแล้ว!

ขณะเดียวกัน ลู่จินม่านก็กำลังนั่งดื่มชาอย่างสบายใจ นางพูดคุยกับสาวใช้พร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของใครบางคน หรือนางอาจจะไม่ได้สนใจแล้วตั้งแต่แรกก็เป็นได้

“เก้าอี้ตัวนี้นั่งสบายจริงๆ ตำหนักของอาข่ายล้วนมีแต่สิ่งของดีๆ ทั้งสิ้น คงมิใช่ว่าเขาเตรียมเอาไว้ให้ข้าอยู่ก่อนแล้วหรอกนะ”

ลู่จินม่านเอ่ยออกมาด้วยความไร้เดียงสา นางทำตัวราวกับว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าของตำหนักบูรพาแห่งนี้ เป็นพระชายาที่ถูกต้องตามประเพณีของรัชทายาทอย่างไรอย่างนั้น

“คุณหนูมาอยู่ที่นี่แล้วก็คงจะสุขสบายไม่น้อยเป็นแน่เจ้าค่ะ รัชทายาทสรรหาแต่ของชั้นเลิศมาให้คุณหนูอยู่แล้วนี่เจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายของลู่จินม่านเอ่ยเยินยอนางอย่างมีความสุข ทำให้คนฟังอย่างพวกจ้าวหว่านถิงและหมิงหมิงถึงกับขมวดคิ้ว

“เจ้าก็พูดเกินไป…ข้าเกรงว่าอาข่ายจะลำบากเอาน่ะสิ” ลู่จินม่านเอ่ยออกมาด้วยความเขินอาย ใบหน้างามขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อ

หมิงหมิงที่ได้เดินตามพระชายาเข้ามา ก็ทนฟังอีกฝ่ายและพรรคพวกพูดต่อไปไม่ไหว จึงกัดฟันพูดออกมาด้วยความโมโห “สตรีนางนี้ช่างบังอาจนัก! เป็นแค่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าแต่กลับกล้าเสนอหน้ามาเหยียบที่นี่!”

ขณะที่หมิงหมิงเตรียมจะเข้าไปจัดการคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเบื้องหน้าเหล่านั้น จ้าวหว่านถิงก็ได้ยกมือขึ้นห้ามนางเอาไว้เสียก่อน

หมิงหมิงหันมามองหน้าผู้เป็นนายอย่างนึกสงสัย แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายได้เลย เพราะใบหน้าของจ้าวหว่านถิงยังคงเรียบนิ่ง ไร้อารมณ์เช่นเดิม

มีเพียงดวงตาของนางที่จับจ้องไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยแววตาเย็นเยียบ นางมองลู่จินม่านครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายนั่ง เนื่องจากเก้าอี้ตัวนั้นคือตำแหน่งที่สตรีผู้สูงศักดิ์อย่างพระชายาเพียงคนเดียวที่สามารถนั่งได้ เป็นตำแหน่งเก้าอี้ของนายหญิงแห่งตำหนักบูรพา

ทว่าบัดนี้กลับมีสตรีอื่นที่ไม่ใช่พระชายามานั่งเสียได้…

จ้าวหว่านถิงเดินเข้าไปภายในห้องโถงอย่างไม่รีบร้อน เมื่อนางกำนัลและขันทีพบเห็นนาง ทุกคนก็พร้อมใจกันทำความเคารพจ้าวหว่านถิงด้วยความนอบน้อมในทันที ทำให้กลุ่มคนภายในห้องโถงมองด้วยความสนใจ

“ถวายบังคมพระชายาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวหว่านถิงเดินเข้ามาหยุดยังเบื้องหน้าลู่จินม่าน สตรีทั้งสองมองหน้ากันพักหนึ่ง โดยที่จ้าวหว่านถิงยืนอยู่ ส่วนลู่จินม่านนั่งแล้วเงยหน้ามองนางอย่างไม่เกรงกลัว

“บังอาจ! พบพระชายาแล้วยังไม่ยอมทำความเคารพ! ใครก็ได้มาลากคนพวกนี้ไปโบยยี่สิบไม้เสีย!”

หมิงหมิงที่เห็นว่าคนเหล่านั้นเห็นพระชายาแล้วยังไม่ยอมทำความเคารพ นางก็ไม่สามารถระงับโทสะได้อีกต่อไป จึงตวาดเสียงแข็งใส่คนทั้งห้าที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที

นอกจากจะเข้ามานั่งที่เก้าอี้ของพระชายาอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ ยังกล้าเมินเฉยไม่ทำความเคารพพระชายาอีก

บังอาจ!

บังอาจเกินไปแล้ว!

ครานี้จ้าวหว่านถิงไม่ได้ห้ามคนของตนอีกต่อไป นางยืนมองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา กลิ่นอายกดดันพลันถูกแผ่ออกมาจนทำให้พวกเขารู้สึกกดดันและยำเกรง

ทางด้านของคนทั้งห้าพอได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ แต่เพียงไม่นานลูกน้องคนสนิทของรัชทายาททั้งสามคนก็ก้าวออกมาเพื่อปกป้องลู่จินม่านตามคำสั่งของรัชทายาทที่ได้สั่งการเอาไว้

“กระหม่อมขออภัยที่บังอาจล่วงเกินพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ทว่าเรื่องนี้นายหญิง…เอ่อ คุณหนูลู่จินม่านไม่รู้กฎระเบียบภายในวังมาก่อน จึงไม่ผิดหากนางจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอพระชายาทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

คังเยี่ย หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของรัชทายาทได้เอ่ยปกป้องลู่จินม่าน เพื่อไม่ให้นางถูกจ้าวหว่านถิงลงโทษ ทว่าการกระทำของเขากลับไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ด้วยสรรพนามที่เขาใช้เรียกลู่จินม่าน

นายหญิง?

หมิงหมิงที่ได้ยินคำเรียกเมื่อครู่ นางพลันถลึงตาใส่ด้วยความเกรี้ยวกราดทันทีก่อนจะเอ่ยตำหนิคังเยี่ยอย่างไม่ไว้หน้า “นายหญิงของพวกเจ้าเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ไยจึงเรียกนางเช่นนั้น! คุณชายเยี่ย นี่เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!”

นายหญิงของตำหนักบูรพาและนายหญิงที่เป็นภริยาที่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมนั้น ควรจะมีเพียงแค่พระชายาของนางเพียงผู้เดียว การที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพลั้งปากหรือตั้งใจ ล้วนไม่เหมาะสมทั้งสิ้น!

เพราะสถานะในตอนนี้ของลู่จินม่านนั้นจะเปรียบได้กับอะไร หากว่ามิใช่หญิงชู้!

แล้วหญิงชู้เช่นนี้จะสามารถเทียบเคียงกับพระชายาแห่งตำหนักบูรพาได้อย่างไร!

จ้าวหว่านถิงได้ยินก็ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้เป็นคนสนิทของพระสวามีนาง แต่พวกเขากลับปกป้องและเข้าข้างหญิงชู้นางนี้หรือ?

อีกทั้งเมื่อครู่ยังเรียกหญิงชู้นางนี้ว่านายหญิงอีก?

เหอะ!

นี่พวกเขาคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้รังแกกันหรืออย่างไร…

“จริงอย่างที่เจ้าว่า นางผู้นี้คงไม่รู้จักกฎระเบียบ ทว่าเจ้าที่เป็นถึงผู้ช่วยข้างกายรัชทายาท จะไม่รู้กฎระเบียบด้วยเชียวหรือ?” จ้าวหว่านถิงละสายตาจากลู่จินม่านมามองคังเยี่ย น้ำเสียงของนางเย็นเยียบอย่างน่าหวาดหวั่น

เมื่อคังเยี่ยได้ฟังก็รับรู้ได้ในทันทีว่าตนเองแย่แน่ ในใจของเขาก็พลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและกดดันบางอย่างที่สัมผัสได้จากพระชายา ราวกับเขากำลังอยู่เบื้องหน้าอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

หากเขาจำไม่ผิด สามปีก่อนที่เขาพบพระชายา นางในตอนนั้นแม้ว่าจะเป็นคนสุขุมนุ่มลึก นิ่งเงียบ แต่ก็มิได้ดูน่ายำเกรงถึงเพียงนี้ ทำให้เขาปฏิบัติกับนางเช่นเดิมมิได้อีกต่อไปแล้ว

“กระหม่อม…กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่กระหม่อมกระทำเรื่องที่ไม่สมควรและล่วงเกินพระชายา” คังเยี่ยกัดฟันตอบ เขาไม่พอใจอีกฝ่ายแต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้เช่นกัน

จ้าวหว่านถิงแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขาล้วนแต่แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งของหญิงชู้อย่างลู่จินม่านกันหมดแล้ว คงไม่มีประโยชน์หากว่านางจะใจดี มอบไมตรี ยอมอภัยให้กับความผิดพลาดนี้

“พวกเจ้าเองก็คงไม่ต่างกันสินะ ข้าก็เข้าใจอยู่หรอกที่พวกเจ้าไปออกรบทำศึกนานกว่าสามปี กฎระเบียบที่เคยมีก็คงหลงลืมไปหมดแล้ว ข้าเข้าใจ..ทว่าที่นี่คือตำหนักบูรพา ข้าในฐานะนายหญิงของตำหนัก ย่อมไม่อาจละเว้นและปล่อยผ่านผู้ที่หย่อนยานกฎระเบียบได้หรอกนะ หวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่โง่งมเกินไปจนไม่เข้าใจที่ข้าพูด….”

จ้าวหว่านถิงปรายตามองคนสนิทของรัชทายาทที่เหลืออีกสองคนด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทุกถ้อยคำของนางแฝงไปด้วยความกดดันอย่างล้นเหลือ

ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามที่ได้ฟังพลันมีใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัวทันที หยาดเหงื่อเริ่มซึมออกมาตามกรอบหน้า พวกเขาล้วนคิดในใจเป็นอย่างเดียวกันว่าพระชายาผู้นี้ช่างรับมือไม่ง่ายเลยสักนิด!

หากพวกเขายังไม่เข้าใจความผิดของตนเอง คงจะเป็นพวกเขาเองที่จะถูกลงโทษสถานหนักในฐานะที่ล่วงเกินพระชายาผู้สูงศักดิ์ และทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียเกียรติในฐานะคนของรัชทายาท

“กระหม่อมน้อมรับความผิดพ่ะย่ะค่ะ!”

พวกเขาทั้งสามคนรีบคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้าทันที พร้อมกับเอ่ยน้อมรับความผิดที่พวกเขาได้ล่วงเกินนางด้วยใบหน้าซีดเผือด

ยังไม่ทันที่จ้าวหว่านถิงจะได้พูดสิ่งใดต่อ ลู่จินม่านที่ถูกชายสามคนปกป้องอยู่ด้านหลังก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขอร้องจ้าวหว่านถิง นัยน์ตาของนางเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแลดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

“พระชายาเพคะ…ท่านอย่าได้ลงโทษพวกเขาเลยเพคะ พวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งอาข่ายเท่านั้น จึงได้หลงลืม อ๊ะ…ไม่สิ จึงได้พลาดพลั้งลืมทำความเคารพพระชายาก็เท่านั้นเพคะ”

ซึ่งการกระทำนี้ของลู่จินม่าน ก็ได้ทำให้ชายทั้งสามรู้สึกซาบซึ้งในใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างรู้สึกว่าตนคิดไม่ผิดที่ภักดีต่อนายหญิงที่มีเมตตาเช่นนี้ แทนที่จะเป็นพระชายาผู้โหดเหี้ยม

ทว่าชั่วขณะนั้นเอง จ้าวหว่านถิงก็ได้ตวัดสายตาหันมามองยังลู่จินม่านด้วยแววตาเย็นเยียบ นางเอ่ยสวนกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้ว่านางจะเอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ลู่จินม่านถึงกับหน้าชาในทันที

“แล้วเจ้าเป็นใครกัน? เจ้ามีศักดิ์พอที่จะเอ่ยปากต่อหน้าข้าโดยที่ข้ายังไม่ทันได้อนุญาตได้ด้วยหรือ? หากว่าเจ้ารู้ตัวว่าตนไม่มีศักดิ์ฐานะใดพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าแนะนำให้เจ้าควรเงียบปากของเจ้าไปเสีย อย่าได้ทำตัวเป็นสตรีไร้สมองที่ดีแต่พูดไปเรื่อย เพราะมันดูน่าสมเพชไม่น้อย….”

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0