เวลาที่เราบำบัดคนไข้
หนึ่งสิ่งที่เรายึดไว้เป็นหลักคือ
‘เราจะช่วยคนไข้ให้มองตัวเองออกมานอกเหนือจาก ‘ปัญหา’ ที่เขามีได้ยังไง?’
เรารู้สึกว่า มันโรแมนติคและชโลมใจมากกว่าการจ้องแต่จะวินิจฉัยโรคและจ่ายยาอย่างเดียว
วันนี้ เราได้เข้าร่วมสัมมนา โดยผู้บรรยายชื่อ Claire Cooley เธอเป็นจิตแพทย์ที่ส่วนใหญ่ทำงานกับเด็กและวัยรุ่น
เธอมาพูดถึงการรับมือกับสภาพจิตใจในฐานะผู้ปกครอง เมื่อลูกที่เรารักกำลังจะจากเราไปในเวลาอันใกล้ (ด้วยโรคภัยอันโหดร้าย)
เราจะดูแลหัวใจทั้งของเราและลูกไปพร้อมๆ กันได้ยังไง
- ‘สิ่งที่สวยงามที่สุดในตัวลูกของคุณคืออะไร?’
คุณพ่อคุณแม่ หรือคนดูแลใกล้ชิดลูก ลองถามคำถามนี้กับตัวเอง
ค่อยๆ นั่งคิด
ว่าในตัวลูกคนนี้ มีอะไรที่น่าชื่นชม ที่มีค่าต่อจิตใจบ้าง? เช่น
- ลูกมักทำให้คนรอบข้างขำเสมอ
- ลูกมีจินตนาการที่เยี่ยมยอด ลูกเป็นคนที่เล่านิทานได้สนุกมากกก
- ลูกเป็นเด็กมีน้ำใจ ชอบแบ่งของเล่นให้เด็กคนอื่นที่อยู่ในโรงพยาบาลด้วยกันเสมอ
ให้เราได้ค่อยๆ เริ่มเรียนรู้ความพิเศษของลูก ที่มหัศจรรย์ต่อหัวใจของเรา มากกว่าการมองเขาด้วยโรคที่ต้องเผชิญตอนนี้เยอะเลย
- ‘เกิดอะไรขึ้น ‘อีก’ บ้างในวันนี้?’
ต่อจากข้อที่แล้ว ทุกวันที่อยู่โรงพยาบาล ลูกจะเจอคำถามจากคุณหมอ จากพยาบาล หรือคำถามจากคุณพ่อคุณแม่เองว่า ‘อาการวันนี้เป็นยังไงบ้าง?’
ลองหาบทสนทนาอย่างอื่นคุยกับลูก ให้เราทั้งคู่ได้รู้สึกว่า ลูกมีอะไรในชีวิตมากกว่า ‘สิ่งที่หมอวินิจฉัย’
- อะไรที่ทำให้หนูยิ้มบ้างในวันนี้?
- อยากเล่นของเล่นอะไรเป็นพิเศษไหม?
- รู้สึกยังไงกับการ์ตูนที่หนูเพิ่งดูจบไปบ้าง?
เป็นต้น
- ความจริงแล้ว เด็กมีความหวาดกลัวน้อยกว่าผู้ใหญ่เยอะเลย
ความใสและบริสุทธิ์ของเด็กยังมีอยู่มาก แต่หลายครั้งผู้ใหญ่จะรู้สึกผวาไปกว่าเด็กอยู่แล้วด้วยความเป็นห่วงหนักในหัวใจ
พาเด็กเดินทัวร์ในโรงพยาบาลเลย ทำความรู้จักกับพี่พยาบาลที่ไม่เขายังไม่เคยเจอ ให้เขาได้ตื่นเต้นกับเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ
และหลายครั้ง สำหรับเด็กแล้ว โรงพยาบาลคือบ้านหลังที่สอง ตกแต่งห้องในโรงพยาบาลให้มีความอบอุ่นเหมือนบ้านเลย อาจเอารูปที่บ้านมาวางไว้ มีตุ๊กตาตัวโปรด หรือมุมหนังสือเล็กๆ
- ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ที่ยังมีความหวัง
หลายคนรู้สึกแย่ที่ยังมีความหวัง เพราะนั่นเหมือนแสดงว่า เราไม่ยอมรับความจริง หรือกำลังปฎิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่จริงๆ แล้ว เราแค่กำลังเลือกที่จะคิดถึงสิ่งที่มันต่างออกไปจากความตายที่กำลังจะมาถึง เท่านั้นเอง
มันโอเค ที่เราเลือกจะหัวเราะไปกับมุขตลกของลูก ยิ้มกว้างๆ ไปกับรูปวาดที่ลูกตั้งใจระบายสี
จดจำช่วงเวลาอันอ่อนโยน กับความหวังที่แสนหวาน ให้ลูกได้มีความสุขกับสิ่งที่กำลังอยู่ตรงหน้า
- เราหยุดสถานการณ์อันโหดร้ายนี้ไม่ได้ แต่เราเลือกการจบของมันได้
ข้อสุดท้าย ถึงแม้เราจะเลือกให้ลูกไม่จากไป ไม่ได้
แต่เราเลือกได้ว่าเราอยากสร้างบรรยากาศสุดท้ายให้ออกมาเป็นแบบไหน
‘เลือกให้มันจบลงด้วยความรัก’
- สมาชิกครอบครัวทุกคน ปู่ ย่า ตา ยาย มากันพร้อมหน้าล้อมเตียง
- ลูกอยากอยู่ในอ้อมกอดของแม่ระหว่างจากไปไหม?
- อยากร้องเพลงอะไรให้ลูกฟังเป็นครั้งสุดท้ายรึเปล่า
ลูกอาจอยากรู้ถึงชีวิตของเรา ‘เมื่อไม่มีเขา’
คุยกับลูกไปเลย และทำให้เขามั่นใจว่า เราจะทำอะไรเพื่อให้จดจำเขาได้ตลอดไป
ห้องนอนของเขา ลูกอยากให้จัดการยังไงต่อ?
เลโก้ชุดโปรด ลูกอยากให้เอาไปมอบให้ใครเป็นพิเศษไหม?
ให้เขาได้มีสิทธิสร้างความทรงจำสุดท้าย และต่อจากนี้ไปพร้อมกับเรา
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า
วันหนึ่ง มีเด็ก 5 ขวบคนหนึ่งดึงคุณหมอไปคุยด้วยเงียบๆ
เด็กบอกว่า ‘หนูมีความลับจะบอก อีกไม่นานหนูก็จะไม่อยู่ที่นี่แล้วนะ’
หมอก็ถามว่า แล้วหนูจะไปไหน?
‘หนูจะไปเล่นตุ๊กตากับนางฟ้าคนอื่นๆ ที่มีปีกแล้ว’
เด็กคนนั้น คงหมายถึง เด็กๆ ที่อยู่ในโรงพยาบาลด้วยกัน ที่พวกเขาได้จากไปแล้ว
เด็กรับรู้แหละ เรื่องแบบนี้ แต่เขารับรู้ในแบบของเขา
ไม่ต้องกลัวที่จะพูดคุยกับเด็กในเรื่องที่น่าเศร้าแบบนี้
เพราะบางที ในจิตใจของเขา มันอาจเป็นอะไรที่สว่างมากๆ ก็ได้
ติดตามบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร