โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

200 ล้านซื้ออนาคต! ลดค่าผลิตยารักษามะเร็ง 2 แสน เหลือ 2 หมื่น! ทรมานกายและกระเป๋าตังค์น้อยลง!

TheHippoThai.com

อัพเดต 07 พ.ย. 2561 เวลา 14.55 น. • เผยแพร่ 01 พ.ย. 2561 เวลา 05.00 น.

200 ล้านซื้ออนาคต! ลดค่าผลิตยารักษามะเร็ง2 แสนเหลือ2 หมื่น! ทรมานกายและกระเป๋าตังค์น้อยลง!

จากกระแสโซเชียลมาแรงตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อหมอจุฬาฯ ขอคนไทยคนละ 5 บาท สำหรับวิจัยและผลิตยารักษามะเร็งแบบภูมิต้านทานบำบัด (ยาแอนติบอดี) ได้กลายเป็นไวรัลทางการแพทย์ที่ทรงพลังสูงสุด นำโดย .นพ.ไตรรักษ์พิสิษฐ์กุลหัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังชาวเน็ตแชร์ข่าวนี้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้ยอดบริจาคพุ่งสูงเกินคาดกว่า 100 ล้านบาท

ณ เวลานี้ ทีมหมอจุฬาฯ คือ ความหวังของหมู่บ้าน! ที่แท้จริง

จริงๆ แล้ว ต้องขอขอบคุณนักข่าวที่ทำให้เกิดไวรัลระดมทุนคนละ 5 บาทนี้ขึ้น เนื่องจากตอนแรกทีมวิจัยของเรามีเป้าหมายที่จะต้องใช้เงินทุนประมาณ 200 กว่าล้าน เพื่อต่อยอดต้นแบบยาแอนติบอดีที่ได้จากสัตว์ทดลอง ไปสู่การพัฒนาให้มีความเหมาะสมกับเซลล์มนุษย์และนำเข้าผลิตในโรงงานต่อไป นักข่าวจึงเกิดไอเดียว่า หากคิดจากจำนวนคนไทยที่มีรายได้ประมาณ 40 ล้านคน ก็เท่ากับว่า ช่วยกันคนละ 5 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งทำให้เป้าหมายของเรามีความเป็นไปได้จริงยิ่งขึ้น

จนถึงตอนนี้กระแสตอบรับก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนและประชาชนที่เห็นถึงความสำคัญของโครงการนี้ร่วมกัน ทีมของเราก็จะทำให้เต็มที่เช่นเดียวกันครับ

ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า ยานี้ไม่ใช่ยาใหม่ แต่เป็นยาประเภทไบโอโลจิกส์ (Biologics) หรือยาที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ และมีการนำเข้ามาใช้ในไทยแล้วในราคาที่สูงเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าถึงได้ 

งานวิจัยของกองทุนภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งจุฬาฯ ของเรา จึงเป็นการวิจัยต่อยอดจากการค้นพบกลไกภูมิต้านทานมะเร็งของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นรางวัลโนเบลของคุณหมอชาวญี่ปุ่น สำหรับยาแอนติบอดี ที่เรากำลังพัฒนาอยู่นี้ คือ วิถีธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี แต่เป็นการใช้สิ่งมีชีวิตกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาว “ฆ่าเซลล์มะเร็ง” ได้ด้วยตัวเอง หรือเรียกได้ว่า ให้ระบบร่างกายรักษาตัวเอง ไม่ทำลายเซลล์ดีของร่างกาย ไม่ต้องใช้สารเคมีเหมือนการทำคีโม หรือการฉายรังสี ซึ่งวิธีเดิมเช่นนี้มักทำให้ร่างกายผู้ป่วยต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก

ต้องบอกเลยว่า ยาแอนติบอดี ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ไม่ใช่การป้องกันโรคมะเร็งครับ 

แต่ถ้าถามว่าจะ “หายขาด” ไหม? อาจพูดได้ยาก เพราะต้องติดตามผลในระยะยาว ขอใช้คำว่า “ควบคุมโรคได้” แล้วกันครับ อย่างเช่น ถ้าหากไม่ได้ยาตัวนี้ คนไข้จะเสียชีวิต แบบนี้เรียกว่า ยาแอนติบอดีสามารถควบคุมโรคมะเร็งได้ 

ยานี้สามารถใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งวิธีอื่นๆ และยังใช้สำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีมาตรฐานอื่นๆ แล้วไม่ได้ผลอีกด้วย โดยจะมีอัตราการควบคุมโรคในกรณีหลังได้ประมาณ 20-30% ยังไม่สามารถควบคุมได้ 100% ขณะนี้ทั่วโลกก็กำลังพัฒนาต่อยอดให้ตัวยามีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ชนะมะเร็งได้ในอนาคต 

ทั้งนี้ ชนิดของมะเร็ง ก็เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาด้วยยาแอนติบอดีด้วย ยิ่งเป็นเซลล์มะเร็งที่มีอัตราการกลายพันธุ์สูง อย่างมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด ก็จะยิ่งมีโอกาสตอบสนองยาแอนติบอดีได้ดีมากขึ้น

จากกระแสข่าวที่ออกไป อาจทำให้ประชาชนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า คนไทยจะได้ใช้ยาแอนติบอดีอย่างแพร่หลายในอีก 4-5 ปีนี้ แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่ครับ! 

เพราะกว่าที่ ยาฯ จะเข้าถึงคนไทยทุกระดับ ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี อาจจะดูเหมือนต้องรออีกยาวนานพอสมควร แต่ถ้าไม่เริ่มวันนี้ ก็ไม่รู้จะเริ่มวันไหน หากจะให้อธิบายเป็นแผนที่ชัดเจนนั้น เราแบ่งการดำเนินงานในโครงการวิจัยนี้ ออกเป็น 5 เฟสด้วยกัน 

เฟสแรก เราทำสำเร็จแล้วด้วยทุนวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กว่า 100 ล้านบาท เป็นการสร้างต้นแบบของยาแอนติบอดีซึ่งได้จากเซลล์ของหนูทดลองที่มีการสร้างภูมิต้านทานต่อโรคมะเร็งขึ้นมาหลังได้รับการกระตุ้น เฟสที่2 เป็นการพัฒนาเซลล์ต้นแบบนี้ให้มีความเหมาะสมกับเซลล์มนุษย์ ต้องใช้เงินทุนอีก 10 ล้านบาท ใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะสามารถนำเข้าผลิตในโรงงาน ซึ่งเป็นเฟสที่3 โดยต้องใช้เงินทุนอีกกว่า 200 ล้านบาท และใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปีครึ่ง

สำหรับในเฟสที่4 จะนำยาที่ได้จากโรงงานมาฉีดในสัตว์ทดลอง ได้แก่ หนูและลิง ที่เป็นมะเร็ง เพื่อทดสอบผลข้างเคียงต่างๆ จนกระทั่งในเฟสที่5 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายนั้น จะได้ตัวยาที่สามารถใช้จริงในมนุษย์ โดยให้กับผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งเป็นอาสาสมัครประมาณ 300-400 คนก่อน เพื่อเก็บข้อมูลทางคลินิกและติดตามผลการรักษาอีก 4-5 ปี ถ้ารวมระยะเวลาของแผนงานนี้ ก็คงไม่ต่ำกว่า 7 ปี แต่หากประเมินถึงความเป็นไปได้ที่คนไทยจะได้ใช้จริง น่าจะอยู่ประมาณ 10 ปีนับจากนี้ 

อย่างที่แจ้งว่า เราลงทุนไป 100 ล้านจากเงินของจุฬาฯ เอง ซึ่งสามารถสร้างต้นแบบยาในเฟสที่ 1 สำเร็จแล้ว แต่การจะเดินหน้าต่อที่จะต้องใช้เงินอีกจำนวนมหาศาล ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจไม่เกิดขึ้นจริงถ้าใช้วิธีการขอทุนวิจัยแบบเดิม การเปิดรับบริจาคจากประชาชน จึงเป็นทางเลือกใหม่ เพื่อผลักดันให้เป้าหมายระยะสั้นคือเฟสที่ 2 และ 3 สามารถเดินต่อไปได้ 

สำหรับเงินกว่า 200 ล้านบาทที่จะได้รับจากประชาชนคนไทยนั้น จะถูกนำไปใช้เป็นต้นทุนของการผลิตยา ต้นทุนนี้ก็จะรวมถึงค่าเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาก เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ ตัวยาเป็นสิ่งมีชีวิต ในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะผลิตได้ ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดของโครงการวิจัยและผลิตยาแอนติบอดี ส่วนที่เหลือก็จะเป็นต้นทุนค่าสาธารณูปโภค ค่าการบริหารจัดการ และค่าทรัพยากรคน ซึ่งไม่ได้มีการบวกกำไรใดๆ

หลายคนสงสัยว่าบริษัทยาจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากการผลิตและจัดจำหน่ายยาแอนติบอดีไหม? ขอยืนยันว่า เป้าหมายของเราคือ ประโยชน์ของประชาชน เมื่อโครงการนี้สำเร็จ ยาแอนติบอดี ก็จะเป็น “ทรัพย์สินทางปัญญา” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเราจะมอบหมายให้สภากาชาดไทย เป็นผู้แจกจ่าย เพื่อให้ยาแอนติบอดี สามารถเข้าถึงประชาชนทุกระดับอย่างแท้จริง

การทำให้ยาแอนติบอดีรักษามะเร็งราคาหลอดละ 2 แสน เหลือแค่ 2 หมื่น เป็นเป้าหมายของเรา ซึ่งเป็นราคาที่เข้าใกล้ต้นทุนมากที่สุด เรียกได้ว่า เป็นการตั้งเป้าหมายให้ราคายาถูกลงกว่าเดิม 10 เท่า เพื่อให้เป็นราคาที่เข้าถึงคนไทยได้มากที่สุด ปัจจัยที่ทำให้ราคาถูกลงได้ขนาดนี้ เป็นเพราะเงินลงทุนมาจากประชาชน  ไม่ได้มีบริษัทแสวงหากำไรเข้ามาลงทุน ก็ไม่ต้องมีการบวกกำไร ไม่ต้องบวกราคาขาย ราคาจึงเข้าใกล้ต้นทุนมากที่สุด เงินที่ลงทุนไปทั้งหมด คือการคืนสู่สังคม ก็หวังว่า จะให้โครงการนี้เป็นโครงการของคนไทยทุกคนครับ

เหตุผลที่การใช้ยาแอนติบอดีเพื่อรักษามะเร็งในหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ยังคงเป็นทางเลือกสุดท้ายหลังจากที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล เพราะวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เกินกว่าที่คนไทยส่วนใหญ่จะรับไหว หากจะเทียบความคุ้มค่าของการทำคีโมหรือฉายแสงเพื่อรักษามะเร็งต่อไปเรื่อยๆ กับการใช้ยาแอนติบอดีในแต่ละครั้ง แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายของยาแอนติบอดีแพงกว่าหลายเท่า แต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับความคุ้มค่าของการรักษา เพราะต่อให้ค่าใช้จ่ายของการทำคีโมหรือฉายแสงต่อเนื่องจะถูกกว่ากันมาก แต่มะเร็งไม่ได้หาย คนไข้ไม่ได้ดีขึ้น เราก็ต้องหาทางออกด้วยวิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิม

ดังนั้นการที่เราสามารถผลิตยาได้เอง ซึ่งทำให้ยาราคาถูกลง ก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การตัดสินใจเลือกใช้ยาแอนติบอดี ไม่ต้องกลายเป็นความหวังสุดท้ายของการรอดชีวิต

ยาแอนติบอดีที่หมอจุฬาฯมุ่งมั่นวิจัยและเงินทุกบาททุกสตางค์ที่คนไทยร่วมกันบริจาคในวันนี้  จะเป็นความหวังของคนไทยทุกระดับทุกฐานะที่จะสามารถต่อสู้กับมะเร็งอย่างมีชัยชนะ

การหายขาดจากโรคมะเร็งจะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0