ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี หลังมองเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากผลกระทบของการส่งออกสินค้าและบริการที่สำคัญ
วันนี้ (26 มิถุนายน 2562 ) นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อ เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากการส่งออกสินค้าและบริการเป็นสำคัญ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย และเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบัน มีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ
พร้อมกันนี้ยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ เหลือโต 3.3% จากเดิมคาด 3.8% จากผลกระทบของการส่งออกที่จะได้รับจากสงครามการค้าสหรัฐและจีน โดยการส่งออกสินค้าขยายตัวชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้มาก ตามเศรษฐกิจคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลง จากสภาวะการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก ดังนั้นจึงประเมินว่าส่งออกจะไม่ขยายตัวหรือ โตในระดับ 0% จากก่อนหน้าคาดโตได้ 3.% ขณะที่นำเข้าคาดว่าจะติดลบ -0.3% จากเดิมคาดว่าจะโต 3.1%
สำหรับ ด้านอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงรายได้และการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอลงในภาคการผลิตเพื่อส่งออก การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้จากการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจ่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่คาดว่าจะล่าช้าและการเลื่อนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง
ส่วนสินเชื่อยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างเร็วและแข็งค่าน่าเงินสกุลภูมิภาคเป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางอ่อนค่าลง การไหลเข้าของเงินทุนในช่วงสั้นๆ และปัจจัยในประเทศ คณะกรรมการฯ มีความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและการไหลเข้าของเงินทุนอย่างใกล้ชิด ขณะที่ ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบของสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการด่าเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป